รถประจำทาง มุมมองที่สอง (4 : จบมุมมอง)

กระทู้สนทนา
มุมมองที่สอง (4)
 
              “หนอย มันจะมากไปแล้วนะโว้ย พอกูยอมให้หน่อยก็เอาใหญ่ กล้าตบกูขนาดนี้จะมาหาว่ากูรังแกผู้หญิงทีหลังไม่ได้นะ”

              “มากกว่านี้กูก็กล้าโว้ย ไอ้ผู้ชายเฮงซวยอย่าง โดนแบบนี้ก็สมควรแล้ว อ้อ...ไม่สิ มันต้องโดนให้หนักกว่านี้เยอะ ๆ ถึงจะสะใจกู”

              ทว่าก่อนสิ่งที่ฉันคิดจะทันเกิดขึ้นจริงแล้วทำให้มีใครต้องเจ็บตัว หรือต้องมีใครถูกลูกหลงจนจำนวนผู้เคราะห์ร้ายต้องเพิ่มขึ้นมากไปกว่านี้ เรื่องราวของคู่หนุ่มสาวเจ้าอารมณ์ก็ถูกตัดจบลงดื้อ ๆ ด้วยฝีมือ และความมีสติเยือกเย็นของคนขับรวมถึงกระเป๋ารถเมล์

              คนขับบังคับรถให้จอดเทียบบาทวิถี ส่วนคนเก็บค่าโดยสารร่างใหญ่บึกบึน ที่ดูอย่างไรก็ไม่น่าเอาตัวเองเข้าไปเสี่ยงหาเรื่องด้วยเลยสักนิด ทำหน้าที่ไล่ต้อนคู่กรณีฝ่ายชายให้ต้องลงจากรถไปอย่างจำยอม
 

              “อย่าให้กูเจอทีหลัง อย่าโผล่หน้าของมาให้กูเห็นอีกนะ กูเอาตาย เอาให้นอนหยอดน้ำข้าวต้มแน่”

              “โอ๊ย กลัวมากค่ะ ก็เอาแต่เห่าเหมือนทุกทีนั่นละ แน่จริงก็มาตอนนี้เลยสิวะ ยิ้ม
 

              ขนาดคนหนึ่งอยู่ข้างบน อีกคนอยู่ข้างล่างแล้ว ก็ยังคงด่ากันไปด่ากันมาผ่านช่องหน้าต่างได้อีก สาดอารมณ์ร้าย ๆ ใส่กันได้อย่างไม่สนสถานที่ ไม่สนใจใครจริง ๆ จนกระทั่งรถเมล์เคลื่อนตัวห่างออกมานั่นละ เสียงจึงค่อยเบาจนเงียบได้ในที่สุด
 
     
         ดวงอาทิตย์ลาลับขอบฟ้าไปตั้งแต่เมื่อใดก็ไม่ทันได้สังเกต อากาศเย็นลงจนสบายตัวขึ้นนิดหน่อย คงเพราะอย่างนี้ฉันเองก็เลยรู้สึกว่าเริ่มมีอาการดีขึ้น สติสัมปชัญญะเองก็ถูกเรียกคืนกลับมาได้จนเกือบครบถ้วนสมบูรณ์แล้ว

              จะว่าไปเหตุการณ์วุ่นวายเมื่อสักครู่ก็นับว่าเป็นเรื่องดีได้อยู่เหมือนกัน มันทำให้ฉันลืมความกระอักกระอ่วนไม่สบายตัวไปได้ชั่วขณะ ทำให้ลืมความรู้สึกแย่ ๆ ที่ทำให้ต้องทุกข์ทรมานไปได้ชั่วคราว

              ยังรู้สึกอ่อนเพลียจนต้องหลับตาลง นั่งนิ่ง ๆ และกลืนทั้งร่างให้หายไปกับสภาพแวดล้อม จมตัวเองให้อยู่ในห้วงความรู้สึกนึกคิดของตัวเองอีกครั้ง

              รายไหนรายนั้นจริง ๆ ผู้ชายดี ๆ รักเดียวใจเดียวหายไปไหนหมด ที่เจอถึงมีแต่พวกชอบหาเศษหาเลยไปทั่ว ลื่นจนจับไม่ได้ไล่ไม่ทัน เห็นแก่ตัว เจ้าชู้ ชอบผิดนัด นอกจากเรื่องของตัวเองแล้ว ก็ไม่สนใจเรื่องอื่นเลยสักเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของคนเป็นแฟนกัน ปากบอกว่ารักแต่ลับหลังก็ไว้ใจไม่ได้ ดีแต่รังแกเอาเปรียบกันอยู่ตลอดเวลา

              คงเห็นว่าเป็นของตายที่จะเขี่ยทิ้งเมื่อไหร่ก็ได้ละมั้ง ขนาดที่คิดว่าดีคิดว่าชัวร์และไว้ใจมากที่สุด คนที่ร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาตลอดหลายปี พร้อมจากฝากทั้งชีวิตไว้ด้วยกันในอีกไม่นานนี้แล้ว ก็ยังเชื่อใจไม่ได้เลยสักนิด

              แม้แต่ในฝันก็ยังตามหลอกหลอน ทำร้ายทำลายกันได้ตลอดเวลา

              พอวกกลับมาคิดเรื่องนี้ของตัวเอง คลื่นระลอกใหญ่ที่ก่อตัวรวดเร็วก็ตีม้วนอยู่ในอกให้รู้สึกปั่นป่วน น้ำตาที่แห้งไปแล้วเมื่อสักครู่กลับปริ่มรื้นขอบตาขึ้นมาอีกครั้ง

              ตอนเข้าหามาจีบเราใหม่ ๆ อยากคบหาอยากจะได้เราเป็นแฟน ก็บอกว่าชอบเพราะเห็นเราเป็นคนดีอยู่แท้ ๆ แต่พอตอนบอกเลิกกัน ดันมาให้เหตุผลว่าเราดีเกินไปเสียอย่างนั้น ตกลงฉันต้องดีประมาณไหน หรือต้องเลวอย่างไรถึงจะเหมาะสมคู่ควรกันล่ะ

              เฮ้อ...รู้สึกใจหน่วง ๆ ล้า ๆ พิกลอย่างไรก็ไม่รู้ หรือว่าหัวใจของฉันทำงานหนักเกินไป ถอนใจแต่ละทีก็รู้สึกใจหายแปลก ๆ รอบตัวก็หมุนติ้วเคว้างคว้างชอบกล ทำไมอะไร ๆ ถึงได้ดูเลื่อนลอยไปหมดได้ขนาดนี้

              เพราะชีวิตที่ผ่านมาหลายปีมีแค่เขามาตลอด และก็คิดว่าจะมีเขาอยู่เคียงข้างอย่างนี้ตลอดไป ฉันไม่เคยเผื่อใจสำหรับเหตุการณ์อะไรนอกเหนือจากนี้เลยสักนิด ทว่าทุกอย่างไม่ได้เป็นเหมือนใจคิดและคาดหวังอีกต่อไป

              แล้วต่อจากนี้จะต้องทำอย่างไรต่อไป ในเมื่อทุกสิ่งทุกอย่างมันพังทลายไปหมดแล้ว

              พรุ่งนี้จะเป็นอย่างไรบ้างนะ ดวงอาทิตย์จะยังขึ้นทางทิศตะวันออก และตกทางทิศตะวันตกอยู่ไหม จะยังมีกลางวันไว้ให้ดิ้นรนสู้ชีวิต มีกลางคืนไว้ให้พักผ่อนอิงแอบใจอยู่หรือไม่...แล้วฉันล่ะ ฉันจะอยู่จะใช้ชีวิตต่อไปเพียงลำพังได้อย่างไร

              ฉัน...ไม่อยากอยู่บนโลกใบนี้อีกแล้ว

              จริงสิ ถ้าเป็นเรื่องนี้ฉันทำได้ ในเมื่อไม่อยากอยู่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องอยู่ไม่ใช่หรือ หลับตาลงแล้วกลับไปฝันต่อจากเมื่อครู่นี้ ปล่อยความว่างเปล่าให้กลืนกิน ลบตัวเองให้หายไป แค่ทำอย่างนั้นทุกอย่างก็จะสิ้นสุดลงได้เสียที

              ไม่ต้องเจ็บปวด ไม่ต้องทนทุกข์ทรมาน ไม่ต้องคิดต้องรับรู้เรื่องราว ไม่ต้องห่วงต้องมาคร่ำครวญเรื่องอะไรอีก

              ก็เพียงแค่ตัดขาดการรับรู้ ให้ทุกอย่างจบลงที่ฉัน ให้ทุกสิ่งดับวูบสูญสิ้นไป

              ที่สำคัญที่สุด ฉันจะได้แก้แค้นเขา คนที่ทำให้ฉันต้องกลายเป็นแบบนี้

              ดี แบบนี้ละดี ให้เขาได้รู้สึก ได้สำนึก มีชีวิตที่เหลืออยู่ต่อไปด้วยการแบกรับความผิดบาปที่เป็นต้นเหตุให้ฉันต้องตายไปตลอดชีวิต นี่ละ...สาสมแล้วกับสิ่งที่เขาทำกับฉัน
 

              ในขณะที่ความคิดเชิงลบกำลังโลดแล่นอย่างเริงร่าอยู่ในหัวสมองอันฟุ้งซ่าน ฉับพลันเสียงเรียกสายจากโทรศัพท์มือถือซึ่งเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงที่ดังขึ้น ก็ช่วยฉุดสติอันกระเจิดกระเจิงของฉันให้กลับมาอยู่กับเรื่องราวตรงหน้า

              ล้วงมือหยิบเครื่องมือสื่อสารมาตรวจสอบรายชื่อผู้โทรฯ เข้ามา แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างเหนื่อยหน่ายออกมาอีกครั้ง

              “ว่าไง ส้ม”

              กรอกเสียงเนือย ๆ ส่งไปหลังจากกดรับสาย

              “ฉันแค่เป็นห่วงเลยโทรฯ มาเช็คน่ะ ตอนนี้เสียงฟังดูดีขึ้นแล้วนี่ สร่างขึ้นมาบ้างแล้วใช่ไหม แก”

              แค่ฟังก็รู้ว่าเจ้าตัวที่ปลายสายกำลังยิ้มร่าอยู่ ก็เป็นปกติของเธอนั่นละ

              “แกเล่นเมาหนักถึงขนาดจู่ ๆ เดินออกมาจากร้านส้มตำหน้าตาเฉย แล้วเอาแต่โวยวายว่าจะกลับบ้านดื้อ ๆ แถมตอนฉันกำลังจะเรียกแท็กซี่ให้ แกก็ดันกระโดดขึ้นรถเมล์มาเสียอย่างนั้น จะไปส่งที่บ้านก็รั้นไม่ยอมอีก รู้ตัวไหม...แกเนี่ยเมาแล้วเรื้อนสุด ๆ จนฉันอ่อนใจ สงสัยหลังจากนี้ต้องไปเตือนเพื่อนคนอื่นแล้ว ว่าอย่าให้แกแตะเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ทุกประเภทอีกเด็ดขาด”

              เพื่อนซี้กรอกเสียงรัวมาเป็นชุด จะเก็บกดอัดอั้นมาจากไหนอะไรนักหนาเนี่ย แต่ที่เธอเป็นแบบนี้ก็คงเพราะฉันนั่นละ

              สรุปจากคำพูดของยายส้มแล้ว ที่ฉันมานั่งอยู่บนรถเมล์คันนี้ได้แบบไม่รู้ตัว ก็เป็นเพราะฉันเองสินะ แต่จะว่าก็ว่าเถอะ ฉันเมาแล้วอาการหนักขนาดนี้เลยหรือเนี่ย ไม่เห็นเคยมีใครบอกแล้วก็ไม่เห็นรู้เรื่องเลย

              “ปริม แกฟังอยู่หรือเปล่า อย่าเอาแต่เงียบสิ นี่ฉันใจคอไม่ดีแล้วเนี่ย”

              “อือ ไม่เป็นไร หายเมาแล้ว พะอืดพะอมอยู่เลยยังไม่ค่อยอยากคุย แค่นี้ก่อนนะ พูดมากเดี๋ยวอ้วก”

              “เห้ย เดี๋ยว ๆ เดี๋ยวสิ ยายปริม อย่าเพิ่งวาง”

              เสียงร้องแหลมราวคอขาดบาดตายที่ส่งมาทำเอาฉันถึงกับชะงัก เส้นเลือดบนขมับบีบตัวจนปวดหัวจี้ดขึ้นมาเสียดื้อ ๆ

              “อะไรอีกล่ะ แก”

              “ปริม แกไม่เป็นอะไรแน่นะ อย่าคิดมากนะเว้ย เรื่องอะไรที่คิดแล้วไม่สบายใจ เรื่องแย่ ๆ ที่ทำร้ายเราน่ะ ปล่อยมันไปบ้างนะ พอพรุ่งนี้มาถึงมันก็ผ่านไปแล้ว”

              พูดแบบนี้แสดงว่ายายส้มรู้เรื่องของฉันหมดแล้วแน่ ๆ สงสัยตอนกำลังเมาไม่รู้เรื่องคงเผลอพูดเผลอเล่าให้ฟังไปหมดแล้วแหงเลย...

              ฉันคิดอยู่ในใจอย่างไม่รู้จะตอบกลับไปว่าอะไรดี จะบอกว่าสบายดีไม่ต้องห่วง แค่ดูด้วยตาก็รู้แล้วว่าไม่ได้เป็นอย่างนั้นสักนิด แล้วคนที่กำลังตกงาน แถมถูกแฟนที่แสนดีทิ้งมาหมาด ๆ มันจะสบายดีไปได้อย่างไรกันล่ะ

              แต่จะให้ตอบไปว่าฉันกำลังแย่สุด ๆ ไม่สบายเลยสักนิด แถมรู้สึกสิ้นหวังอับจนหนทาง ไม่หลงเหลืออะไรในชีวิตแล้ว ก็คงจะไม่ได้อีกเหมือนกันใช่ไหมล่ะ

              “เงียบอีกแล้ว ถ้าอย่างนั้นแกฟังให้ดี จะพูดแค่ครั้งเดียวนะ ฉันเขิน”

              ต่างคนต่างเงียบกันไปชั่วอึดใจ ได้ยินเสียงสูดลมหายใจยาวแว่วผ่านเข้ามาในสาย คล้ายกับว่ายายส้มกำลังลำดับเรียบเรียงคำพูด หรือพยายามรวบรวมความกล้าอยู่ หลังจากนั้นยายเพื่อนซี้ก็พูดออกมาอีกครั้งด้วยน้ำเสียงที่ฟังจริงจังขึ้น

              “ฉันเป็นห่วงแก แกยังมีคนที่รักรออยู่ อย่างน้อยก็ฉันคนหนึ่งละ ต่อให้ใครหน้าไหนจะทิ้งจะไม่เอาแก แต่ฉันจะไม่มีวันทิ้งแกเด็ดขาด ฉันจะอยู่กับแก จะนั่งอยู่ข้าง ๆ แกไม่ไปไหนทั้งนั้น จำไว้นะ ปริม”

              สิ้นเสียงของส้ม จู่ ๆ ภาพใบหน้าของเธอก็มาลอยปรากฏอยู่ตรงหน้าให้ได้เห็น มันชัดเจนเสียจนราวกับตัวจริงมายืนอยู่ต่อหน้า แล้วถัดจากนั้นใบหน้าของพ่อแม่ ญาติพี่น้อง และเหล่าบรรดาคนที่สนิทชิดเชื้อ ต่างก็ค่อย ๆ ทยอยผุดแทรกจนห้อมล้อมรอบตัวของฉันไปหมด

              รับรู้ได้ถึงก้อนสะอื้นที่มาจุกอยู่ตรงอก ทว่าในครั้งนี้มันไม่ใช่เรื่องของเขาอีกแล้ว หากแต่เป็นเพราะคำพูดประโยคสั้น ๆ ที่ช่วยปลุกให้ฉันตื่นจากฝันร้ายต่างหาก ไร้ซึ่งการประดิษฐ์ประดอยให้ฟังเลิศหรู เป็นประโยคซึ่งง่ายแสนง่าย แต่กลับยากแสนยากหากจะกล้าพูดออกไปให้ใครสักคนได้ฟัง

              พลันโลกไร้แสงอันมืดมิดไร้ทางออกก็เกิดการกระเพื่อมแห่งการเปลี่ยนแปร จุดละอองแสงเล็กจิ๋วที่ลอยละล่องมาจากที่ใดสักแห่งกลับฟุ้งกระจายไปทั่วจนสว่างไสว ขับไล่เมฆหมอกหม่นมัวซึ่งปกคลุมอยู่ภายในใจให้มลายหายไป

              ก่อนหน้านี้ฉันกำลังคิดบ้าอะไรอยู่ ตั้งใจจะทำอะไรลงไปกันแน่...คำพูดของเพื่อนรักช่วยดึงสติให้กลับมาตั้งคำถามเหล่านี้ ทำให้ได้หันกลับมามองเห็นความเป็นจริงตรงหน้า กลับมาอยู่กับตัวเอง กลับมาเป็นฉันที่เป็นตัวของตัวเองอีกครั้งหนึ่ง

              “อย่าบอกว่ารักฉันนะยายส้ม แค่นี้ก็จะอ้วก ขนลุกจะแย่แล้ว”

              “ไอ้บ้า จะเข้าซีนซึ้งเสียหน่อย ดันมาดักคอกันได้ เขินเลยเนี่ย”

              เสียงเหวี่ยงวีนจากปลายสายทำเอาฉันอมยิ้ม ฟังแล้วก็รู้สึกว่าเธอคงเขินอย่างที่พูดจริง ๆ นั่นละ

              “ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าแกรักฉัน เพราะฉันก็รักแกเหมือนกัน ไม่ต้องห่วงแล้วละ ฉันพอแล้ว ตาสว่างแล้ว ขอบใจแกนะ ส้ม”

              “อ้าว ไม่ให้ฉันพูด แล้วแกมาพูดเองทำไมเนี่ย ดูซิเนี่ย ผื่นฉันขึ้นเต็มแขนไปหมดแล้ว เออ...ยังไงกลับถึงห้องแล้วก็โทรฯ หาฉันด้วย เข้าใจนะ ปริม”

              “อื้อ”

              หัวเราะออกมาพร้อมทำเสียงตอบรับในลำคอส่งกลับไปให้ กดวางสายก่อนจะยัดโทรศัพท์เครื่องจิ๋วกลับเข้าไว้ในกระเป๋ากางเกง หลับตาลงและทิ้งน้ำหนักตัวลงไปกับพนักพิงอย่างหมดเรี่ยวหมดแรง

              รู้สึกตกใจและขนลุกกับอารมณ์ของตัวเองก่อนหน้านี้ขึ้นมา เกือบจะคิดฟุ้งซ่านจนทำอะไรไม่เข้าท่าลงไปเสียแล้ว

              คนหมดรักหมดใจกันแล้ว ต่อให้ทำอะไรหรือเรียกร้องความสนใจสักเพียงใด เขาก็คงไม่ได้นึกเสียใจ คงไม่มีทางรู้สึกอะไรเลยด้วยซ้ำ กลับกัน...เป็นคนที่รักเราต่างหาก ที่เป็นฝ่ายได้รับผลจากสิ่งที่เราทำลงไป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่