ตัวอักษรจากบล็อคที่เธอเล่า...นำพาให้เรามาเจอกัน ตอน 7

ตะวันเริ่มตกจากขอบฟ้า...ผมกำลังทำการอาบน้ำซักผ้าอยู่ที่ลำห้วยหลังบ้าน เป็นเหมือนลำธารเล็กๆไหลเอื่อยๆ สองฝั่งเป็นไม้ไผ่ตั้งกอใหญ่
เสียงหริ่งหรีดเรไรกำลังระงมได้ที่ บรรยากาศแบบนี้นี่เป็นครั้งแรกเลยก็ว่าได้...
        ซักผ้า? ผมไม่ได้ทำมันมานานมากแล้วล่ะตั้งแต่ที่ผมกอบกู้บริษัทได้ พอกลับมาทำอีกทีก็บอกไม่ถูกว่ารู้สึกยังไง... มันสดชื่นเกินบรรยายน่ะสิ
ปุยฝ้ายบอกกับผมว่า...ตั้งแต่คืนพรุ่งนี้เป็นต้นไป จะงดใช้ไฟฟ้าและน้ำท่าก็จะหาบไปจากลำห้วยรวมถึงน้ำที่จะเล่นสงกรานต์ด้วยนั้น
ทำเอาผมแปลกใจนิดหน่อย แต่เธอก็บอกผมว่า...อยากให้ลูกหลานตัวเล็กๆของที่นี่ได้รู้ว่า เทคโนโลยีไม่ได้เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิต
อย่ายึดติดกับมันมากไป...แค่อยากให้ไปเห็นจริงๆว่า ไม่มีไฟฟ้าแล้วปู่ย่าอยู่กันยังไง ถึงแม้เด็กๆจะไม่ได้ซาบซึ้งก็ไม่เป็นไร...แค่ให้เขาได้ลองเห็นก็เป็นอะไรที่มากเกินพอ

        ผมเห็นด้วยกับข้อนี้นะ...เพราะผมก็อยากจะเห็นเหมือนกัน ว่าคนในสมัยนั้นทำอะไรกันบ้าง...ในค่ำคืนที่ว่างและมืดสนิท
ผมยืนมองปุยฝ้ายที่สั่งคนขนย้ายนู่นนั่นนี่ ซึ่งมีแม่ผมยืนอยู่ข้างๆ  "ตรงนี้เหมาะไหมคะป้าเทียน"

"ก็พอใช้ได้นะ แต่ป้าว่าขยับเข้ามาสักหน่อยคงดีกว่านี้...จะได้เหลือพื้นที่เอาไว้ทำอย่างอื่น" ผมขยับเข้าไปใกล้ๆมองเธอชี้ไม้ชี้มือ ซึ่งชาวบ้านก็ถือไปวางตรงนั้นตรงนี้ช่วยเหลือกัน ผมกดชัตเตอร์ด้วยวินาทีสั้นๆทันที เป็นภาพที่หลายคนช่วยกันยกครกมอง เพราะว่าพรุ่งนี้จะมีการตำแป้งขนมจีนอย่างที่เธอบอกผมไป และบังเอิญว่าแม่ผมเป็นคนที่เชี่ยวชาญด้านการทำมาก ก็เลยโดนลากมาช่วยจัดสถานที่ ครกมองเป็นครกไม้คล้ายครกหินทั่วไปแต่มีขนาดใหญ่กว่า และมีสากขนาดใหญ่และยาวที่สอดอยู่ในคาน ซึ่งตำทีต้องใช้ชาวบ้านช่วยกันเหยียบหลายคน กระดกขึ้นลงไปมา...จากที่ปุยฝ้ายเล่าคร่าวๆนะ ผมยังไม่เห็นจริงจัง

"มีอะไรให้ช่วยป่ะ" ผมเอ่ยปากถามทันทีพร้อมยื่นขันน้ำเย็นๆไปให้ น้ำเย็นนี้มีที่มาจากโอ่งดินเล็กๆที่เธอสรรหามาแทนการใช้ตู้เย็น

"ขอบใจ ป้าเทียนคะ...ดื่มน้ำเย็นหน่อยมั้ยคะ" เธอหันไปถามทางแม่ผม และผมก็รีบส่ายหน้าให้แม่ช่วยปฏิเสธ

"ไม่เป็นไรจ้ะ ป้าดื่มแล้ว" และแม่ก็ส่งยิ้มแซวๆให้ผม และผมก็ก้มหัวให้หนึ่งทีเพื่อเป็นการขอบคุณในความใจดีของแม่

"อุตส่าห์ตั้งใจตักมาให้ จิบนิดนึงมันจะเป็นไรไปเชียว" ผมคว้าขันข้ำจากมือเธอมาและทำท่าเหมือนจะป้อนให้ จนเธอตกใจจนต้องคว้าไปดื่มเอง

"ทีหลังจะทำก็เรียกก่อนก็ได้ ไม่ใช่มาเหนื่อยคนเดียวแบบนี้" ผมยืนอยู่ในพื้นที่ต่ำกว่าเธอนิดหน่อยแต่ด้วยความที่เธอสูงน้อย ระดับสายตาก็ยังอยู่ที่ระดับ
คางผมเท่านั้น ผมก็เลยย่อตัวลงไปให้ไปสบกับแววตา...ที่ก้มลงไม่ยอมมองหน้าผมสักที

"ฉันทำได้ ได้ดีกว่าคุณด้วย...ไม่จำเป็นต้องขอความช่วยเหลือใดๆ"

"โอเค พี่เข้าใจ แต่ยังไงพี่ก็เป็นผู้ชาย อกใหญ่ไหล่กว้าง...ดูกล้ามซะก่อน ยกทีครกว่อนได้" ผมโม้พร้อมกับทำเป็นเบ่งกล้ามให้เธอขำ แต่กลายเป็นว่าแก้มเธอเป็นสีแดงช้ำขึ้นมาเฉยๆ แดงช้ำในเวลาพลบค่ำแต่แสงไฟที่ลอดมาจากบนบ้านก็ไม่สามารถบดบังความแดงของมันได้

"อย่ามาโม้เลย เกรงว่ายกครกทีจะยกเท้าหนีแทบไม่ทัน!"

"โห ดูถูกกันขนาดนี้...ยกให้ดูก็คงดีใช่ไหม?" ผมว่าพร้อมจับไหล่เธอและยกขึ้นไป จนร่างเล็กลอยไปและแววตาตกใจของเธอก็โผล่มา เป็นจังหวะเดียวกับที่แม่ผมซึ่งเหมือนจะเดินขึ้นบันไดบ้านไปแล้ว หันมองลงมาใหม่และตกใจจนต้องอุทานออกมา

"ตาไท!! ทำอะไรน่ะลูก" เท่านั้นแหละ ผมก็ต้องปล่อยยัยนั่นลง และต้องโค้งหัวขอโทษแม่ แต่ผมก็ถูกเรียกตัวให้ไปพบยายเพียร...ซึ่งนั่งมองผมอย่างกับผมเป็นนักเรียนและยายเพียรเป็นคุณครูฝ่ายปกครอง

"รู้ตัวไหม? ว่าสิ่งที่ตัวเองทำผิดยังไง" เสียงแหบพร่าของคนแก่ทำเอาผมรู้สึกแย่ไปในทันที... นี่ผมกำลังทำลายวัฒนธรรมดีๆของที่นี่สินะ

"รู้ว่าผิดครับ แต่ไม่รู้ว่าผิดยังไง?" ผมหันไปสบตากับปุยฝ้ายนิดหน่อย ซึ่งเธอก็ค่อยๆหลบสายตาและนั่งเรียบร้อยเหมือนผ้าที่ถูกพับเอาไว้ สายตาบ่งบอกความไม่สบายใจเป็นอย่างมาก

"ไหนๆก็เป็นลูกชายเธอ อบรมกันเองก็แล้วกันนะแม่เทียน"

"ค่ะยาย หนูต้องขอโทษยายด้วยนะคะ ที่ไม่บอกตาไทก่อน เด็กสมัยเห็นว่าเป็นเรื่องธรรมดาไปเสียแล้วค่ะ"

"เห็นเป็นเรื่องธรรมดาน่ะได้ แต่ไม่ควรทำจนเป็นนิสัย...ที่สังคมมันเปลี่ยนไปเพราะผู้ใหญ่นี่แหละที่ไม่ตระหนัก" ยายเพียรว่าอย่างเคร่งขรึมจรบรรยากาศเคร่งครึ้มมากขึ้น

"ผมขอโทษนะครับยาย ผมไม่ได้ตั้งใจที่จะทำอะไรแบบนั้น...แต่ผมพร้อมที่จะปรับปรุงแล้วก็แก้ไข บอกมาเถอะครับว่าผมควรจะทำยังไง?" พ่อของปุยฝ้ายผู้ไม่ค่อยได้เอ่ยอะไรพยักหน้าให้ผมหนึ่งที เหมือนว่าเข้าใจในสิ่งที่ผมพลาดไป

"เอาเป็นว่าในฐานะลูกผู้ชายเหมือนกัน ผมขออบรมพ่อหนุ่มนี่เองแล้วกันนะแม่" ยายเพียรชายตาแลมาทางผมนิดหน่อย ก่อนพยักหน้าเหมือนปล่อยให้ผู้ขออนุญาติทำตามใจตัวเอง แม่หันมาทางผมนิดหน่อย...ก่อนค่อยๆพยักหน้า และผมก็เดินลงบันไดสูงลงมาจากบ้านไม้สักหลังขนาดกลางนี้
ความมืดมิดเข้ามาแทนที่ทุกอย่าง...ท้องฟ้ามืดสนิทแทบไม่มีที่ว่างเต็มไปด้วยแสงดาว ผมก้าวเท้าตามผู้อาวุโสไปอย่างช้าๆ

"เอ้า นั่งคุยกันตรงนี้แหละ” โต๊ะไม้สองขาเล็กๆที่ชาวบ้านแถบนี้เรียกตั่ง และผมก็นั่งตามคำสั่งทันที เป็นตั่งที่วางเรียงอยู่ข้างกองไฟ... แม้ไม่ใช่ฤดูหนาว แต่ด้วยความที่หมู่บ้านนี้อยู่ในป่า อยู่ในเขาความเย็นก็เลยมากหน่อย

"สมัยโบราณการแตะต้องเนื้อตัวกันของหญิงชาย เป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสม กว่าจะได้ใกล้ชิดพูดจา...ต้องมีมานะอยู่มากโข" คำพูดเอ่ยลอยๆที่เหมือนจะมีละอองฝอยแห่งความทรงจำ...ที่ทำให้ผมได้คิดตามว่า ว่าละ...ทำไมผมถึงเกือบโดนยายเพียรฆ่าให้ตาย

"เช่นอะไรบ้างเหรอครับ?" ผมถามอย่างใคร่รู้แต่ผู้ที่สูงวัยกว่ากลับมองผมด้วยแววตาขัน

"อยากรู้จริงจังไหมละ?"

"ทราบไว้ก็ดีเหมือนกันนะครับ...เผื่อได้ใช้" ผมพูดติดเขินอายนิดหน่อย...และจับนิ้วก้อยตัวเองเล่น ให้ตายเถอะผู้ชายอย่างผมเนี่ยนะ...กำลังจะเขินเป็นบ้า เพราะวัฒนธรรมบ้านป่าแห่งนี้

"รู้ไว้แค่ว่า อย่าไปแตะปลายก้อยหญิงคนไหนก็พอแล้ว...มันไม่เหมาะไม่ควรมันเหมือนไม่ให้เกียรติเขา แต่ถ้าสนสาวคนไหนแล้วค่อยบอกพ่อ...เดี๋ยวสอนวิธีจีบให้" ด้วยความที่พ่อสานเป็นคนสบายๆทำให้ผมไม่รู้สึกเกร็งมาก...ถ้าสาวที่ว่าเป็นยัยบ้านั่น ผมคงไม่กล้าปรึกษาท่านอยู่ดี จะจีบลูกสาวเขาไปขอวิธีจากพ่อเขา...คงได้ถูกปืนเป่ากบาลแน่ๆ

"แล้วสมัยก่อนเขาจีบกันยังไงเหรอครับ?" ลุงสานหัวเราะลั่นเหมือนจะขันอะไรนักหนา และในแววตาซ่อนเรื่องราวบางอย่าง

"นอกจากหน้าตาจะเหมือนพ่อแล้ว ยังถามเหมือนกันไม่มีผิด...สมัยนั้นนะพ่อเอ็งก็มาถามลุงแบบนี้ ลุงนี่ต้องพาไปจีบแม่เอ็งทุกวัน เพราะยายเอ็งเนี่ยเขาดุใช่ย่อย แต่ก็ยังไม่ยอมถอยมาบ่อยๆจนเขาใจอ่อน" ผมยิ้มตามที่ลุงสานเล่า ถ้าเป็นอย่างนั้นก็แสดงว่าพ่อต้องรักแม่มาก...ถึงไม่กลัวความลำบากอะไร อยู่ๆผมก็รู้สึกประทับใจขึ้นมา สมัยนี้ไม่มีให้เห็นจริงๆนะ เพราะเหมือนว่าเทคโนโลยีมันทำให้คนเคลื่อนที่มาเจอกันง่ายๆ รักไวเลิกไว...ความรักสมัยใหม่ที่ฉาบฉวย

"ถ้าจะจีบลูกสาวบ้านไหน ต้องนั่งไกลกันหนึ่งเสาบ้าน เขาจะมีขันน้ำมาตั้งต้อนรับอยู่ตรงกลาง ไม่มีโอกาสได้ใกล้เขาเลย นอกจากซะว่า...จะมีงานอย่างช่วงสงกรานต์แบบนี้ มีกาลเล่นพื้นบ้านไทย ก็ไปร่วมสนุกกัน...นี่แหละโอกาสจีบสั้นๆที่พวกหนุ่มๆรอคอย" ผมก็พลอยยิ้มไปด้วยอีกครั้ง...กับความทรงจำที่หลั่งออกจากปากและแววตา ผมชักอยากทำอะไรแบบนั้นบ้างละ... แล้วผมก็พยักหน้ายิ้มๆ

"สาวๆกลับจากกรุงเทพเยอะมาก เดี๋ยววันสงกรานต์มานี่จับตาเอาไว้เลยนะ เดี๋ยวลุงพาไปจีบเอง" ผมหัวเราะเกร็งๆให้กับคำพูดนั้น สาวๆคนไหนก็คงไม่สนใจเท่าสาวที่นั่งอยู่บนบ้านหรอกครับ... แต่ผมก็ต้องเก็บเป็นความลับเอาไว้ ถ้าลุงสานหวงลูกสาวมากแล้วอยากฆ่าผมให้ตาย ที่พึ่งสุดท้าย...ผมก็คงไม่มี ได้ตายเป็นผีอยู่ที่นี่แน่

ผมบิดกายไปมาจากที่นอนแบนๆติดแผ่นพื้นบ้านกับมุ้งที่กางสี่สาย จากชีวิตคุณชายมาทำอะไรบ้านๆ เอ่อ ก็ดีนะ...ความแปลกใหม่ของชีวิต

ภาพตะวันยังไม่โผล่พ้นขอบฟ้ากับเสียงไก่ขันที่แทรกมาระงมทั่วหมู่บ้าน ผมถือขันกับผ้าขาวม้าย่องไปหาที่อาบน้ำแปรงฟัน ไปที่ลำธารคงได้บรรยากาศดีกว่า... และผมก็ต้องชะงักเมื่อได้พบกับใบหน้าที่ผมลอบคิดถึงทั้งคืน ผมเลิกปฏิเสธหัวใจตัวเองไปตั้งแต่ตอนไหนก็ไม่ทราบ รู้แต่ว่า...ใจผมโดนปราบด้วยใบหน้านี้ อยู่ใกล้ทีไรใจสั่นทุกที...มันคงเป็นเหตุผลที่ดีที่สุดแล้วมั้ง

"ตื่นเช้าเหมือนกันนะ" ผมเอ่ยทักไปทั้งๆที่ตัวเองอยู่ในสภาพที่ไม่ค่อยเรียบร้อยเท่าไหร่
"เป็นฉันไหม? ที่ต้องเป็นฝ่ายถาม"
"ไม่เอาน่า ยิ้มบ้าง... ฟ้าสรางประชันยิ้มสวย เช้านี้คงเต็มไปด้วย...ความสดใส" เธอย่นจมูกใส่ผมนิดหน่อย
"จะมาไม้ไหนกันแน่เนี่ย จะไปทำอะไรก็ทำไปสิ...อย่ามายืนเกะกะ" เธอว่าพร้อมเบี่ยงตัวหลบผมไป ผมก็ตามใจไม่ตื๊อต่อ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่