สาวน้อยพลังจิต
บทที่ 7 สัญชาติญาณวิเศษ
ทรายเล่าจบก็หยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาซับน้ำตา อาจารย์สะกดจิตถึงกับถอนหายใจ
“ผมเสียใจด้วยนะที่เกิดเรื่องอย่างนี้กับคุณ แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้ ผมก็ยังไม่ทราบคำตอบ ให้เดาก็คงบอกว่า มันอาจมาพร้อมกับการเปิดจิตใต้สำนึกคราวที่แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ได้ถูกเรียกกลับขึ้นมาด้วย เราคงต้องลองเข้าไปค้นหาว่ามีที่มาที่ไปยังไง........
ส่วนเรื่องความสามารถพิเศษที่คุณมี ไม่น่าจะเป็นสัญชาติญาณมรณะหรือพรนรกอย่างที่คนอื่นเขาว่ากัน ผมสรุปว่า เพียงแต่มันเกิดขึ้นตอนนี้ ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะแก่วัยของคุณ และได้มาอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่มีการเตรียมตัวหรือฝึกฝนในการใช้หรือรับมือ ถ้าคุณอายุมากกว่านี้ก็อาจจะเรียนรู้วิธีที่จะจัดการกับมันได้ดีกว่า แต่ในเมื่อตอนนี้มันมีอยู่ คุณคงต้องฝึกฝนตัวเอง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความสามารถพิเศษนี้ได้ เรียนรู้ที่จะประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ และรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด...............”
อีกอย่าง.........ผมดีใจแทนนะ ที่คุณมีเพื่อนที่เขารักคุณมากๆ ทั้งแพรวทั้งแจ็ค คนอายุเท่านี้ คิดเรื่องอย่างนี้ได้คงมีไม่มาก
ช่วงนี้ให้คุณเก็บเนื้อเก็บตัว อย่าให้เรื่องราวความสามารถพิเศษแพร่งพรายแผ่ขยายออกไป และพยายามตัดใจกับเรื่องนอกตัว เมื่อคุณเรียนรู้และเข้าใจวิธีควบคุมและรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีแล้ว ค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับใคร ใครจะเป็นใครจะตายอย่าไปวิตกกังวลทุกข์ร้อน คงต้องฝึกฝนตัวเองที่จะปล่อยผ่านเลย ไม่ใส่ใจ ไม่วิตก ไม่กังวล ไม่ทุกข์ร้อน เพราะสถานภาพของคุณยังไม่มีความสามารถที่จะไปช่วยใครเขาได้ ที่แพรวบอกกับคุณก็มีส่วนถูกอยู่มากเลยนะ.........
เรื่องเหตุการณ์ที่ร้านทอง ผมวิเคราะห์อย่างนี้ ถ้าเผอิญคุณไม่รู้ เขาก็ต้องตายอยู่ดี อาจเป็นกรรมเก่าของเขา หรือถ้าคุณขัดขว้างได้สำเร็จ ภัยร้ายก็จะมาถึงตัวคุณ ถ้าคุณโตกว่านี้และช่วยตัวเองได้มากกว่านี้ คุณค่อยตัดสินใจเองว่าคุณจะเลือกที่จะช่วยเขาหรือไม่ อย่างไร แต่ ตอนนี้คุณยังไม่พร้อม อย่าทำอะไรที่เป็นการสุ่มเสี่ยงเป็นอันขาด ต้องมั่นใจแล้วว่าไม่เกิดอันตราย และพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็พอจะเป็นไปได้ที่จะใช้สัญชาติญาณพิเศษของคุณให้เป็นประโยชน์.....................
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความเศร้า ความวิตกกังวลที่คุณได้ไปรู้ไปเห็นเหตุการณ์ต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถช่วยใครได้ในช่วงนี้ คงต้องฝึกควบคุมจิตใจให้ปล่อยผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ยึดเอามาเป็นอารมณ์ เพราะนับจากช่วงนี้ ปัญหาของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณมันจะพุ่งเข้ามาแวดล้อมทำให้เราสับสนไปหมด..............
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง เราจะเรียกว่าอะไรก็ตาม พรหมลิขิต อาณัติสวรรค์ อนิจจัง หรือประสงค์ของพระเป็นเจ้า แล้วแต่จะเรียก ที่กำหนดให้คุณมีความสามารถพิเศษเหล่านี้ขึ้นมาในช่วงเวลานี้ วันนี้คุณอาจยังไม่รู้ แต่เมื่อถึงวันนั้น คุณจะรู้ได้ด้วยตัวเอง...............
ตอนนี้เรามาค้นหากันดีกว่า ว่าความสามารถพิเศษเหล่านี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
................................................................................................................................................................................
ทรายนอนหลับตาอยู่บนเก้าอี้นอนตัวเดิม เธอรู้สึกเหมือนถูกอุโมงค์ยักษ์ดูดเข้าไป ภาพเหตุการณ์ต่างๆหลั่งไหลออกมา เธออธิบายภาพที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ
“พันอินทร์เสียใจมากที่เพื่อนทั้ง 8 ต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเอง จึงขอพระยาทุกขราษฎร์ฝากฝังให้ติดตามเจ้านายขึ้นไปรับราชการที่กรุงเทพ เพราะไม่อาจอยู่มองหน้าลูกเมียคนที่ตัวเองฆ่าได้อีกต่อไป ได้ติดทัพหลวงเข้ามาเป็นทหารในสังกัดพระมหาอุปราช ได้รับอนุญาตให้ไปอาศัยอยู่ใกล้วัดตองปุ..............
ด้วยความที่เป็นคนชอบเรียนคาถาอาคม จึงแสวงหาอาจารย์ดีมีฝีมือให้สอนคาถาอาคมต่างๆ เวลาไปราชการสงครามก็ไปเรียนอาคมจากที่ต่างๆมามากมาย............
ครั้งตามเสด็จไปรบที่ลำปางก็ไปเรียนคุณไสยกับหมอผีทางเหนือ เป็นผู้ช่วยพระครูในการทำพิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงห์มาจากเชียงใหม่ด้วย.............
ส่วนใหญ่จะตามเสด็จขึ้นไปรบทางเหนือหลายครั้ง มีอยู่หนหนึ่ง ขณะทำการรบป้องกันทัพพม่าที่เชียงใหม่ ทัพไทยตีทัพพม่าแตก
ทัพพม่าครั้งนั้น มีนายทัพที่เก่งคาถาอาคมติดมาด้วยคนหนึ่ง พันอินทร์ใช้อาคมจับตัวนายทัพคนนั้นมาได้รับปากไว้ชีวิต จึงได้เรียนอาคมกับนายทัพนั้น แล้วยังได้ยึดเอายันต์ที่ใช้สำหรับหาฤกษ์ยามในการเคลื่อนทัพ ของนายทัพนั้นมาถวาย นายทัพนั้นชื่ออุบากอง ยันตร์นั้นคือยันตร์อุบากอง............
พันอินทร์ รับราชการสนองพระเดชพระคุณจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนอินทร์ ครั้งสุดท้าย หลังจากพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถสิ้นพระชนม์ เกิดกบฏวังหน้า ขุนอินทร์ถูกกล่าวหาว่าร่วมอยู่ในกบฏนั้น.........
เนื่องจากเป็นจอมขมังเวทย์ ขุนอินทร์จึงเป็นคนเดียวที่ถูกประหารทันทีด้วยวิธีทางคุณไสย เพราะกลัวว่าจะใช้อาคมสะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน และแรงอาฆาตของคนที่ทำทางคุณไสยนี้มีมาก เพชฌฆาตจึงใช้เลือดสุนัขสาด แล้วเอาผ้านุ่งที่เปื้อนประจำเดือนสตรีคลุมหัว ใช้หลาวไม้ไผ่แทงจากทวารขึ้นมาออกทางปาก นอกจากนี้ยังถูกลงอาคมสะกดวิญญาณไว้ด้วย ไม่ให้วิญญาณมีฤทธิ์เดช.........................”
เธอสะดุ้งสุดตัว แววตานั้นแสดงความเศร้าอย่างสุดฤทธิ์
อาจารย์สะกดจิตถึงกับก้มหน้านิ่ง เป็นใครคงยากที่จะออกความเห็นอะไรในตอนนี้
................................................................................................................................................................................
ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้ว เช้าวันนี้ตรงที่แพรวเคยนั่งก็ยังว่างเปล่าเหมือนหลายวันที่ผ่านมา แจ็คเองก็เพิ่งมาถึงโรงเรียน เขาเดินเข้ามาห้องเรียน จะตรงไปที่นั่งของตัวเอง ทรายเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างเศร้าๆ ช่วงนี้ทรายพยายามเติมเต็มความเหงาและเศร้าด้วยการไปวัด และศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้รู้จักและเข้าใจชีวิตของขุนอินทร์ให้มากที่สุด
เธอยอมไปทักแจ็ค พูดให้อภัยและขอบใจสิ่งที่แจ็คกระทำ และขอให้พาไปพบหลวงน้าอีกครั้งหนึ่ง หลวงน้าสอนเธอเรื่องเวรกรรม บาปบุญคุณโทษ และบอกเธอเมื่อได้รับฟังเรื่องชีวิตบั้นปลายของขุนอินทร์ว่า คงเป็นเพราะเวรกรรมที่ขุนอินทร์ทำไว้นั้นใกล้หมดแล้ว อาคมที่สะกดฤทธิ์ของวิญญาณไว้เลยเสื่อม มาติดเอาเรื่องพยาบาทของเพื่อน 8 คนที่ถูกฆ่า พอล้างไปด้วยการขออโหสิกรรม ฤทธิ์เดชจึงกลับมาอย่างเดิม หากเธอใช้อย่างมีสติก็จะผ่อนหนักเป็นเบา และแก้ร้ายกลายเป็นเป็นดีได้
เธอศึกษาประวัติศาสตร์จนได้ภาพรวมที่ชัดเจนถึงเรื่องราวของขุนอินทร์ แม้จะไม่มีตรงไหนของประวัติศาสตร์จารึกชื่อของขุนอินทร์ไว้เลย เธอก็เชื่อว่าขุนอินทร์มีตัวตนจริง และเป็นตัวเธอในชาติภพที่ผ่านมาอย่างแน่นอน มีแต่เพียงความสงสัยอย่างที่อาจารย์สะกดจิตพูดไว้ ว่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง เราจะเรียกว่าอะไรก็ตาม พรหมลิขิต อาณัติสวรรค์ อนิจจัง หรือประสงค์ของพระเป็นเจ้า แล้วแต่จะเรียก ที่กำหนดให้ทรายมีความสามารถพิเศษเหล่านี้ขึ้นมาในช่วงเวลานี้
เช้าวันหนึ่ง เธอขอแม่อรไปทำบุญที่วัดด้วยตัวเอง คราวนี้เธอเลือกไปวัดที่ขุนอินทร์เคยอาศัยอยู่ วัดตองปุ ภายหลังเมื่อปฏิสังขรแล้ว พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทพระราชทานนาม วัดชนะสงคราม รอบๆวัดเดี๋ยวนี้เป็นตึกแถวไปหมดแล้ว คงไม่มีหลักฐานอะไรเหลือถึงปัจจุบันที่จะทำให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยของขุนอินทร์
ขณะทรายเดินเลียบไปตามผนังโบสถ์ด้านนอก ฉับพลันนั้นบังเกิดภาพฉายแว๊บขึ้นในสมอง
เป็นภาพย้อนอดีต เธอถึงกับตะลึง ซวนเซจนล้มลงนั่งข้างเสาต้นใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่นอกโบสถ์
ภาพปรากฏตรงหน้า เป็นภาพของชายวัยกลางคน แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่เค้าหน้านั้นไม่เปลี่ยนเลย ชายคนนั้นคือขุนอินทร์
ขุนอินทร์อยู่ที่กลางลานกว้าง ในยุคนั้นบริเวณนี้ไม่ได้เป็นที่ตั้งโบสถ์ เป็นเพียงแต่ลานว่างๆที่ตอนนี้มีการปลูกเพิงชั่วคราว ตรงที่ขุนอินทร์อยู่เป็นตะแลงแกง ขุนอินทร์ถูกมัดมือมัดเท้ายืนอยู่บนขื่อไม้ไผ่
“หลวงพี่ หลวงพี่”
ขุนอินทร์ตะโกนเรียกพระรูปหนึ่งที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ในกลุ่มชาวบ้าน
พระรูปนั้นเดินแหวกฝูงชนออกมา ทหารสองคนถือดาบเปลือยอก ยืนคุมเชิงอยู่ ส่ายหน้าให้พระ เป็นเชิงไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปใกล้กว่านี้ ทหารอีกคนสวมเสื้อท่าทีเป็นหัวหน้าพยักหน้าให้ทหารทั้งสอง พระรูปนั้นจึงมีโอกาสเดินเข้ามาใกล้ขุนอินทร์ เมื่อมาถึงห่างประมาณ 5 เมตรก็ยืนก้มหน้าสำรวมอยู่
“มาบัดนี้ ข้าเห็นจริงแล้ว เวรกรรมนั้นตามทันในชาติภพนี้ ข้าถูกวิญญาณพยาบาทของเกลอแก้วทั้ง 8 ตามหลอกหลอนมิได้ขาด แต่ก็แคล้วคลาดมาได้ วันนี้ ข้าต้องอาญาแผ่นดินมีโทษถึงตาย เป็นโทษฑัณฑ์ดั่งที่ข้าเคยกล่าวให้อาญาแก่ผู้อื่น..........
วันนั้นข้าเป็นพระ อันว่าผู้อยู่ในร่มกาสาวพัตรนั้นมิกล่าวความเท็จ ข้าจึงกล่าวความสัตย์ไปจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงตาย
วันนั้นข้าว่าข้าทำชอบแล้ว เพราะความสัตย์นั้นปรากฏจริง แต่เกลอข้าก็หาได้ละความพยาบาทไม่
วันนี้ข้าถูกจับเพราะท่านชี้ช่องหลบซ่อนแก่ทนาย น่าขันตรงที่ข้าทำผู้อื่นถึงตายนั้นตอนเป็นพระ มาบัดนี้เพราะพระข้าจึงถึงตาย เหตุการณ์ช่างละม้ายเสียนี่กระไร...........
แต่มีสิ่งหนึ่ง ข้าจะมิกระทำเด็ดขาด คือความพยาบาท เพราะข้ารู้พิษของมันยิ่งนัก ข้ามิได้พยาบาทท่าน ขอท่านผู้เจริญจงแสดงธรรมแก่ข้าด้วยเถิด...............”
ขุนอินทร์พูดจบ พระรูปนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพูดบ้าง
“สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุ โยมพูดถึงเหตุที่ทำให้ถึงตายในวันนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม อาตมารับกับโยมว่ามิได้โกหกให้แก่โยม ว่าไม่เห็นโยมวิ่งหนีข้ามวัดไป ถ้าวันนี้โยมหนีไปได้ พรุ่งนี้โยมก็อาจปะสิ่งอื่นจนเป็นเหตุให้ถึงตาย ผู้ที่โยมทำให้ถึงตาย ถ้าไม่มีโยม ก็อาจมีคนอื่นทำให้เขาถึงตาย หรือเหตุการณ์อื่นก็อาจทำให้เขาถึงตาย ใดๆล้วนเป็นอนิจจัง ความพยาบาทจึงจักทำให้เรายึดติดมิอาจไปไหนได้...................
อย่าห่วงว่าเพราะเขา เราจึงเป็นเช่นนี้ เราจึงเป็นเช่นนั้น จงเพียรทำหน้าที่ของเราอย่าให้ขาด ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี หากเราดีอยู่แล้วใครเล่าจะทำอันตรายได้ หากเราพบกับอันตรายนั้น หาใช่เพราะเราทำความดีเราจึงได้รับอันตราย แต่เป็นเพราะทุกการกระทำนั้นให้ผลที่แตกต่างกันไป.........
การประพฤติดีประพฤติชอบ ต้องกระทำอย่างมีสติ ต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณา เหตุแห่งการกระทำของเราเท่านั้น จึงมีผลต่อการกระทำของเรา ไม่อาจจะมาจากคนอื่น อย่างอื่น เหตุการณ์อื่นได้ เจริญพร”
พระนั้นพูดจบก็เดินจากไป ทนาย 2-3 คนเดินมาที่ขุนอินทร์ คนหนึ่งถือชามมีน้ำข้นสีแดงเข้มอยู่เต็ม เขาพนมมือขออโหสิกรรมแก่ขุนอินทร์ แล้วราดรดน้ำสีแดงเข้มแต่ศีรษะ น้ำสีแดงเข้มไหลย้อยอาบทั่วล่าง อีกคนหนึ่งใช้ผ้าผืนหนึ่งเป็นลายผ้านุ่งอย่างคนโบราณคลุมศีรษะขุนอินทร์...................................
เธอสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นช่วงเวลาที่ขุนอินทร์จะถูกประหารชีวิต คำพูดนี้ก้องอยู่ในหู
“อย่าห่วงว่าเพราะเขา เราจึงเป็นเช่นนี้ เราจึงเป็นเช่นนั้น จงเพียรทำหน้าที่ของเราอย่าให้ขาด ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี หากเราดีอยู่แล้วใครเล่าจะทำอันตรายได้ หากเราพบกับอันตรายนั้น หาใช่เพราะเราทำความดีเราจึงได้รับอันตราย แต่เป็นเพราะทุกการกระทำนั้นให้ผลที่แตกต่างกันไป.........
การประพฤติดีประพฤติชอบ ต้องกระทำอย่างมีสติ ต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณา เหตุแห่งการกระทำของเราเท่านั้น จึงมีผลต่อการกระทำของเรา ไม่อาจจะมาจากคนอื่น อย่างอื่น เหตุการณ์อื่นได้”
คำพูดนี้ทำให้เธอคิดอะไรได้บางอย่าง เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เธอจึงรีบเดินทางไปสถานีตำรวจทันที
...................................................................................................................................................................................
“เรื่องนั้นไม่ต้องวิตก เมียเจ้าของร้านจำหน้าโจรได้ ขอเพียงแต่ว่าเรารู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ไหนก็จะสามารถตามจับตัวมันได้แน่นอน”
ร้อยตำรวจโท
สาวน้อยพลังจิต บทที่ 7 สัญชาติญาณวิเศษ
บทที่ 7 สัญชาติญาณวิเศษ
ทรายเล่าจบก็หยิบกระดาษทิชชูขึ้นมาซับน้ำตา อาจารย์สะกดจิตถึงกับถอนหายใจ
“ผมเสียใจด้วยนะที่เกิดเรื่องอย่างนี้กับคุณ แต่ถ้าถามว่าทำไมถึงเกิดเรื่องอย่างนี้ขึ้นมาได้ ผมก็ยังไม่ทราบคำตอบ ให้เดาก็คงบอกว่า มันอาจมาพร้อมกับการเปิดจิตใต้สำนึกคราวที่แล้ว บางสิ่งบางอย่างที่แอบซ่อนอยู่ได้ถูกเรียกกลับขึ้นมาด้วย เราคงต้องลองเข้าไปค้นหาว่ามีที่มาที่ไปยังไง........
ส่วนเรื่องความสามารถพิเศษที่คุณมี ไม่น่าจะเป็นสัญชาติญาณมรณะหรือพรนรกอย่างที่คนอื่นเขาว่ากัน ผมสรุปว่า เพียงแต่มันเกิดขึ้นตอนนี้ ในช่วงเวลาที่ไม่เหมาะแก่วัยของคุณ และได้มาอย่างปัจจุบันทันด่วน ไม่มีการเตรียมตัวหรือฝึกฝนในการใช้หรือรับมือ ถ้าคุณอายุมากกว่านี้ก็อาจจะเรียนรู้วิธีที่จะจัดการกับมันได้ดีกว่า แต่ในเมื่อตอนนี้มันมีอยู่ คุณคงต้องฝึกฝนตัวเอง และเรียนรู้ที่จะอยู่กับความสามารถพิเศษนี้ได้ เรียนรู้ที่จะประยุกต์ให้เกิดประโยชน์ และรับมือกับสถานการณ์ที่ไม่คาดคิด...............”
อีกอย่าง.........ผมดีใจแทนนะ ที่คุณมีเพื่อนที่เขารักคุณมากๆ ทั้งแพรวทั้งแจ็ค คนอายุเท่านี้ คิดเรื่องอย่างนี้ได้คงมีไม่มาก
ช่วงนี้ให้คุณเก็บเนื้อเก็บตัว อย่าให้เรื่องราวความสามารถพิเศษแพร่งพรายแผ่ขยายออกไป และพยายามตัดใจกับเรื่องนอกตัว เมื่อคุณเรียนรู้และเข้าใจวิธีควบคุมและรับมือกับสถานการณ์ต่างๆได้ดีแล้ว ค่อยว่ากันใหม่ ตอนนี้จะเกิดอะไรขึ้นกับใคร ใครจะเป็นใครจะตายอย่าไปวิตกกังวลทุกข์ร้อน คงต้องฝึกฝนตัวเองที่จะปล่อยผ่านเลย ไม่ใส่ใจ ไม่วิตก ไม่กังวล ไม่ทุกข์ร้อน เพราะสถานภาพของคุณยังไม่มีความสามารถที่จะไปช่วยใครเขาได้ ที่แพรวบอกกับคุณก็มีส่วนถูกอยู่มากเลยนะ.........
เรื่องเหตุการณ์ที่ร้านทอง ผมวิเคราะห์อย่างนี้ ถ้าเผอิญคุณไม่รู้ เขาก็ต้องตายอยู่ดี อาจเป็นกรรมเก่าของเขา หรือถ้าคุณขัดขว้างได้สำเร็จ ภัยร้ายก็จะมาถึงตัวคุณ ถ้าคุณโตกว่านี้และช่วยตัวเองได้มากกว่านี้ คุณค่อยตัดสินใจเองว่าคุณจะเลือกที่จะช่วยเขาหรือไม่ อย่างไร แต่ ตอนนี้คุณยังไม่พร้อม อย่าทำอะไรที่เป็นการสุ่มเสี่ยงเป็นอันขาด ต้องมั่นใจแล้วว่าไม่เกิดอันตราย และพิจารณาอย่างรอบคอบแล้ว ก็พอจะเป็นไปได้ที่จะใช้สัญชาติญาณพิเศษของคุณให้เป็นประโยชน์.....................
แต่เพื่อหลีกเลี่ยงความเศร้า ความวิตกกังวลที่คุณได้ไปรู้ไปเห็นเหตุการณ์ต่างๆ แต่ก็ไม่สามารถช่วยใครได้ในช่วงนี้ คงต้องฝึกควบคุมจิตใจให้ปล่อยผ่านเหตุการณ์ต่างๆ ไม่ยึดเอามาเป็นอารมณ์ เพราะนับจากช่วงนี้ ปัญหาของคนอื่นที่ไม่ใช่ตัวคุณมันจะพุ่งเข้ามาแวดล้อมทำให้เราสับสนไปหมด..............
อย่างไรก็ตาม ผมเชื่อว่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง เราจะเรียกว่าอะไรก็ตาม พรหมลิขิต อาณัติสวรรค์ อนิจจัง หรือประสงค์ของพระเป็นเจ้า แล้วแต่จะเรียก ที่กำหนดให้คุณมีความสามารถพิเศษเหล่านี้ขึ้นมาในช่วงเวลานี้ วันนี้คุณอาจยังไม่รู้ แต่เมื่อถึงวันนั้น คุณจะรู้ได้ด้วยตัวเอง...............
ตอนนี้เรามาค้นหากันดีกว่า ว่าความสามารถพิเศษเหล่านี้ มันเกิดขึ้นได้ยังไง”
................................................................................................................................................................................
ทรายนอนหลับตาอยู่บนเก้าอี้นอนตัวเดิม เธอรู้สึกเหมือนถูกอุโมงค์ยักษ์ดูดเข้าไป ภาพเหตุการณ์ต่างๆหลั่งไหลออกมา เธออธิบายภาพที่เกิดขึ้นได้เป็นฉากๆ
“พันอินทร์เสียใจมากที่เพื่อนทั้ง 8 ต้องตายด้วยน้ำมือของตัวเอง จึงขอพระยาทุกขราษฎร์ฝากฝังให้ติดตามเจ้านายขึ้นไปรับราชการที่กรุงเทพ เพราะไม่อาจอยู่มองหน้าลูกเมียคนที่ตัวเองฆ่าได้อีกต่อไป ได้ติดทัพหลวงเข้ามาเป็นทหารในสังกัดพระมหาอุปราช ได้รับอนุญาตให้ไปอาศัยอยู่ใกล้วัดตองปุ..............
ด้วยความที่เป็นคนชอบเรียนคาถาอาคม จึงแสวงหาอาจารย์ดีมีฝีมือให้สอนคาถาอาคมต่างๆ เวลาไปราชการสงครามก็ไปเรียนอาคมจากที่ต่างๆมามากมาย............
ครั้งตามเสด็จไปรบที่ลำปางก็ไปเรียนคุณไสยกับหมอผีทางเหนือ เป็นผู้ช่วยพระครูในการทำพิธีอัญเชิญพระพุทธสิหิงห์มาจากเชียงใหม่ด้วย.............
ส่วนใหญ่จะตามเสด็จขึ้นไปรบทางเหนือหลายครั้ง มีอยู่หนหนึ่ง ขณะทำการรบป้องกันทัพพม่าที่เชียงใหม่ ทัพไทยตีทัพพม่าแตก
ทัพพม่าครั้งนั้น มีนายทัพที่เก่งคาถาอาคมติดมาด้วยคนหนึ่ง พันอินทร์ใช้อาคมจับตัวนายทัพคนนั้นมาได้รับปากไว้ชีวิต จึงได้เรียนอาคมกับนายทัพนั้น แล้วยังได้ยึดเอายันต์ที่ใช้สำหรับหาฤกษ์ยามในการเคลื่อนทัพ ของนายทัพนั้นมาถวาย นายทัพนั้นชื่ออุบากอง ยันตร์นั้นคือยันตร์อุบากอง............
พันอินทร์ รับราชการสนองพระเดชพระคุณจนได้เลื่อนตำแหน่งเป็นขุนอินทร์ ครั้งสุดท้าย หลังจากพระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาถสิ้นพระชนม์ เกิดกบฏวังหน้า ขุนอินทร์ถูกกล่าวหาว่าร่วมอยู่ในกบฏนั้น.........
เนื่องจากเป็นจอมขมังเวทย์ ขุนอินทร์จึงเป็นคนเดียวที่ถูกประหารทันทีด้วยวิธีทางคุณไสย เพราะกลัวว่าจะใช้อาคมสะเดาะกุญแจและโซ่ตรวน และแรงอาฆาตของคนที่ทำทางคุณไสยนี้มีมาก เพชฌฆาตจึงใช้เลือดสุนัขสาด แล้วเอาผ้านุ่งที่เปื้อนประจำเดือนสตรีคลุมหัว ใช้หลาวไม้ไผ่แทงจากทวารขึ้นมาออกทางปาก นอกจากนี้ยังถูกลงอาคมสะกดวิญญาณไว้ด้วย ไม่ให้วิญญาณมีฤทธิ์เดช.........................”
เธอสะดุ้งสุดตัว แววตานั้นแสดงความเศร้าอย่างสุดฤทธิ์
อาจารย์สะกดจิตถึงกับก้มหน้านิ่ง เป็นใครคงยากที่จะออกความเห็นอะไรในตอนนี้
................................................................................................................................................................................
ผ่านไปสัปดาห์หนึ่งแล้ว เช้าวันนี้ตรงที่แพรวเคยนั่งก็ยังว่างเปล่าเหมือนหลายวันที่ผ่านมา แจ็คเองก็เพิ่งมาถึงโรงเรียน เขาเดินเข้ามาห้องเรียน จะตรงไปที่นั่งของตัวเอง ทรายเงยหน้าขึ้นมายิ้มให้อย่างเศร้าๆ ช่วงนี้ทรายพยายามเติมเต็มความเหงาและเศร้าด้วยการไปวัด และศึกษาประวัติศาสตร์ เพื่อให้ได้รู้จักและเข้าใจชีวิตของขุนอินทร์ให้มากที่สุด
เธอยอมไปทักแจ็ค พูดให้อภัยและขอบใจสิ่งที่แจ็คกระทำ และขอให้พาไปพบหลวงน้าอีกครั้งหนึ่ง หลวงน้าสอนเธอเรื่องเวรกรรม บาปบุญคุณโทษ และบอกเธอเมื่อได้รับฟังเรื่องชีวิตบั้นปลายของขุนอินทร์ว่า คงเป็นเพราะเวรกรรมที่ขุนอินทร์ทำไว้นั้นใกล้หมดแล้ว อาคมที่สะกดฤทธิ์ของวิญญาณไว้เลยเสื่อม มาติดเอาเรื่องพยาบาทของเพื่อน 8 คนที่ถูกฆ่า พอล้างไปด้วยการขออโหสิกรรม ฤทธิ์เดชจึงกลับมาอย่างเดิม หากเธอใช้อย่างมีสติก็จะผ่อนหนักเป็นเบา และแก้ร้ายกลายเป็นเป็นดีได้
เธอศึกษาประวัติศาสตร์จนได้ภาพรวมที่ชัดเจนถึงเรื่องราวของขุนอินทร์ แม้จะไม่มีตรงไหนของประวัติศาสตร์จารึกชื่อของขุนอินทร์ไว้เลย เธอก็เชื่อว่าขุนอินทร์มีตัวตนจริง และเป็นตัวเธอในชาติภพที่ผ่านมาอย่างแน่นอน มีแต่เพียงความสงสัยอย่างที่อาจารย์สะกดจิตพูดไว้ ว่าต้องมีเหตุผลบางอย่าง เราจะเรียกว่าอะไรก็ตาม พรหมลิขิต อาณัติสวรรค์ อนิจจัง หรือประสงค์ของพระเป็นเจ้า แล้วแต่จะเรียก ที่กำหนดให้ทรายมีความสามารถพิเศษเหล่านี้ขึ้นมาในช่วงเวลานี้
เช้าวันหนึ่ง เธอขอแม่อรไปทำบุญที่วัดด้วยตัวเอง คราวนี้เธอเลือกไปวัดที่ขุนอินทร์เคยอาศัยอยู่ วัดตองปุ ภายหลังเมื่อปฏิสังขรแล้ว พระมหาอุปราช กรมพระราชวังบวรมหาสุรสิงหนาทพระราชทานนาม วัดชนะสงคราม รอบๆวัดเดี๋ยวนี้เป็นตึกแถวไปหมดแล้ว คงไม่มีหลักฐานอะไรเหลือถึงปัจจุบันที่จะทำให้เห็นถึงชีวิตความเป็นอยู่ในยุคสมัยของขุนอินทร์
ขณะทรายเดินเลียบไปตามผนังโบสถ์ด้านนอก ฉับพลันนั้นบังเกิดภาพฉายแว๊บขึ้นในสมอง
เป็นภาพย้อนอดีต เธอถึงกับตะลึง ซวนเซจนล้มลงนั่งข้างเสาต้นใหญ่ที่ตั้งเรียงรายอยู่นอกโบสถ์
ภาพปรากฏตรงหน้า เป็นภาพของชายวัยกลางคน แม้หน้าตาจะเปลี่ยนไป แต่เค้าหน้านั้นไม่เปลี่ยนเลย ชายคนนั้นคือขุนอินทร์
ขุนอินทร์อยู่ที่กลางลานกว้าง ในยุคนั้นบริเวณนี้ไม่ได้เป็นที่ตั้งโบสถ์ เป็นเพียงแต่ลานว่างๆที่ตอนนี้มีการปลูกเพิงชั่วคราว ตรงที่ขุนอินทร์อยู่เป็นตะแลงแกง ขุนอินทร์ถูกมัดมือมัดเท้ายืนอยู่บนขื่อไม้ไผ่
“หลวงพี่ หลวงพี่”
ขุนอินทร์ตะโกนเรียกพระรูปหนึ่งที่ยืนมองเหตุการณ์อยู่ในกลุ่มชาวบ้าน
พระรูปนั้นเดินแหวกฝูงชนออกมา ทหารสองคนถือดาบเปลือยอก ยืนคุมเชิงอยู่ ส่ายหน้าให้พระ เป็นเชิงไม่อนุญาตให้เดินเข้าไปใกล้กว่านี้ ทหารอีกคนสวมเสื้อท่าทีเป็นหัวหน้าพยักหน้าให้ทหารทั้งสอง พระรูปนั้นจึงมีโอกาสเดินเข้ามาใกล้ขุนอินทร์ เมื่อมาถึงห่างประมาณ 5 เมตรก็ยืนก้มหน้าสำรวมอยู่
“มาบัดนี้ ข้าเห็นจริงแล้ว เวรกรรมนั้นตามทันในชาติภพนี้ ข้าถูกวิญญาณพยาบาทของเกลอแก้วทั้ง 8 ตามหลอกหลอนมิได้ขาด แต่ก็แคล้วคลาดมาได้ วันนี้ ข้าต้องอาญาแผ่นดินมีโทษถึงตาย เป็นโทษฑัณฑ์ดั่งที่ข้าเคยกล่าวให้อาญาแก่ผู้อื่น..........
วันนั้นข้าเป็นพระ อันว่าผู้อยู่ในร่มกาสาวพัตรนั้นมิกล่าวความเท็จ ข้าจึงกล่าวความสัตย์ไปจนเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงตาย
วันนั้นข้าว่าข้าทำชอบแล้ว เพราะความสัตย์นั้นปรากฏจริง แต่เกลอข้าก็หาได้ละความพยาบาทไม่
วันนี้ข้าถูกจับเพราะท่านชี้ช่องหลบซ่อนแก่ทนาย น่าขันตรงที่ข้าทำผู้อื่นถึงตายนั้นตอนเป็นพระ มาบัดนี้เพราะพระข้าจึงถึงตาย เหตุการณ์ช่างละม้ายเสียนี่กระไร...........
แต่มีสิ่งหนึ่ง ข้าจะมิกระทำเด็ดขาด คือความพยาบาท เพราะข้ารู้พิษของมันยิ่งนัก ข้ามิได้พยาบาทท่าน ขอท่านผู้เจริญจงแสดงธรรมแก่ข้าด้วยเถิด...............”
ขุนอินทร์พูดจบ พระรูปนั้นจึงเงยหน้าขึ้นพูดบ้าง
“สิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นล้วนมีเหตุ โยมพูดถึงเหตุที่ทำให้ถึงตายในวันนี้ สัตว์ทั้งหลายย่อมเป็นไปตามกรรม อาตมารับกับโยมว่ามิได้โกหกให้แก่โยม ว่าไม่เห็นโยมวิ่งหนีข้ามวัดไป ถ้าวันนี้โยมหนีไปได้ พรุ่งนี้โยมก็อาจปะสิ่งอื่นจนเป็นเหตุให้ถึงตาย ผู้ที่โยมทำให้ถึงตาย ถ้าไม่มีโยม ก็อาจมีคนอื่นทำให้เขาถึงตาย หรือเหตุการณ์อื่นก็อาจทำให้เขาถึงตาย ใดๆล้วนเป็นอนิจจัง ความพยาบาทจึงจักทำให้เรายึดติดมิอาจไปไหนได้...................
อย่าห่วงว่าเพราะเขา เราจึงเป็นเช่นนี้ เราจึงเป็นเช่นนั้น จงเพียรทำหน้าที่ของเราอย่าให้ขาด ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี หากเราดีอยู่แล้วใครเล่าจะทำอันตรายได้ หากเราพบกับอันตรายนั้น หาใช่เพราะเราทำความดีเราจึงได้รับอันตราย แต่เป็นเพราะทุกการกระทำนั้นให้ผลที่แตกต่างกันไป.........
การประพฤติดีประพฤติชอบ ต้องกระทำอย่างมีสติ ต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณา เหตุแห่งการกระทำของเราเท่านั้น จึงมีผลต่อการกระทำของเรา ไม่อาจจะมาจากคนอื่น อย่างอื่น เหตุการณ์อื่นได้ เจริญพร”
พระนั้นพูดจบก็เดินจากไป ทนาย 2-3 คนเดินมาที่ขุนอินทร์ คนหนึ่งถือชามมีน้ำข้นสีแดงเข้มอยู่เต็ม เขาพนมมือขออโหสิกรรมแก่ขุนอินทร์ แล้วราดรดน้ำสีแดงเข้มแต่ศีรษะ น้ำสีแดงเข้มไหลย้อยอาบทั่วล่าง อีกคนหนึ่งใช้ผ้าผืนหนึ่งเป็นลายผ้านุ่งอย่างคนโบราณคลุมศีรษะขุนอินทร์...................................
เธอสะดุ้งรู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกขึ้นได้ว่า เหตุการณ์ต่อไปจะเป็นช่วงเวลาที่ขุนอินทร์จะถูกประหารชีวิต คำพูดนี้ก้องอยู่ในหู
“อย่าห่วงว่าเพราะเขา เราจึงเป็นเช่นนี้ เราจึงเป็นเช่นนั้น จงเพียรทำหน้าที่ของเราอย่าให้ขาด ตั้งหน้าตั้งตาทำความดี หากเราดีอยู่แล้วใครเล่าจะทำอันตรายได้ หากเราพบกับอันตรายนั้น หาใช่เพราะเราทำความดีเราจึงได้รับอันตราย แต่เป็นเพราะทุกการกระทำนั้นให้ผลที่แตกต่างกันไป.........
การประพฤติดีประพฤติชอบ ต้องกระทำอย่างมีสติ ต้องหมั่นไตร่ตรองพิจารณา เหตุแห่งการกระทำของเราเท่านั้น จึงมีผลต่อการกระทำของเรา ไม่อาจจะมาจากคนอื่น อย่างอื่น เหตุการณ์อื่นได้”
คำพูดนี้ทำให้เธอคิดอะไรได้บางอย่าง เมื่อตัดสินใจได้แล้ว เธอจึงรีบเดินทางไปสถานีตำรวจทันที
...................................................................................................................................................................................
“เรื่องนั้นไม่ต้องวิตก เมียเจ้าของร้านจำหน้าโจรได้ ขอเพียงแต่ว่าเรารู้ว่ามันกบดานอยู่ที่ไหนก็จะสามารถตามจับตัวมันได้แน่นอน”
ร้อยตำรวจโท