สาวน้อยพลังจิต
บทที่ 10 อภิญญา
วันนี้ทุกคนมาพบอาจารย์สะกดจิตกันพร้อมหน้า ทั้งทราย แพรว แจ็ค และหวมดปราบที่อยู่ไม่ห่างทราย
อาจารย์สะกดจิตถึงกับกลืนน้ำลายอ้าปากค้าง ฟังเรื่องราวที่ทรายเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น
“แหม ใจหายใจคว่ำไปด้วย อาจารย์ดีใจด้วยที่ทุกคนได้รับความปลอดภัย”
“ความรู้สึกแปลกๆของทรายจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปมั้ยคะ”
“อือ..ไม่แน่ใจนะ ประมวลดูแล้ว น่าจะเป็นอย่างนี้......
ขุนอินทร์เคยบวชพระและเป็นพวกที่เรียนคาถาอาคม จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ จะว่าเป็นฤทธิ์ หรือพลังจิต ในทางศาสนาก็มีนะ เขาเรียกอภิญญา มี 6 อย่าง คือ หนึ่งอิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ซูเปอร์ แนชเชอรัล พาวเวอร์ (Super Natural Power) สอง หูทิพย์ หรือแคลร์ ออเดี๊ยนซ์ (Clair Audience) สามตาทิพย์ หรือแคลร์วอแยนซ์ (Clairvoyance) สี่ระลึกชาติได้ ห้าเจโตปริยญาณ สื่อสารทางจิตหรือล่วงรู้จิตใจคนอื่นได้ หรือเทเลปาธี (Telepathy) ส่วนข้อหกคืออาสวักขยญาณ คือ ญาณที่ทำให้อาสวะกิเลสสิ้นไป ห้าอย่างแรกเป็นโลกียอภิญญา คนส่วนใหญ่สามารถสำเร็จได้แค่อภิญญาห้าจึงยังไม่หมดกิเลส..........
ขุนอินทร์อาจสำเร็จอภิญญาทั้งห้าแล้ว เพราะว่าคุณแสดงฤทธิ์ได้แล้ว คุณมีหูทิพย์จากการได้ยินสิ่งต่างๆแล้ว คุณมีตาทิพย์เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าแล้ว คุณระลึกชาติได้แล้ว และอันสุดท้ายคุณก็สามารถสื่อสารทางจิตได้ เพียงแต่คนที่ทำได้เป็นขุนอินทร์ ไม่ใช่คุณ......
ยังมีบางสิ่งบางอย่างของขุนอินทร์ตามมาเกิดในชาติพบนี้ ในทางศาสนาอีกนั่นแหละ เรียกวาสัญญา เขาเรียกว่ายังมีสัญญาบางอย่างตามมา อาจเพราะขุนอินทร์มีบางอย่างค้างคาใจ หรืออาลัยอาวรณ์อะไรสักอย่าง ทำให้เป็นการผูกจิตติดตามมาในชาติภพนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณจึงเหมือนกับหลอดไฟที่ไม่สมบูรณ์ ติดๆดับๆ แต่หากเมื่อมีพลังไฟเพียงพอ หลอดไฟก็อาจจะติดได้ตามต้องการ......
ก็เดาๆกันไปนะ ไม่มีใครตอบได้ แต่อย่างไรผมมั่นใจว่าสิ่งที่มีอยู่นี้น่าจะพัฒนาได้ ถ้าคุณฝึกจิตฝึกสมาธิมากขึ้นอาจทำให้คุณรู้วิธีควบคุมความสามารถพิเศษเหล่านี้ได้ในอนาคต”
..................................................................................................................................................................................
ยามนี้ทรายรู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด ปัญหาต่างๆได้คลี่คลายไป เธอได้พบทางแก้ปัญหาของตัวเอง พร้อมทั้งมีใครบางคนที่มาแสดงทีท่าขอดูแลหัวใจให้กับเธอ ชีวิตที่เหงาและดูเหมือนเศร้าซึมแทบมลายหายไป
บ่ายนั้นหมวดหนุ่มขับรถพาเธอกับเพื่อนๆไปกินข้าวที่ร้านอาหารชายทะเล แม้จะนั่งกันอยู่ในห้องกระจกแอร์เย็นเฉียบ ทรายยังอดรนทนไม่ได้กับเหล่านกนางนวลที่บินวนไปมาใกล้ชายหาดน่าสบายใจ เธอมองนกนางนวลแล้วก็คิดสงสัย ว่านกมันมีอะไรที่ต้องทุกข์ร้อนบ้างไหม มันเกิดมาจะรู้สึกโดดเดี่ยวและว้าเหว่เหมือนเธอบ้างมั้ย มันมีโอกาสได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่หรือเปล่า หรือเกิดมาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ มีแต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อุปโลกน์ตัวเป็นแม่เธอ และสามีของแม่อุปโลกน์ที่ไม่ค่อยมีความสุขนักกับการที่เธอต้องอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับเขา
ทรายมองไกลออกไป เห็นท้องฟ้าสีฟ้าใส เห็นผืนน้ำสีเขียวเข็ม ตัดกันเป็นเส้นตรงไกลสุดตา เห็นผืนทรายสีขาวนวล เธอผลักประตูตรงชายหาดออกไป ได้ยินเสียงนกร้อง เห็นนกบินผ่านเธอไป ได้ยินเสียงกิ่งไม้ใบไม้ไหว เห็นต้นมะพร้าวสั่นไหวไปตามแรงลม ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังครืนๆ ยิ่งฟังยิ่งสงบ ยิ่งฟ้ายิ่งสบาย ผ่อนคลาย
เธอเดินย่ำไปบนผืนทรายทีละก้าว ทีละก้าว มองไกลออกไปตรงที่ผืนน้ำกับผืนฟ้าตัดกันเป็นเส้นตรงไกลสุดตา เธอนึกเพลินเดินลึกลงไปตรงที่ผืนน้ำกับผืนทรายบรรจบกัน ความเย็นของผืนทรายที่อุ้มน้ำทะเลไว้ ทำให้เธอรู้สึกเย็นแวบจากฝ่าเท้า ขึ้นมาถึงสมอง ทีละก้าว ทีละก้าว
เธอรู้สึกอิ่มเอมดื่มด่ำมีความสุข รู้สึกสบายหย่อนคลาย จิตใจของเธอปลอดโปร่งโล่งสบาย เธอนึกเพลินเดินลึกลงไปในผืนน้ำ ระดับน้ำสูงขึ้นจากฝ่าเท้า ขึ้นมาถึงตาตุ่ม แข้ง เข่า ต้นขา สะโพก เอว และหน้าอก
เธอกระโดดลงน้ำ ดำผุดดำว่าย ดูปะการังสวยงาม เห็นปลาสีส้ม ปลาสีเหลือง ปลาสีน้ำเงินวาบวับ เธอว่ายไกลออกไปจากฝั่ง รู้สึกสงบ รู้สึกอิ่มใจ รู้สึกดื่มด่ำอิ่มเอง
เธออยากด่ำดิ่งลึกสู่ใต้บาดาล เธออยากด่ำดิ่งลึกสู่ก้นบึ้งจิตใจของตัวเอง เธอค่อยๆปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งดื่มด่ำ ลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ทุกที ทุกที ทุกที.............
“ทราย คุณทรายครับ.......”
ทรายสะดุ้ง เธอก้มลงขำกับตัวเองแล้วเงยขึ้นมายิ้มน้อยๆให้ผู้หมวดหนุ่ม
“ทรายใจลอยน่ะค่ะ จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย กำลังดำลงก้นมหาสมุทรอยู่พอดี ขอบคุณนะคะที่พาพวกเรามาเที่ยวชายทะเล เวลามาทะเลทรายชอบมองไกลออกไป.........”
“คุณทรายชอบทะเลหรือครับ เขาว่ากันว่าคนที่ชอบมองทะเลไกลออกไปเป็นคนขี้เหงา เพราะกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง หรือเพราะกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เหมือนรอคอยว่าจะมีใครสักคนที่เราโหยหา หรือรอคอยมานานแสนนานจะมาพร้อมกันกระโดงเรือที่เห็นอยู่ลิบๆ..........”
“ผู้หมวดพูดซะเศร้าเลย แต่ทายถูกจริงๆนะคะ ลึกๆทรายเป็นคนโดดเดี่ยวค่ะ ถ้าเรารู้จักกันมากกว่านี้ผู้หมวดก็จะเข้าใจคำพูดของทราย........”
“ทำยังไงถึงจะมีโอกาสรู้จักทรายมากกว่านี้ล่ะครับ”
ไม่ถามเปล่า หมวดหนุ่มเขยิบตัวเข้ามาใกล้ เอาหลังแขนแตะตัวทรายเบาๆ ทรายเงยหน้าแล้วยิ้มให้ เธอไม่ตอบอะไร แต่เพียงรอยยิ้มก็เพียงพอแล้วในการทำให้หัวใจอขงหมวดหนุ่มพองโต
ไม่ห่างกันนั้น แจ็คกับแพรวยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่มองความหวานของหมวดหนุ่มกับทราย แจ็คหันมามองแพรวบ้าง แพรวถึงกับทำหน้าแหยะแล้วโพล่งขึ้นทันที
“อย่านะโว้ย ฉันยังเกรงใจ ไม่อยากทำเสียงเรอใส่แก แค่ยอมให้แกไปไหนมาไหนด้วยนี่ฉันก็ถือว่าเยอะแล้วนะ”
“โธ่ แพรว อย่าทำให้ลูกผู้ชายชื่อแจ็ครู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าขนาดนั้นซีวะ”
“อ้ายแจ็ค คือฉันเห็นหน้าแกทีไรนึกถึงอ้ายพวกหื่นกามทุกทีว่ะ ถึงแกจะสำนึกผิดกลับตัว แต่แกเข้าใจมั้ย ผู้หญิงเขาเป็นพวกจำแม่นกับของพรรณนี้ และโดยเฉพาะแกไม่ใช่เสป็คฉัน ขอร้อง คราวต่อไปอย่ามองหน้าฉันแล้วทำตาซึ้งได้มั้ยวะ มันลำบากใจว่ะ เพียงแต่ฉันนับถือในความเป็นคนสำนึกตัวได้ของแกเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้”
แจ็คถึงกับทำหน้าจ๋อย
...........................................................................................................................................................................
หลายวันต่อมาทรายกับเพื่อนๆแวะไปทำบุญที่วัดและมีโอกาสได้พบกับหลวงน้าอีกครั้งหนึ่ง ทรายมีโอกาสเล่าเรื่องต่างๆให้หลวงน้าฟัง
“ทำไมหนูต้องพบกับโจรคนนั้นด้วยคะ คือถ้าหนูเป็นคนปกติเหมือนคนอื่น ไม่ต้องไปรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร้านทอง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น เป็นเวรเป็นกรรมอะไรหรือเปล่าคะ”
“บางอย่างเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยให้มันเกิด แต่เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ก็ได้ ใช้ชีวิตของเราไป เมื่อถึงเวลาอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เป็นไป ในโลกนี้มีอะไรหลายอย่างมากมาย ที่เราไม่เข้าใจ ท่านจึงสอนให้มุ่งแสวงหาวิธีดับทุกข์ เพราะบางสิ่งบางอย่างไปรู้ไปเข้าใจก็ไม่มีประโยชน์.........”
ทรายกับแพรวกราบลาพระแล้วออกเดินทางไปยังร้านอาหารที่ทรายนัดพบกับหมวดปราบ ระหว่างที่นั่งรอกันอยู่ในร้าน ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาด้วยกัน 3 คนแต่งตัวจัดจ้านเดินมาที่โต๊ะทราย คนที่หน้าตาดีกว่าเพื่อนจีบปากจีบคอถาม
“โทษนะจ๊ะ โต๊ะนี้ใช่ทราย คนที่กำลังรอหมวดปราบอยู่ ใช่นะเปล่า”
แพรวเห็นท่าทางทั้ง 3 คนคงไม่ได้มาดี จึงโพล่งออกมา
“ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไมยะ”
ทรายสั่นหน้าให้แพรว เตือนอย่าให้มีเรื่อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถามนั้น แล้วตอบว่า
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อทรายเองอ่ะ”
ไม่พูดพล่ำทำเพลง หญิงคนนั้นหยิบแก้วน้ำตรงหน้าทรายยกขึ้นสาดหน้าเธอ
“อะไรน่ะ”
ทรายทะลึ่งตัวลุกขึ้น สีหน้ามึนงง แต่แพรวไวกว่าหยิบแก้วน้ำตรงหน้าลุกขึ้นสาดน้ำใส่คนทั้งสามทันที
“โอ๊ยตายแล้ว เปียกหมดเลย....”
ทั้งสามคนกรีดร้องกันเสียงขรม คนทั้งร้านถึงกับหยุดมองด้วยความตกใจ
“พวกแกเป็นใคร อยู่ดีๆก็มาสาดน้ำใส่เพื่อนฉัน”
“แกชื่อนังทรายนะเปล่า ถ้าไม่ใช่อย่า
.......”
ผู้หญิงตัวตั้งตัวตีพูดขึ้นแล้วหันมาทางทราย
“หมวดปราบน่ะ มีเมียแล้ว หนอย ยังแต่งชุดนักเรียนกันอยู่ก็ออกร่านหาผัวกัน พวกนุ่งขาสั้นขนหน้าแข็งหรอมแหรมน่ะมีให้เลือกเยอะแยะไม่ชอบ ริมาจีบคนมีสี.........”
“เฮ่ย มันมากไปแล้วนะ.........”
แพรวตะโกนเสียงดัง ลูกคู่ของอีกฝ่ายหนึ่งหันมาชี้หน้าใส่เธอ
“อีนี่
จริง แกสาดน้ำใส่เรายังไม่ได้เอาคืน”
ว่าแล้วก็เงื้อมือขึ้นตบฉาด ตอนนี้ชุลมุนกันหมดแล้ว คนที่สาดน้ำใส่ทรายก็เงื้อมือขึ้น ทั้งแพรวทั้งทรายไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นเป้านิ่งอีก ทั้งคู่ชูกำปั้นตะบันหน้าคู่ปรับจนล้มลงกองกับพื้น
“หยุด นี่ตำรวจ”
เสียงตะหวาดดังลั่น ทุกคนเงียบกริบ เมื่อหันไปก็เห็นหมวดปราบยืนหน้าตาบึ้งตึง
“พ่อตัวดีมาละ จับพวกมันเลย มันสองคนทำร้ายร่างกายฉันกับเพื่อน เมื่อกี้คุณก็เห็น มันต่อยหน้าฉัน”
“อ้าว พูดหมาๆนี่หว่า แกเดินเข้ามาถึงก็สาดน้ำใส่เพื่อนฉัน ส่วนอีนี้ก็ตบหน้าฉันก่อน.......”
หมวดปราบโบกมือห้ามทุกคนพูด
“แคนดี้ คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณจะมาเที่ยวตามหึงผมกับใครต่อใครไม่ได้ เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง ก็เราเป็นแฟนกัน จู่ๆคุณก็หายตัวไป ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่ยอมพบหน้า คุณมาหลงระเริงกับนังนักเรียนมัธยมอยู่นี่เอง คุณถึงได้ลืมแคนดี้”
“มันเป็นสิทธิของผม เรายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน จะคบหากับใครก็เรื่องของผม จะคบหรือเลิกกันเราก็มีสิทธิด้วยกันทั้งคู่ คุณทำตัวอย่างนี้น่ารังเกียจมาก........”
ขณะทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่ ทรายกับแพรวก็เดินจูงมือกันจะออกจากร้านไป
“เดี๋ยวทราย คุณจะไปไหน เราจะไปเที่ยวด้วยกันไม่ใช่เหรอ...”
“ทรายไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณสองคน เชิญเถียงกันไปเถอะค่ะ ส่วนเรื่องเที่ยว คุณยังคิดว่าทรายมีอารมณ์จะไปเที่ยวอยู่เหรอคะ......”
“เดี๋ยว ทราย...........”
หมวดปราบพยายามทัดทาน แต่ทรายกับแพรวรีบเดินออกจากร้านไป เธออายจนหน้าชา คนมายืนมุงกันเต็มทั้งในร้านนอกร้าน มายืนปาดน้ำตารอเรียกแท็กซี่ เสียงทะเลาะกันขรมยังดังออกมาจากร้านอาหารอยู่เลย
“แกเบื่อฉันมั้ย”
ทรายหันมองแพรวแล้วถาม ขณะทั้งคู่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ แพรวหันมามองอย่างแปลกใจ
“ถามอะไรยังงี้วะ ทราย”
“แกคบฉันแล้วชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แกเสียทั้งเวลา เสียเงินเสียทอง เจ็บตัวเจ็บใจก็เพราะแกมารู้จักกับฉันนี้แหละ ฉันมันเป็นตัวซวย ตัวซวย ตัวซวยจริงๆ...........”
เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น แพรวกอดเพื่อนแล้วร้องไห้บ้าง
“แกเป็นเพื่อนรักฉัน ฉันมีเพื่อนรักคือแกคนเดียว อย่าน้อยใจไปซิเพื่อน เรื่องแค่นี้.........”
“ฉันยังเบื่อตัวเองเลย ทำไมชีวิตถึงได้มีแต่เรื่อง ขุนอินทร์ทำเวรทำกรรมมากนักหรือ ฉันถึงต้องมาชดใช้แทนในชาตินี้ ทุกคนที่รู้จักฉัน มาเกี่ยวข้องกับชีวิตฉัน ต้องเดือดร้อนกันหมดทุกคน แกต้องเดือดร้อนเพราะฉันหลายครั้ง วันนี้แกก็ต้องมาโดนตบหน้าเพราะฉัน ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตบ้างไม่ได้หรือ...............”
ทั้งคู่กอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้น
แท็กซี่มาส่งแพรวก่อน เมื่อแพรวเข้ามาถึงในบ้านก็เห็นพ่อกับแม่นั่งดูทีวีกันอยู่พร้อมหน้า
“หน้าเป็นอะไรมาน่ะลูก ต๊าย ไปโดนใครทำอะไรมา”
คุณแวว แม่ของแพรวร้องเสียงหลง รีบวิ่งมาดูใบหน้าที่ช้ำของลูกสาวใกล้ๆ
“มีเรื่องนิดหน่อย คนมาหาเรื่องทราย.........”
“ต๊าย ทรายอีกแล้ว นี่เพิ่งออกไปข้างนอกกับนังเด็กกาลกิณีคนนั้นมาใช่มั้ย”
“คุณ.....เรียกเด็กกาลกิณีก็เกินไป ไม่ดีแน่ถ้าเจ้าตัวเขามาได้ยินกับหู”
คุณแพท พ่อของทรายหันมาเตือนภรรยา
“โอ๊ะ ไม่เรียกยังงี้แล้วจะเรียกอะไรอีก คบนังเด็กนั่น ลูกเรามีแต่เรื่องซวย ถูกมันปอกลอกเอาเงินไปตั้งเป็นหมื่น แถมยังพาลูกเราไปฝ่าดงกระสุน ยังไม่หนำใจ ให้มันพาโจรเข้ามาถึงในบ้าน ยิงกันเฟี้ยวฟ้าวยังกะบ้านเราเป็นสนามรบ นี่ยังไม่ทันข้ามเดือน ออกไปกับมันก็โดนตบกลับมาซะและ........
คุณอย่าค้านอีกเลย ฉันทนยอมให้เทอมนี้เทอมนึง เทอมหน้าเราส่งล
สาวน้อยพลังจิต บทที่ 10 อภิญญา
บทที่ 10 อภิญญา
วันนี้ทุกคนมาพบอาจารย์สะกดจิตกันพร้อมหน้า ทั้งทราย แพรว แจ็ค และหวมดปราบที่อยู่ไม่ห่างทราย
อาจารย์สะกดจิตถึงกับกลืนน้ำลายอ้าปากค้าง ฟังเรื่องราวที่ทรายเล่าให้ฟังอย่างตื่นเต้น
“แหม ใจหายใจคว่ำไปด้วย อาจารย์ดีใจด้วยที่ทุกคนได้รับความปลอดภัย”
“ความรู้สึกแปลกๆของทรายจะเป็นอย่างนี้ตลอดไปมั้ยคะ”
“อือ..ไม่แน่ใจนะ ประมวลดูแล้ว น่าจะเป็นอย่างนี้......
ขุนอินทร์เคยบวชพระและเป็นพวกที่เรียนคาถาอาคม จะเรียกว่าอะไรก็แล้วแต่ จะว่าเป็นฤทธิ์ หรือพลังจิต ในทางศาสนาก็มีนะ เขาเรียกอภิญญา มี 6 อย่าง คือ หนึ่งอิทธิวิธี คือ แสดงฤทธิ์ต่างๆได้ ภาษาอังกฤษเรียกว่า ซูเปอร์ แนชเชอรัล พาวเวอร์ (Super Natural Power) สอง หูทิพย์ หรือแคลร์ ออเดี๊ยนซ์ (Clair Audience) สามตาทิพย์ หรือแคลร์วอแยนซ์ (Clairvoyance) สี่ระลึกชาติได้ ห้าเจโตปริยญาณ สื่อสารทางจิตหรือล่วงรู้จิตใจคนอื่นได้ หรือเทเลปาธี (Telepathy) ส่วนข้อหกคืออาสวักขยญาณ คือ ญาณที่ทำให้อาสวะกิเลสสิ้นไป ห้าอย่างแรกเป็นโลกียอภิญญา คนส่วนใหญ่สามารถสำเร็จได้แค่อภิญญาห้าจึงยังไม่หมดกิเลส..........
ขุนอินทร์อาจสำเร็จอภิญญาทั้งห้าแล้ว เพราะว่าคุณแสดงฤทธิ์ได้แล้ว คุณมีหูทิพย์จากการได้ยินสิ่งต่างๆแล้ว คุณมีตาทิพย์เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าแล้ว คุณระลึกชาติได้แล้ว และอันสุดท้ายคุณก็สามารถสื่อสารทางจิตได้ เพียงแต่คนที่ทำได้เป็นขุนอินทร์ ไม่ใช่คุณ......
ยังมีบางสิ่งบางอย่างของขุนอินทร์ตามมาเกิดในชาติพบนี้ ในทางศาสนาอีกนั่นแหละ เรียกวาสัญญา เขาเรียกว่ายังมีสัญญาบางอย่างตามมา อาจเพราะขุนอินทร์มีบางอย่างค้างคาใจ หรืออาลัยอาวรณ์อะไรสักอย่าง ทำให้เป็นการผูกจิตติดตามมาในชาติภพนี้ สิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณจึงเหมือนกับหลอดไฟที่ไม่สมบูรณ์ ติดๆดับๆ แต่หากเมื่อมีพลังไฟเพียงพอ หลอดไฟก็อาจจะติดได้ตามต้องการ......
ก็เดาๆกันไปนะ ไม่มีใครตอบได้ แต่อย่างไรผมมั่นใจว่าสิ่งที่มีอยู่นี้น่าจะพัฒนาได้ ถ้าคุณฝึกจิตฝึกสมาธิมากขึ้นอาจทำให้คุณรู้วิธีควบคุมความสามารถพิเศษเหล่านี้ได้ในอนาคต”
..................................................................................................................................................................................
ยามนี้ทรายรู้สึกมีความสุขอย่างที่สุด ปัญหาต่างๆได้คลี่คลายไป เธอได้พบทางแก้ปัญหาของตัวเอง พร้อมทั้งมีใครบางคนที่มาแสดงทีท่าขอดูแลหัวใจให้กับเธอ ชีวิตที่เหงาและดูเหมือนเศร้าซึมแทบมลายหายไป
บ่ายนั้นหมวดหนุ่มขับรถพาเธอกับเพื่อนๆไปกินข้าวที่ร้านอาหารชายทะเล แม้จะนั่งกันอยู่ในห้องกระจกแอร์เย็นเฉียบ ทรายยังอดรนทนไม่ได้กับเหล่านกนางนวลที่บินวนไปมาใกล้ชายหาดน่าสบายใจ เธอมองนกนางนวลแล้วก็คิดสงสัย ว่านกมันมีอะไรที่ต้องทุกข์ร้อนบ้างไหม มันเกิดมาจะรู้สึกโดดเดี่ยวและว้าเหว่เหมือนเธอบ้างมั้ย มันมีโอกาสได้อยู่กันพร้อมหน้าพ่อแม่หรือเปล่า หรือเกิดมาก็ไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อเป็นแม่ มีแต่ผู้หญิงคนหนึ่งที่อุปโลกน์ตัวเป็นแม่เธอ และสามีของแม่อุปโลกน์ที่ไม่ค่อยมีความสุขนักกับการที่เธอต้องอาศัยอยู่บ้านเดียวกันกับเขา
ทรายมองไกลออกไป เห็นท้องฟ้าสีฟ้าใส เห็นผืนน้ำสีเขียวเข็ม ตัดกันเป็นเส้นตรงไกลสุดตา เห็นผืนทรายสีขาวนวล เธอผลักประตูตรงชายหาดออกไป ได้ยินเสียงนกร้อง เห็นนกบินผ่านเธอไป ได้ยินเสียงกิ่งไม้ใบไม้ไหว เห็นต้นมะพร้าวสั่นไหวไปตามแรงลม ได้ยินเสียงคลื่นกระทบฝั่งดังครืนๆ ยิ่งฟังยิ่งสงบ ยิ่งฟ้ายิ่งสบาย ผ่อนคลาย
เธอเดินย่ำไปบนผืนทรายทีละก้าว ทีละก้าว มองไกลออกไปตรงที่ผืนน้ำกับผืนฟ้าตัดกันเป็นเส้นตรงไกลสุดตา เธอนึกเพลินเดินลึกลงไปตรงที่ผืนน้ำกับผืนทรายบรรจบกัน ความเย็นของผืนทรายที่อุ้มน้ำทะเลไว้ ทำให้เธอรู้สึกเย็นแวบจากฝ่าเท้า ขึ้นมาถึงสมอง ทีละก้าว ทีละก้าว
เธอรู้สึกอิ่มเอมดื่มด่ำมีความสุข รู้สึกสบายหย่อนคลาย จิตใจของเธอปลอดโปร่งโล่งสบาย เธอนึกเพลินเดินลึกลงไปในผืนน้ำ ระดับน้ำสูงขึ้นจากฝ่าเท้า ขึ้นมาถึงตาตุ่ม แข้ง เข่า ต้นขา สะโพก เอว และหน้าอก
เธอกระโดดลงน้ำ ดำผุดดำว่าย ดูปะการังสวยงาม เห็นปลาสีส้ม ปลาสีเหลือง ปลาสีน้ำเงินวาบวับ เธอว่ายไกลออกไปจากฝั่ง รู้สึกสงบ รู้สึกอิ่มใจ รู้สึกดื่มด่ำอิ่มเอง
เธออยากด่ำดิ่งลึกสู่ใต้บาดาล เธออยากด่ำดิ่งลึกสู่ก้นบึ้งจิตใจของตัวเอง เธอค่อยๆปล่อยให้ตัวเองจมดิ่งดื่มด่ำ ลึกลงไป ลึกลงไป ลึกลงไป ทุกที ทุกที ทุกที.............
“ทราย คุณทรายครับ.......”
ทรายสะดุ้ง เธอก้มลงขำกับตัวเองแล้วเงยขึ้นมายิ้มน้อยๆให้ผู้หมวดหนุ่ม
“ทรายใจลอยน่ะค่ะ จินตนาการไปเรื่อยเปื่อย กำลังดำลงก้นมหาสมุทรอยู่พอดี ขอบคุณนะคะที่พาพวกเรามาเที่ยวชายทะเล เวลามาทะเลทรายชอบมองไกลออกไป.........”
“คุณทรายชอบทะเลหรือครับ เขาว่ากันว่าคนที่ชอบมองทะเลไกลออกไปเป็นคนขี้เหงา เพราะกำลังรอคอยอะไรบางอย่าง หรือเพราะกำลังค้นหาอะไรบางอย่าง เหมือนรอคอยว่าจะมีใครสักคนที่เราโหยหา หรือรอคอยมานานแสนนานจะมาพร้อมกันกระโดงเรือที่เห็นอยู่ลิบๆ..........”
“ผู้หมวดพูดซะเศร้าเลย แต่ทายถูกจริงๆนะคะ ลึกๆทรายเป็นคนโดดเดี่ยวค่ะ ถ้าเรารู้จักกันมากกว่านี้ผู้หมวดก็จะเข้าใจคำพูดของทราย........”
“ทำยังไงถึงจะมีโอกาสรู้จักทรายมากกว่านี้ล่ะครับ”
ไม่ถามเปล่า หมวดหนุ่มเขยิบตัวเข้ามาใกล้ เอาหลังแขนแตะตัวทรายเบาๆ ทรายเงยหน้าแล้วยิ้มให้ เธอไม่ตอบอะไร แต่เพียงรอยยิ้มก็เพียงพอแล้วในการทำให้หัวใจอขงหมวดหนุ่มพองโต
ไม่ห่างกันนั้น แจ็คกับแพรวยืนอยู่ด้วยกัน ทั้งคู่มองความหวานของหมวดหนุ่มกับทราย แจ็คหันมามองแพรวบ้าง แพรวถึงกับทำหน้าแหยะแล้วโพล่งขึ้นทันที
“อย่านะโว้ย ฉันยังเกรงใจ ไม่อยากทำเสียงเรอใส่แก แค่ยอมให้แกไปไหนมาไหนด้วยนี่ฉันก็ถือว่าเยอะแล้วนะ”
“โธ่ แพรว อย่าทำให้ลูกผู้ชายชื่อแจ็ครู้สึกว่าตัวเองด้อยค่าขนาดนั้นซีวะ”
“อ้ายแจ็ค คือฉันเห็นหน้าแกทีไรนึกถึงอ้ายพวกหื่นกามทุกทีว่ะ ถึงแกจะสำนึกผิดกลับตัว แต่แกเข้าใจมั้ย ผู้หญิงเขาเป็นพวกจำแม่นกับของพรรณนี้ และโดยเฉพาะแกไม่ใช่เสป็คฉัน ขอร้อง คราวต่อไปอย่ามองหน้าฉันแล้วทำตาซึ้งได้มั้ยวะ มันลำบากใจว่ะ เพียงแต่ฉันนับถือในความเป็นคนสำนึกตัวได้ของแกเท่านั้น ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านี้”
แจ็คถึงกับทำหน้าจ๋อย
...........................................................................................................................................................................
หลายวันต่อมาทรายกับเพื่อนๆแวะไปทำบุญที่วัดและมีโอกาสได้พบกับหลวงน้าอีกครั้งหนึ่ง ทรายมีโอกาสเล่าเรื่องต่างๆให้หลวงน้าฟัง
“ทำไมหนูต้องพบกับโจรคนนั้นด้วยคะ คือถ้าหนูเป็นคนปกติเหมือนคนอื่น ไม่ต้องไปรู้ล่วงหน้าว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับร้านทอง เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ก็คงจะไม่เกิดขึ้น เป็นเวรเป็นกรรมอะไรหรือเปล่าคะ”
“บางอย่างเกิดขึ้นเพราะมีเหตุปัจจัยให้มันเกิด แต่เราไม่จำเป็นต้องไปรู้ก็ได้ ใช้ชีวิตของเราไป เมื่อถึงเวลาอะไรจะเกิดก็ต้องปล่อยให้เป็นไป ในโลกนี้มีอะไรหลายอย่างมากมาย ที่เราไม่เข้าใจ ท่านจึงสอนให้มุ่งแสวงหาวิธีดับทุกข์ เพราะบางสิ่งบางอย่างไปรู้ไปเข้าใจก็ไม่มีประโยชน์.........”
ทรายกับแพรวกราบลาพระแล้วออกเดินทางไปยังร้านอาหารที่ทรายนัดพบกับหมวดปราบ ระหว่างที่นั่งรอกันอยู่ในร้าน ผู้หญิงกลุ่มหนึ่งมาด้วยกัน 3 คนแต่งตัวจัดจ้านเดินมาที่โต๊ะทราย คนที่หน้าตาดีกว่าเพื่อนจีบปากจีบคอถาม
“โทษนะจ๊ะ โต๊ะนี้ใช่ทราย คนที่กำลังรอหมวดปราบอยู่ ใช่นะเปล่า”
แพรวเห็นท่าทางทั้ง 3 คนคงไม่ได้มาดี จึงโพล่งออกมา
“ใช่แล้วจะทำไม ไม่ใช่แล้วจะทำไมยะ”
ทรายสั่นหน้าให้แพรว เตือนอย่าให้มีเรื่อง เธอเงยหน้าขึ้นสบตาเจ้าของคำถามนั้น แล้วตอบว่า
“ใช่ค่ะ ฉันชื่อทรายเองอ่ะ”
ไม่พูดพล่ำทำเพลง หญิงคนนั้นหยิบแก้วน้ำตรงหน้าทรายยกขึ้นสาดหน้าเธอ
“อะไรน่ะ”
ทรายทะลึ่งตัวลุกขึ้น สีหน้ามึนงง แต่แพรวไวกว่าหยิบแก้วน้ำตรงหน้าลุกขึ้นสาดน้ำใส่คนทั้งสามทันที
“โอ๊ยตายแล้ว เปียกหมดเลย....”
ทั้งสามคนกรีดร้องกันเสียงขรม คนทั้งร้านถึงกับหยุดมองด้วยความตกใจ
“พวกแกเป็นใคร อยู่ดีๆก็มาสาดน้ำใส่เพื่อนฉัน”
“แกชื่อนังทรายนะเปล่า ถ้าไม่ใช่อย่า.......”
ผู้หญิงตัวตั้งตัวตีพูดขึ้นแล้วหันมาทางทราย
“หมวดปราบน่ะ มีเมียแล้ว หนอย ยังแต่งชุดนักเรียนกันอยู่ก็ออกร่านหาผัวกัน พวกนุ่งขาสั้นขนหน้าแข็งหรอมแหรมน่ะมีให้เลือกเยอะแยะไม่ชอบ ริมาจีบคนมีสี.........”
“เฮ่ย มันมากไปแล้วนะ.........”
แพรวตะโกนเสียงดัง ลูกคู่ของอีกฝ่ายหนึ่งหันมาชี้หน้าใส่เธอ
“อีนี่จริง แกสาดน้ำใส่เรายังไม่ได้เอาคืน”
ว่าแล้วก็เงื้อมือขึ้นตบฉาด ตอนนี้ชุลมุนกันหมดแล้ว คนที่สาดน้ำใส่ทรายก็เงื้อมือขึ้น ทั้งแพรวทั้งทรายไม่ยอมปล่อยให้ตัวเองเป็นเป้านิ่งอีก ทั้งคู่ชูกำปั้นตะบันหน้าคู่ปรับจนล้มลงกองกับพื้น
“หยุด นี่ตำรวจ”
เสียงตะหวาดดังลั่น ทุกคนเงียบกริบ เมื่อหันไปก็เห็นหมวดปราบยืนหน้าตาบึ้งตึง
“พ่อตัวดีมาละ จับพวกมันเลย มันสองคนทำร้ายร่างกายฉันกับเพื่อน เมื่อกี้คุณก็เห็น มันต่อยหน้าฉัน”
“อ้าว พูดหมาๆนี่หว่า แกเดินเข้ามาถึงก็สาดน้ำใส่เพื่อนฉัน ส่วนอีนี้ก็ตบหน้าฉันก่อน.......”
หมวดปราบโบกมือห้ามทุกคนพูด
“แคนดี้ คุณทำอย่างนี้ไม่ได้ คุณจะมาเที่ยวตามหึงผมกับใครต่อใครไม่ได้ เรายังไม่ได้เป็นอะไรกัน”
“คุณพูดอย่างนี้ได้ยังไง ก็เราเป็นแฟนกัน จู่ๆคุณก็หายตัวไป ไม่ยอมรับโทรศัพท์ ไม่ยอมพบหน้า คุณมาหลงระเริงกับนังนักเรียนมัธยมอยู่นี่เอง คุณถึงได้ลืมแคนดี้”
“มันเป็นสิทธิของผม เรายังไม่ได้เป็นสามีภรรยากัน จะคบหากับใครก็เรื่องของผม จะคบหรือเลิกกันเราก็มีสิทธิด้วยกันทั้งคู่ คุณทำตัวอย่างนี้น่ารังเกียจมาก........”
ขณะทั้งคู่โต้เถียงกันอยู่ ทรายกับแพรวก็เดินจูงมือกันจะออกจากร้านไป
“เดี๋ยวทราย คุณจะไปไหน เราจะไปเที่ยวด้วยกันไม่ใช่เหรอ...”
“ทรายไม่เกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณสองคน เชิญเถียงกันไปเถอะค่ะ ส่วนเรื่องเที่ยว คุณยังคิดว่าทรายมีอารมณ์จะไปเที่ยวอยู่เหรอคะ......”
“เดี๋ยว ทราย...........”
หมวดปราบพยายามทัดทาน แต่ทรายกับแพรวรีบเดินออกจากร้านไป เธออายจนหน้าชา คนมายืนมุงกันเต็มทั้งในร้านนอกร้าน มายืนปาดน้ำตารอเรียกแท็กซี่ เสียงทะเลาะกันขรมยังดังออกมาจากร้านอาหารอยู่เลย
“แกเบื่อฉันมั้ย”
ทรายหันมองแพรวแล้วถาม ขณะทั้งคู่นั่งอยู่ในรถแท็กซี่ แพรวหันมามองอย่างแปลกใจ
“ถามอะไรยังงี้วะ ทราย”
“แกคบฉันแล้วชีวิตไม่มีอะไรดีขึ้นเลย แกเสียทั้งเวลา เสียเงินเสียทอง เจ็บตัวเจ็บใจก็เพราะแกมารู้จักกับฉันนี้แหละ ฉันมันเป็นตัวซวย ตัวซวย ตัวซวยจริงๆ...........”
เธอร้องไห้สะอึกสะอื้น แพรวกอดเพื่อนแล้วร้องไห้บ้าง
“แกเป็นเพื่อนรักฉัน ฉันมีเพื่อนรักคือแกคนเดียว อย่าน้อยใจไปซิเพื่อน เรื่องแค่นี้.........”
“ฉันยังเบื่อตัวเองเลย ทำไมชีวิตถึงได้มีแต่เรื่อง ขุนอินทร์ทำเวรทำกรรมมากนักหรือ ฉันถึงต้องมาชดใช้แทนในชาตินี้ ทุกคนที่รู้จักฉัน มาเกี่ยวข้องกับชีวิตฉัน ต้องเดือดร้อนกันหมดทุกคน แกต้องเดือดร้อนเพราะฉันหลายครั้ง วันนี้แกก็ต้องมาโดนตบหน้าเพราะฉัน ทำไมมันต้องเป็นอย่างนี้ จะมีเรื่องดีๆเกิดขึ้นในชีวิตบ้างไม่ได้หรือ...............”
ทั้งคู่กอดกันร้องไห้สะอึกสะอื้น
แท็กซี่มาส่งแพรวก่อน เมื่อแพรวเข้ามาถึงในบ้านก็เห็นพ่อกับแม่นั่งดูทีวีกันอยู่พร้อมหน้า
“หน้าเป็นอะไรมาน่ะลูก ต๊าย ไปโดนใครทำอะไรมา”
คุณแวว แม่ของแพรวร้องเสียงหลง รีบวิ่งมาดูใบหน้าที่ช้ำของลูกสาวใกล้ๆ
“มีเรื่องนิดหน่อย คนมาหาเรื่องทราย.........”
“ต๊าย ทรายอีกแล้ว นี่เพิ่งออกไปข้างนอกกับนังเด็กกาลกิณีคนนั้นมาใช่มั้ย”
“คุณ.....เรียกเด็กกาลกิณีก็เกินไป ไม่ดีแน่ถ้าเจ้าตัวเขามาได้ยินกับหู”
คุณแพท พ่อของทรายหันมาเตือนภรรยา
“โอ๊ะ ไม่เรียกยังงี้แล้วจะเรียกอะไรอีก คบนังเด็กนั่น ลูกเรามีแต่เรื่องซวย ถูกมันปอกลอกเอาเงินไปตั้งเป็นหมื่น แถมยังพาลูกเราไปฝ่าดงกระสุน ยังไม่หนำใจ ให้มันพาโจรเข้ามาถึงในบ้าน ยิงกันเฟี้ยวฟ้าวยังกะบ้านเราเป็นสนามรบ นี่ยังไม่ทันข้ามเดือน ออกไปกับมันก็โดนตบกลับมาซะและ........
คุณอย่าค้านอีกเลย ฉันทนยอมให้เทอมนี้เทอมนึง เทอมหน้าเราส่งล