ข่าวคราวด้านทหารในประเทศที่เป็นแม่แบบระบอบประธิปไตยอย่างอังกฤษแทบจะไม่ได้มีให้อ่านหรือชมทางทีวีมากมายนัก หากใครที่ไม่สนใจวงการหารจริงๆ แทบจะไม่รู้เลยว่า ปัจจุบันผู้บัญชาการระดับนายพลเป็นใครและมีใครบ้าง มุมมองของประชากรส่วนใหญ่ในอังกฤษต่อทหารจึงไม่ได้มีอะไรพิเศษ หรือระแวงว่าจะมีการนำกำลังมาโค่นล้มอำนาจรัฐบาล แต่มีสิ่งหนึ่งปฏิเสธไม่ได้ว่า ประเทศเกือบทุกประเทศในโลกนี้มีความเป็นปึกแผ่นได้ก็มาจากการทำหน้าที่ของเหล่าทหาร(ย้ำว่า “ทำหน้าที่” แทนคำว่า “เสียสละ”)
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการทำการรัฐประหารเกิดขึ้นที่ประเทศไทยและตุรกี และทำให้เกิดคำถามเล็กๆ ขึ้นในหมู่คนอังกฤษบางกลุ่มตามมาว่าประเทศประชาธิปไตยจ๋าแบบอังกฤษมีแนวโน้มที่จะเกิดรัฐประหารบ้างไหม? ผมมองตามประสาคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้มาระยะหนึ่งว่า โอกาสที่จะเกิดนั้นมีแน่....แต่ก็คงมีเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำถึงต่ำมาก ที่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าประเทศอังกฤษไม่เคยผ่านการปฏิวัติรัฐประหารมาเลย นายทหารอย่างโอลิเวอร์ คอรมเวลล์ทำทหารปฏิวัติชนิดสะเทือนฟ้าสะเทือนดินมาแล้ว หรือแม้แต่เมื่อเร็วๆ นี้ที่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างผู้นำพรรคเลเบอร์ นายเจเรมี่ คอร์นบีนกับกองทัพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับกองทัพอังกฤษเป็นอย่างมาก ถึงกับมีนายพลระดับผู้บัญชาการท่านหนึ่งเปรยหากนายเจเรมี่ได้ขึ้นเป็นนายกอังกฤษ เขาจะนำทหารต่อต้าน(เขาใช้คำว่า uprising ซึ่งไม่ได้แปลว่าทำรัฐประหารเสียทีเดียว) หรือช่วงที่นายโทนี่ แบลร์สั่งกองทัพอังกฤษลุยอิรักเคียงบ่าเคียงไหล่อเมริกาก็สร้างความไม่พอใจให้ทั้งกองทัพทั้งประชาชนเป็นจำนวนมาก มีนายทหารชั้นสูงหลายนายพยายามเข้าไปไกล่เกลี่ยกับกับโทนี่ แบลร์ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ อังกฤษต้องตราทัพเข้าสมรภูมิอิรักกับเมกาด้วยความไม่พอใจ ช่วงนั้นถือว่าสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพอังกฤษกับรัฐบาลเป็นอย่างมาก มีเสียงเล็ดลอดแว่วออกมาจากกองทัพว่าอาจจะมี uprising .....แต่ก็มีเสียงสะท้อนกลับจากประชากรอังกฤษที่แม้จะไม่พอใจโทนี่ แบลร์ย้อนกลับไปทหารในทำนองว่า อังกฤษปกครองแบบประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้กระทำกันที่คูหาการเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมัยต่อมา...โทนี่ แบลร์ได้รับบทเรียนพร้อมกับบาดแผลติดตัวจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนั้นจนเท่าทุกวันนี้
แนวโน้มที่ทหารจะทำรัฐประหารไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่ผมคิดว่าอังกฤษก้าวมาไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับไปตรงนั้น ปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่ากองทัพแทบจะไม่มีโอกาสได้เพาะบ่มอำนาจและขยายอำนาจทางทหารของตนล้ำเส้นเข้าสู่การเมืองเลย จากการที่ทั้งสื่อไม่นำข่าวหรือคำพูดไม่กี่คำของนายทหารช้ันผู้ใหญ่ไปใส่ไข่ขยายความ และจากการที่ประชาชนแม้จะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลของตนแต่เขาไม่เห็นด้วยยิ่งกว่าหากทหารจะเข้ามายึดอำนาจเสีย
นั่นก็คือเขายอมเจ็บใจ เสียเวลา หรือเสียโง่อะไรก็แล้วแต่ ปล่อยให้รัฐบาลบริหารต่อไปจนครบเทอม ยังจะดีเสียกว่าที่จะให้ทหารทำรัฐประหาร อย่างเช่นกรณีนายโทนี่ แบลร์ที่ยกตัวอย่างไว้ข้างตน
อีกปัจจัยหนึ่งที่กองทัพไม่สามารถเพาะบ่มอำนาจจนถึงขั้นรัฐบาลต้องหันมาระแวงได้ก็คือ ทั้งกองทัพเรือ อากาศ และบกของอังกฤษต่างมีความโดดเด่นและสามารถในระดับไล่ๆ กัน
จะเห็นว่าอำนาจ แสนยานุภาพ และความสำคัญทางทหารไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่กองทัพบกเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการที่กองทัพใดกองทัพหนึ่งคิดจะทำรัฐประหารจึงต้องไตร่ตรองกันหลายรอบทีเดียว เอาเข้าแต่จริงๆ แล้ว....ผมคิดว่าการทำรัฐประหารแทบจะไม่มีในสมองของทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพอังกฤษเลย
ขอทิ้งท้ายด้วยการแนะนำรัฐสภาในอังกฤษแบบอีกมุมหนึ่ง
1. อังกฤษยังคงใช้ Westminster เป็นอาคารรัฐสภาตลอดมา ผมมีโอกาสได้เข้าเที่ยวชม(เขาเปิดให้สาธารณะไปชมและฟังการอภิปรายได้สดๆ) เห็น นาฬิกาแขวนผนัง หรือไมค์ฯ แล้ว ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเล้ยยยย(อิ อิ แซวเล่นครับ) ในภาพข้างล่าง เป็นการอภิปรายกันแบบซึ่งๆ หน้าระหว่างผู้นำกับฝ่ายค้านที่นั่งประชันหน้ากันแค่ช่วงปลายดาบของแต่ละฝ่าย มีนักประวัติศาสตร์อังกฤษเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนจะเป็นพวกอัศวินหรือขุนนางอังกฤษเข้าสภามาโต้กันพวกนี้จะพกดาบมาด้วย ดังนั้น “ระยะห่าง” (ความกว้างของโต๊ะ) ระหว่างนายกฯ กับฝ่ายค้านไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นการจัดระยะห่างที่ปลายดาบหรือคมดาบของแต่ละฝ่ายไม่ถึงกัน (หากเถียงกันไปดีๆ เกิดฝ่ายหนึ่งมีอารมณ์ชักดาบฟัน อีกฝ่ายจะได้หลบทันไงครับ แตกต่างจากของไทย...ที่วิ่งเข้าขย้ำคอกันได้เลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
2. จากในรูป ที่ผมใส่เลขหนึ่งเอาไว้นั้นคือ “พระราชคทา”(mace) ของควีนอลิซาเบธ ที่พนักงานประจำรัฐสภาต้องอัญเชิญมาวางไว้ที่โต๊ะก่อนเปิดการอภิปรายทุกครั้ง คทานี้มีกฏหมายคุ้มครองด้วยนะครับ ใครจะละเมิดหรือดูถูกไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของควีนเลยทีเดียว เคยมีสส. จับทุ่มลงพื้นมาแล้วและโดนจับและปรับไปตามระเบียบ เวลามีการอภิปรายเรื่องเศรษฐกิจ คทานี้จะถูกนำไปวางไว้ใต้โต๊ะ เพื่อแสดงว่าการตัดสินใจด้านเศรษฐกิจใดๆ เป็นการตัดสินใจและอำนาจของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่เกี่ยวกับควีนเลย
3. หมายเลขสองคือกล่องไม้เก่า ข้างในเป็นพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งสส. ต้องปฏิญาณตนต่อหน้า
4. สังเกตุไหมครับว่า ที่นั่งของสส. และคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย นั่งแทบจะไม่สบายก้นเท่าที่รัฐสภาไทยเล้ยย ของพี่ไทยเรา แอบหลับหรือแอบดูคลิปโป้ยังได้ แถมวันดีคืนดี...สส. ก็สามารถโชว์พละกำลังยกทุ่มข้ามหัวสส. ที่นั่งข้างหน้าได้เฉยเลย ขำๆ นะครับ...อย่าซีเรียส
มีความสุขในวีคเอ็นด์กันทุกคนนะครับ
....อังกฤษ จะมีรัฐประหารไหม?....
ในช่วงสองปีที่ผ่านมา มีการทำการรัฐประหารเกิดขึ้นที่ประเทศไทยและตุรกี และทำให้เกิดคำถามเล็กๆ ขึ้นในหมู่คนอังกฤษบางกลุ่มตามมาว่าประเทศประชาธิปไตยจ๋าแบบอังกฤษมีแนวโน้มที่จะเกิดรัฐประหารบ้างไหม? ผมมองตามประสาคนไทยที่อาศัยอยู่ในประเทศนี้มาระยะหนึ่งว่า โอกาสที่จะเกิดนั้นมีแน่....แต่ก็คงมีเปอร์เซ็นต์ที่ต่ำถึงต่ำมาก ที่พูดอย่างนี้ ไม่ใช่ว่าประเทศอังกฤษไม่เคยผ่านการปฏิวัติรัฐประหารมาเลย นายทหารอย่างโอลิเวอร์ คอรมเวลล์ทำทหารปฏิวัติชนิดสะเทือนฟ้าสะเทือนดินมาแล้ว หรือแม้แต่เมื่อเร็วๆ นี้ที่มีการกระทบกระทั่งกันระหว่างผู้นำพรรคเลเบอร์ นายเจเรมี่ คอร์นบีนกับกองทัพ ซึ่งสร้างความไม่พอใจให้กับกองทัพอังกฤษเป็นอย่างมาก ถึงกับมีนายพลระดับผู้บัญชาการท่านหนึ่งเปรยหากนายเจเรมี่ได้ขึ้นเป็นนายกอังกฤษ เขาจะนำทหารต่อต้าน(เขาใช้คำว่า uprising ซึ่งไม่ได้แปลว่าทำรัฐประหารเสียทีเดียว) หรือช่วงที่นายโทนี่ แบลร์สั่งกองทัพอังกฤษลุยอิรักเคียงบ่าเคียงไหล่อเมริกาก็สร้างความไม่พอใจให้ทั้งกองทัพทั้งประชาชนเป็นจำนวนมาก มีนายทหารชั้นสูงหลายนายพยายามเข้าไปไกล่เกลี่ยกับกับโทนี่ แบลร์ แต่ก็ไม่เป็นผลสำเร็จ อังกฤษต้องตราทัพเข้าสมรภูมิอิรักกับเมกาด้วยความไม่พอใจ ช่วงนั้นถือว่าสั่นคลอนความสัมพันธ์ระหว่างกองทัพอังกฤษกับรัฐบาลเป็นอย่างมาก มีเสียงเล็ดลอดแว่วออกมาจากกองทัพว่าอาจจะมี uprising .....แต่ก็มีเสียงสะท้อนกลับจากประชากรอังกฤษที่แม้จะไม่พอใจโทนี่ แบลร์ย้อนกลับไปทหารในทำนองว่า อังกฤษปกครองแบบประชาธิปไตย การเปลี่ยนแปลงใดๆ ให้กระทำกันที่คูหาการเลือกตั้ง การเลือกตั้งสมัยต่อมา...โทนี่ แบลร์ได้รับบทเรียนพร้อมกับบาดแผลติดตัวจากการพ่ายแพ้การเลือกตั้งครั้งนั้นจนเท่าทุกวันนี้
แนวโน้มที่ทหารจะทำรัฐประหารไม่ใช่ว่าจะไม่มี แต่ผมคิดว่าอังกฤษก้าวมาไกลเกินกว่าที่จะย้อนกลับไปตรงนั้น ปัจจุบันนี้ จะเห็นได้ว่ากองทัพแทบจะไม่มีโอกาสได้เพาะบ่มอำนาจและขยายอำนาจทางทหารของตนล้ำเส้นเข้าสู่การเมืองเลย จากการที่ทั้งสื่อไม่นำข่าวหรือคำพูดไม่กี่คำของนายทหารช้ันผู้ใหญ่ไปใส่ไข่ขยายความ และจากการที่ประชาชนแม้จะไม่เห็นด้วยกับรัฐบาลของตนแต่เขาไม่เห็นด้วยยิ่งกว่าหากทหารจะเข้ามายึดอำนาจเสีย นั่นก็คือเขายอมเจ็บใจ เสียเวลา หรือเสียโง่อะไรก็แล้วแต่ ปล่อยให้รัฐบาลบริหารต่อไปจนครบเทอม ยังจะดีเสียกว่าที่จะให้ทหารทำรัฐประหาร อย่างเช่นกรณีนายโทนี่ แบลร์ที่ยกตัวอย่างไว้ข้างตน
อีกปัจจัยหนึ่งที่กองทัพไม่สามารถเพาะบ่มอำนาจจนถึงขั้นรัฐบาลต้องหันมาระแวงได้ก็คือ ทั้งกองทัพเรือ อากาศ และบกของอังกฤษต่างมีความโดดเด่นและสามารถในระดับไล่ๆ กัน จะเห็นว่าอำนาจ แสนยานุภาพ และความสำคัญทางทหารไม่ได้กระจุกตัวอยู่ที่กองทัพบกเพียงอย่างเดียว ดังนั้นการที่กองทัพใดกองทัพหนึ่งคิดจะทำรัฐประหารจึงต้องไตร่ตรองกันหลายรอบทีเดียว เอาเข้าแต่จริงๆ แล้ว....ผมคิดว่าการทำรัฐประหารแทบจะไม่มีในสมองของทหารชั้นผู้ใหญ่ในกองทัพอังกฤษเลย
ขอทิ้งท้ายด้วยการแนะนำรัฐสภาในอังกฤษแบบอีกมุมหนึ่ง
1. อังกฤษยังคงใช้ Westminster เป็นอาคารรัฐสภาตลอดมา ผมมีโอกาสได้เข้าเที่ยวชม(เขาเปิดให้สาธารณะไปชมและฟังการอภิปรายได้สดๆ) เห็น นาฬิกาแขวนผนัง หรือไมค์ฯ แล้ว ก็ไม่ได้วิเศษวิโสอะไรเล้ยยยย(อิ อิ แซวเล่นครับ) ในภาพข้างล่าง เป็นการอภิปรายกันแบบซึ่งๆ หน้าระหว่างผู้นำกับฝ่ายค้านที่นั่งประชันหน้ากันแค่ช่วงปลายดาบของแต่ละฝ่าย มีนักประวัติศาสตร์อังกฤษเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนจะเป็นพวกอัศวินหรือขุนนางอังกฤษเข้าสภามาโต้กันพวกนี้จะพกดาบมาด้วย ดังนั้น “ระยะห่าง” (ความกว้างของโต๊ะ) ระหว่างนายกฯ กับฝ่ายค้านไม่ใช่ความบังเอิญ แต่เป็นการจัดระยะห่างที่ปลายดาบหรือคมดาบของแต่ละฝ่ายไม่ถึงกัน (หากเถียงกันไปดีๆ เกิดฝ่ายหนึ่งมีอารมณ์ชักดาบฟัน อีกฝ่ายจะได้หลบทันไงครับ แตกต่างจากของไทย...ที่วิ่งเข้าขย้ำคอกันได้เลย ฮ่า ฮ่า ฮ่า)
2. จากในรูป ที่ผมใส่เลขหนึ่งเอาไว้นั้นคือ “พระราชคทา”(mace) ของควีนอลิซาเบธ ที่พนักงานประจำรัฐสภาต้องอัญเชิญมาวางไว้ที่โต๊ะก่อนเปิดการอภิปรายทุกครั้ง คทานี้มีกฏหมายคุ้มครองด้วยนะครับ ใครจะละเมิดหรือดูถูกไม่ได้ เพราะถือว่าเป็นตัวแทนของควีนเลยทีเดียว เคยมีสส. จับทุ่มลงพื้นมาแล้วและโดนจับและปรับไปตามระเบียบ เวลามีการอภิปรายเรื่องเศรษฐกิจ คทานี้จะถูกนำไปวางไว้ใต้โต๊ะ เพื่อแสดงว่าการตัดสินใจด้านเศรษฐกิจใดๆ เป็นการตัดสินใจและอำนาจของรัฐบาลเพียงอย่างเดียวโดยไม่เกี่ยวกับควีนเลย
3. หมายเลขสองคือกล่องไม้เก่า ข้างในเป็นพระคัมภีร์ไบเบิ้ล ซึ่งสส. ต้องปฏิญาณตนต่อหน้า
4. สังเกตุไหมครับว่า ที่นั่งของสส. และคณะรัฐมนตรีไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย นั่งแทบจะไม่สบายก้นเท่าที่รัฐสภาไทยเล้ยย ของพี่ไทยเรา แอบหลับหรือแอบดูคลิปโป้ยังได้ แถมวันดีคืนดี...สส. ก็สามารถโชว์พละกำลังยกทุ่มข้ามหัวสส. ที่นั่งข้างหน้าได้เฉยเลย ขำๆ นะครับ...อย่าซีเรียส
มีความสุขในวีคเอ็นด์กันทุกคนนะครับ