พุทธศาสนธรรมแบ่งการกระทำของมนุษย์ไว้ ๓ ภาค
๑. มโนกรรม
๒. วจีกรรม
๓. กายกรรม
...
ผมเห็นจริงตามนั้น...
แต่... ผมคิดว่า... แค่คิดสกปรก... ก็เป็นบาปแล้ว ไม่ต้องไปรอให้ปรากฏเป็นคำพูด, เป็นการกระทำดอกครับ
ตรงกับศาสนธรรมของคริสต์ที่ว่า...
พระเยซูได้ทรงบอกเราว่าเพียงแค่คิดไม่ดีก็ถือว่าเราได้กระทำบาปแล้ว
“ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว” มัทธิว 5:28
(
http://www.christiansiam.com/Article/?p=220)
. . .
ถ้ากิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต... เมื่อกิเลสได้เกิดขึ้นแล้ว... ก็ย่อมนำความเศร้าหมองในเกิดขึ้นแก่จิตใจ...
ความเศร้าหมองนั้น...แล คือ ผลที่เกิดจากกิเลสซึ่งเป็นเหตุ...
ตราบที่มีเหตุ ย่อมมีผล...
ฉะนั้น... กิเลส คือ ความบาป นั่นเอง...
อกุศลจิต... ความคิดชั่ว ความคิดสกปรก ที่เกิดขึ้น... ก็มาจากความชั่วความสกปรกที่ยังมีเชื้ออยู่ในจิต (ไม่แน่ใจว่าเรียก อนุสัย หรืออาสวะ)
บางคนเมื่อเกิดขึ้น... ก็อาจจะเฉย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนอะไร...
ส่วนผม... ผมบอกเลย... เกิดความคิดชั่ว หรือเกิดอกุศลจิต ผมก็รู้สึกไม่ดีแก่ตัวเองแล้ว
มันก็เป็นความทุกข์อยู่ลึก ๆ ทุกข์เพราะเห็นความไม่ดี ความสกปรกของตัวเอง...
ผมบาปอยู่เสมอ ๆ ไม่ได้ไกลห่างจากนรกเลย... (กร๊ากกกส์ ๆ!!)
ผมเล็งเห็นว่า... มันเกิดที่จิต ก็ต้องแก้ที่จิต
และเรื่องจิต ๆ นั้น... ผมก็ไม่ได้พึ่งจิตวิทยาตะวันตกหรือจิตแพทย์
ผมคิดว่า... เมืองไทยเมืองพุทธ ก็มีของดีใกล้ตัวอยู่แล้ว
(ทำไมผมจะต้องไปตามตะวันตกล่ะ ? หรือเอะอะเป็นเหวอะไรก็ไปพบจิตแพทย์รับประทานยาแก้กลุ้ม ???)
ผมเล็งเห็นว่าศาสนธรรมทางพุทธมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องจิตไว้มาก จะว่าไปเนื้อหาก็ลงรวมที่จิตนี่แหละ (จริง ๆ ก็พูดถึงกายด้วยแต่มักเป็นในแง่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้พิจารณา)
ฉะนั้น... ทุกวันนี้... ผมก็พึงเกิดฉันทะวิริยะมากบ้างน้อยบ้าง ศึกษาหลักศาสนธรรม พิจารณา... หาทางชำระขัดเกลาสันดานเลว ๆ ของตัวเอง
ไม่ใช่อะไรอื่น... ก็เพื่อความสบายใจสบายจิตแก่ตนนั่นเอง
อนึ่ง... ทราบมาว่าฉันทะ... ก็ละด้วยการสิกขา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่แหละครับ!!! (ไม่งั้นฉันทะจะทำให้ทุกข์อีก... เช่น วิจิกิจฉาฟุ้งซ่านคาญใจเสมอ ๆ)
...กระนั้นแม้ผมจะศึกษา... แต่ผมก็ยังมีความเลวอยู่ ทำเลวอยู่
ผมยังดูคลิปโป๊ช่วยตัวเองอยู่เลย... และผมคิดว่ามันเป็นความเลว เป็นความบาป... เพราะทำให้จิตผมเศร้าหมอง จิตมีมลทิน มีตราบาป ยมบาลประทับตราหมอนี่เสมอ ๆ (กร๊ากส์ ๆ !!)
แม่ผมอยากให้ผมเลิกสูบบุหรี่... ผมก็ยังไม่ตัดขาด... แค่สูบน้อยลง... ผมก็ทำให้ท่านเศร้าหมอง ตัวผมเองก็หม่น ๆ อยู่ลึก ๆ นี่ก็บาป!!
ผมยังพูดจาหยาบคาย... เวลาผมไม่พอใจอะไร ผมก็จะด่ามัน... คล้ายเป็นคนอารมณ์ร้อน...
บางครั้งผมยังคิดดูถูกหยามเหยียดคนอยู่เลย ว่าไอ้นี่โง่... อ่านแต่หนังสือ ออกสนามทำห่าไรไม่เป็น
เห็นความเลวผมไม๊ล่ะ กร๊ากส์ ๆๆ !!
ตรงกับคริสต์เลย... ผมนี่เป็นคนหยาบบาปหนา มนุษย์ล้วนเป็นคนบาป...
...ผมไม่ต้องไปข่มขืน ผญ. แต่งตัวนุ่งสั้นรัดติ้ว... แค่ผมเห็นแล้วผมเกิดกามวิตก ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเลวแล้ว...
ดูเหมือน เรื่อง ผญ. หรือความอยากในกามเพศ... นี่เป็นของยากของหนาของเหนียวสำหรับในการที่ผมจะเอามันออกไปมากที่สุด!!!
...เล่ามาพอสมควร... ยังดีหน่อยที่ศาสนธรรมทางพุทธได้ผลกับผมอยู่บ้างคือ...
ปล่อยวางไวขึ้น...
ความยึดติดถือมั่นน้อย...
อยู่กับปัจจุบันได้ไวมากขึ้น (อินทรีย์แข็งแรงขึ้น)
ใจไม่ทุกข์ไปกับมโนกรรม, วจีกรรม และกายกรรมมากขึ้น...
เล็งเห็นความสำคัญของลมหายใจมากขึ้น
เข้าใจ ไตรลักษณ์ มากขึ้น (กฎธรรมดามากขึ้น)
จริง ๆ ยังมียิบย่อยกว่านี้... แต่เดี๋ยวจะยาวไป...
กระทู้นี้ตั้งขึ้นมันเกิดจากโทสะ... เวลาอ่านคห. ในพันทิปแล้วบางครั้งไม่เข้าใจ...
ประมาณว่า ! อะไรวะ !
แค่คิดก็บาปแล้วครับ
เห็นความเลวที่ยังมีของตัวเองอยู่... แล้วก็ดูมันไป... อย่าไปจิ๊ะจ๊ะมันต่อให้มาก
ก็น่าจะช่วยให้เป็นทุกข์เศร้าหมองเพราะความเลวที่ยังมีอยู่ของตัวเองให้น้อยลงได้...
ป.ล. ๑ เพราะมนุษย์เกิดจากความบาป จึงยังทุกข์... เพราะบาปทำให้ทุกข์
ป.ล. ๒ และการเกิดนั้นจึงเป็นทุกข์...
ป.ล. ๓ ผมชอบความชัดเจน! เอาให้ชัดเจน!
ป.ล. ๔ จะว่าไป... การคิดเนี่ย... ก็คือ มโนกรรม แล้วนะ...
ถ้าบอกว่าไม่ได้คิดแล้วจู่ ๆ อกุศลจิตมันจรมา... มันก็เหมือนกิเลสที่มันอยู่ใต้น้ำ...
เหตุปัจจัยที่ไม่รู้ได้เหมาะสมมันก็ขึ้นมาให้เห็น... ก็ สังเกตมัน... อย่าไปผสมโรงหรือเล่นกับมัน... ผมว่าอุบายนี้น่าจะตอบโจทย์ได้นะ...
เห็นมันบ่อย ๆ ผมรู้แค่นี้...
ถามว่าบาปไหม... ?
การที่กิเลสหรืออกุศลจิตจู่ ๆ มันจรมา... บาปรึเปล่า...
จะบาปหรือไม่บาปคิดว่า... หลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วเรามีท่าทีอย่างไรต่อมัน คือ ตัวชี้ว่าบาปหรือไม่บาป
ถ้าเราผสมลงรวมกับมัน หรือ ทางพระใช้คำว่า "สวมอารมณ์" ก็นับว่าบาปแล้ว
แต่ถ้าเราเป็นผู้ดูผู้สังเกตผู้รู้อยู่เฉย ๆ ... เท่ากับว่าเราไม่ไปต่อกรรมมัน... มันทำอะไรไม่ได้
ก็ไม่เป็นบาป... ไม่เป็นกรรม...
เมื่อไม่เป็นกรรม... วิบากก็ไม่เกิด...
เผลอ ๆ จะเป็นบุญ... เพราะ... การที่เราเลือกจะอยู่เฉย ๆ เป็นผู้สังเกต ก็เท่ากับว่า เราได้กระทำแล้ว... (เอ๊ะ! เริ่มงง)
เอ๊ะ! ยิ่งพิมพ์ยิ่งงง กร๊ากส์ๆๆๆ
เพราะเท่ากับว่า... เราไม่ตามกิเลสมัน...
เหมือนเวรย่อมระงับด้วยเวรไม่มี... เวรมาแต่เราไม่ต่อเวร วงจรกรรมก็ขาดไป...
งงโว้ย!
แต่ถ้าถามว่า... ทำไมอกุศลจิตยังมีอยู่ว้า... ก็ตอบได้ว่า
...มนุษย์เป็นคนบาป... (โอ้โฮ ตรงกับคริสต์ศาสนธรรมเลยคร้าบบบบพี่น้อง)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและแสดงความเห็นครับ...
บาป หรือไม่ อยู่ที่การกระทำที่ปรากฏ หรือแค่คิดก็บาปแล้ว ??
๑. มโนกรรม
๒. วจีกรรม
๓. กายกรรม
...
ผมเห็นจริงตามนั้น...
แต่... ผมคิดว่า... แค่คิดสกปรก... ก็เป็นบาปแล้ว ไม่ต้องไปรอให้ปรากฏเป็นคำพูด, เป็นการกระทำดอกครับ
ตรงกับศาสนธรรมของคริสต์ที่ว่า...
พระเยซูได้ทรงบอกเราว่าเพียงแค่คิดไม่ดีก็ถือว่าเราได้กระทำบาปแล้ว
“ฝ่ายเราบอกท่านทั้งหลายว่า ผู้ใดมองผู้หญิงเพื่อให้เกิดใจกำหนัดในหญิงนั้น ผู้นั้นได้ล่วงประเวณีในใจกับหญิงนั้นแล้ว” มัทธิว 5:28
(http://www.christiansiam.com/Article/?p=220)
. . .
ถ้ากิเลส เป็นเครื่องเศร้าหมองของจิต... เมื่อกิเลสได้เกิดขึ้นแล้ว... ก็ย่อมนำความเศร้าหมองในเกิดขึ้นแก่จิตใจ...
ความเศร้าหมองนั้น...แล คือ ผลที่เกิดจากกิเลสซึ่งเป็นเหตุ...
ตราบที่มีเหตุ ย่อมมีผล...
ฉะนั้น... กิเลส คือ ความบาป นั่นเอง...
อกุศลจิต... ความคิดชั่ว ความคิดสกปรก ที่เกิดขึ้น... ก็มาจากความชั่วความสกปรกที่ยังมีเชื้ออยู่ในจิต (ไม่แน่ใจว่าเรียก อนุสัย หรืออาสวะ)
บางคนเมื่อเกิดขึ้น... ก็อาจจะเฉย ๆ ไม่ทุกข์ร้อนอะไร...
ส่วนผม... ผมบอกเลย... เกิดความคิดชั่ว หรือเกิดอกุศลจิต ผมก็รู้สึกไม่ดีแก่ตัวเองแล้ว
มันก็เป็นความทุกข์อยู่ลึก ๆ ทุกข์เพราะเห็นความไม่ดี ความสกปรกของตัวเอง...
ผมบาปอยู่เสมอ ๆ ไม่ได้ไกลห่างจากนรกเลย... (กร๊ากกกส์ ๆ!!)
ผมเล็งเห็นว่า... มันเกิดที่จิต ก็ต้องแก้ที่จิต
และเรื่องจิต ๆ นั้น... ผมก็ไม่ได้พึ่งจิตวิทยาตะวันตกหรือจิตแพทย์
ผมคิดว่า... เมืองไทยเมืองพุทธ ก็มีของดีใกล้ตัวอยู่แล้ว
(ทำไมผมจะต้องไปตามตะวันตกล่ะ ? หรือเอะอะเป็นเหวอะไรก็ไปพบจิตแพทย์รับประทานยาแก้กลุ้ม ???)
ผมเล็งเห็นว่าศาสนธรรมทางพุทธมีรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องจิตไว้มาก จะว่าไปเนื้อหาก็ลงรวมที่จิตนี่แหละ (จริง ๆ ก็พูดถึงกายด้วยแต่มักเป็นในแง่เครื่องมือที่เอาไว้ใช้พิจารณา)
ฉะนั้น... ทุกวันนี้... ผมก็พึงเกิดฉันทะวิริยะมากบ้างน้อยบ้าง ศึกษาหลักศาสนธรรม พิจารณา... หาทางชำระขัดเกลาสันดานเลว ๆ ของตัวเอง
ไม่ใช่อะไรอื่น... ก็เพื่อความสบายใจสบายจิตแก่ตนนั่นเอง
อนึ่ง... ทราบมาว่าฉันทะ... ก็ละด้วยการสิกขา ปริยัติ ปฏิบัติ ปฏิเวธ นี่แหละครับ!!! (ไม่งั้นฉันทะจะทำให้ทุกข์อีก... เช่น วิจิกิจฉาฟุ้งซ่านคาญใจเสมอ ๆ)
...กระนั้นแม้ผมจะศึกษา... แต่ผมก็ยังมีความเลวอยู่ ทำเลวอยู่
ผมยังดูคลิปโป๊ช่วยตัวเองอยู่เลย... และผมคิดว่ามันเป็นความเลว เป็นความบาป... เพราะทำให้จิตผมเศร้าหมอง จิตมีมลทิน มีตราบาป ยมบาลประทับตราหมอนี่เสมอ ๆ (กร๊ากส์ ๆ !!)
แม่ผมอยากให้ผมเลิกสูบบุหรี่... ผมก็ยังไม่ตัดขาด... แค่สูบน้อยลง... ผมก็ทำให้ท่านเศร้าหมอง ตัวผมเองก็หม่น ๆ อยู่ลึก ๆ นี่ก็บาป!!
ผมยังพูดจาหยาบคาย... เวลาผมไม่พอใจอะไร ผมก็จะด่ามัน... คล้ายเป็นคนอารมณ์ร้อน...
บางครั้งผมยังคิดดูถูกหยามเหยียดคนอยู่เลย ว่าไอ้นี่โง่... อ่านแต่หนังสือ ออกสนามทำห่าไรไม่เป็น
เห็นความเลวผมไม๊ล่ะ กร๊ากส์ ๆๆ !!
ตรงกับคริสต์เลย... ผมนี่เป็นคนหยาบบาปหนา มนุษย์ล้วนเป็นคนบาป...
...ผมไม่ต้องไปข่มขืน ผญ. แต่งตัวนุ่งสั้นรัดติ้ว... แค่ผมเห็นแล้วผมเกิดกามวิตก ผมก็รู้สึกว่าตัวเองเลวแล้ว...
ดูเหมือน เรื่อง ผญ. หรือความอยากในกามเพศ... นี่เป็นของยากของหนาของเหนียวสำหรับในการที่ผมจะเอามันออกไปมากที่สุด!!!
...เล่ามาพอสมควร... ยังดีหน่อยที่ศาสนธรรมทางพุทธได้ผลกับผมอยู่บ้างคือ...
ปล่อยวางไวขึ้น...
ความยึดติดถือมั่นน้อย...
อยู่กับปัจจุบันได้ไวมากขึ้น (อินทรีย์แข็งแรงขึ้น)
ใจไม่ทุกข์ไปกับมโนกรรม, วจีกรรม และกายกรรมมากขึ้น...
เล็งเห็นความสำคัญของลมหายใจมากขึ้น
เข้าใจ ไตรลักษณ์ มากขึ้น (กฎธรรมดามากขึ้น)
จริง ๆ ยังมียิบย่อยกว่านี้... แต่เดี๋ยวจะยาวไป...
กระทู้นี้ตั้งขึ้นมันเกิดจากโทสะ... เวลาอ่านคห. ในพันทิปแล้วบางครั้งไม่เข้าใจ...
ประมาณว่า ! อะไรวะ !
แค่คิดก็บาปแล้วครับ
เห็นความเลวที่ยังมีของตัวเองอยู่... แล้วก็ดูมันไป... อย่าไปจิ๊ะจ๊ะมันต่อให้มาก
ก็น่าจะช่วยให้เป็นทุกข์เศร้าหมองเพราะความเลวที่ยังมีอยู่ของตัวเองให้น้อยลงได้...
ป.ล. ๑ เพราะมนุษย์เกิดจากความบาป จึงยังทุกข์... เพราะบาปทำให้ทุกข์
ป.ล. ๒ และการเกิดนั้นจึงเป็นทุกข์...
ป.ล. ๓ ผมชอบความชัดเจน! เอาให้ชัดเจน!
ป.ล. ๔ จะว่าไป... การคิดเนี่ย... ก็คือ มโนกรรม แล้วนะ...
ถ้าบอกว่าไม่ได้คิดแล้วจู่ ๆ อกุศลจิตมันจรมา... มันก็เหมือนกิเลสที่มันอยู่ใต้น้ำ...
เหตุปัจจัยที่ไม่รู้ได้เหมาะสมมันก็ขึ้นมาให้เห็น... ก็ สังเกตมัน... อย่าไปผสมโรงหรือเล่นกับมัน... ผมว่าอุบายนี้น่าจะตอบโจทย์ได้นะ...
เห็นมันบ่อย ๆ ผมรู้แค่นี้...
ถามว่าบาปไหม... ?
การที่กิเลสหรืออกุศลจิตจู่ ๆ มันจรมา... บาปรึเปล่า...
จะบาปหรือไม่บาปคิดว่า... หลังจากที่เกิดขึ้นแล้ว แล้วเรามีท่าทีอย่างไรต่อมัน คือ ตัวชี้ว่าบาปหรือไม่บาป
ถ้าเราผสมลงรวมกับมัน หรือ ทางพระใช้คำว่า "สวมอารมณ์" ก็นับว่าบาปแล้ว
แต่ถ้าเราเป็นผู้ดูผู้สังเกตผู้รู้อยู่เฉย ๆ ... เท่ากับว่าเราไม่ไปต่อกรรมมัน... มันทำอะไรไม่ได้
ก็ไม่เป็นบาป... ไม่เป็นกรรม...
เมื่อไม่เป็นกรรม... วิบากก็ไม่เกิด...
เผลอ ๆ จะเป็นบุญ... เพราะ... การที่เราเลือกจะอยู่เฉย ๆ เป็นผู้สังเกต ก็เท่ากับว่า เราได้กระทำแล้ว... (เอ๊ะ! เริ่มงง)
เอ๊ะ! ยิ่งพิมพ์ยิ่งงง กร๊ากส์ๆๆๆ
เพราะเท่ากับว่า... เราไม่ตามกิเลสมัน...
เหมือนเวรย่อมระงับด้วยเวรไม่มี... เวรมาแต่เราไม่ต่อเวร วงจรกรรมก็ขาดไป...
งงโว้ย!
แต่ถ้าถามว่า... ทำไมอกุศลจิตยังมีอยู่ว้า... ก็ตอบได้ว่า
...มนุษย์เป็นคนบาป... (โอ้โฮ ตรงกับคริสต์ศาสนธรรมเลยคร้าบบบบพี่น้อง)
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและแสดงความเห็นครับ...