สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 19
เนื้อหาเป็นไปในทางโน้มน้าวชี้นำอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งได้อ่านบทวิเคราะห์ของคุณโอ้ก็ยิ่งชัดเจนขึ้นไปอีก เสียดายงบประมาณจริงๆ
คล้อยตามกับคุณชุนเทียนเรื่องการโฆษณาสินค้า ร้ายลึกจริงๆ....
อ่านแล้วไม่รู้สึกสักนิดเลยว่าเป็นการกระตุ้นเตือนให้ไปใช้สิทธิออกเสียง ลงประชามติ
ทำไมจึงต้องมีคำถาม?
ข้อ2 : เพราะตามยุทธศาสตร์ชาติ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย5 ปีจึงจะวางรากฐานให้เป็นรูปธรรม บลา บลาๆ (วัชรานนท์: ขออยู่เป็นรัฐบาลต่ออีกห้าปี) แถมยังตบท้ายด้วยสีแดงให้เห็นเด่นชัดว่า "ชาติมั่นคง เศรษกิจยั่งยืน ประเทศมีความสงบ ปรองดอง" (วัชรานนท์: ก้อแล้วทำไม กองทัพไม่ทำหน้าที่ปกป้อง คุ้มครองรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้อยู่ต่อตามหลักยุทธศาสตร์ชาติล่ะครับ กลับทำสิ่งตรงข้ามแล้วมาอ้างยุทธศาสตร์ชาติหน้าตาเฉย)
คล้อยตามกับคุณชุนเทียนเรื่องการโฆษณาสินค้า ร้ายลึกจริงๆ....
อ่านแล้วไม่รู้สึกสักนิดเลยว่าเป็นการกระตุ้นเตือนให้ไปใช้สิทธิออกเสียง ลงประชามติ
ทำไมจึงต้องมีคำถาม?
ข้อ2 : เพราะตามยุทธศาสตร์ชาติ ต้องใช้เวลาอย่างน้อย5 ปีจึงจะวางรากฐานให้เป็นรูปธรรม บลา บลาๆ (วัชรานนท์: ขออยู่เป็นรัฐบาลต่ออีกห้าปี) แถมยังตบท้ายด้วยสีแดงให้เห็นเด่นชัดว่า "ชาติมั่นคง เศรษกิจยั่งยืน ประเทศมีความสงบ ปรองดอง" (วัชรานนท์: ก้อแล้วทำไม กองทัพไม่ทำหน้าที่ปกป้อง คุ้มครองรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้งให้อยู่ต่อตามหลักยุทธศาสตร์ชาติล่ะครับ กลับทำสิ่งตรงข้ามแล้วมาอ้างยุทธศาสตร์ชาติหน้าตาเฉย)
ความคิดเห็นที่ 16
แบ่งชนชั้น ประชาชนทั่วไป ประชาชนผู้ยากไร้ ผู้สูงอายุ(ที่ไม่ใช่ข้าราชการ)และคนพิการ
รัฐสวัสดิการ (บัตรทองรถเมล์ รถไฟฟรี เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุฯ จะให้เฉพาะผู้ยากไร้ คน
พิการ และผู้สูงอายุฯ)
จุลสารที่ กกต.แจก เหมือนหนังสือชี้ชวน ให้รับประชามติ ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับย่อเลย
ไม่เป็นกลางเสียเอง...............แล้วจะเอาผิดคนอื่นได้อย่างไร
รัฐสวัสดิการ (บัตรทองรถเมล์ รถไฟฟรี เงินสงเคราะห์ผู้สูงอายุฯ จะให้เฉพาะผู้ยากไร้ คน
พิการ และผู้สูงอายุฯ)
จุลสารที่ กกต.แจก เหมือนหนังสือชี้ชวน ให้รับประชามติ ไม่เหมือนรัฐธรรมนูญฉบับย่อเลย
ไม่เป็นกลางเสียเอง...............แล้วจะเอาผิดคนอื่นได้อย่างไร
ความคิดเห็นที่ 12
ไนจุลสารของรัฐธรรมนูญ มาตราต่างฯ เขียนไว้กว้างฯ และคลุมเครือ
ความไม่ชัดเจน จะทำไห้มีปัญหาต้องตีความอยู่ตลอดเวลา และแล้วแต่ผู้มีอำนาจจะตีความไปทางไหน
และถ้า สว.มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด ก็จะกลายเป็นพรรคไหญ่ที่มีจำนวนสส.มากที่สุด และถ้ามีสิทธ์โหวตเลือกนายก
คนนอกได้ ก็คงจะเดาได้ว่า นายกเป็นไครมาจากไหน เหมือนอย่างที่ คุณมาริโอ้ได้วิเคราะห์ไว้
ความไม่ชัดเจน จะทำไห้มีปัญหาต้องตีความอยู่ตลอดเวลา และแล้วแต่ผู้มีอำนาจจะตีความไปทางไหน
และถ้า สว.มาจากการแต่งตั้งทั้งหมด ก็จะกลายเป็นพรรคไหญ่ที่มีจำนวนสส.มากที่สุด และถ้ามีสิทธ์โหวตเลือกนายก
คนนอกได้ ก็คงจะเดาได้ว่า นายกเป็นไครมาจากไหน เหมือนอย่างที่ คุณมาริโอ้ได้วิเคราะห์ไว้
ความคิดเห็นที่ 10
คุณโอ้ ละเอียดนะ ปรบมือให้กับความตั้งใจดีๆที่ทำมาให้เพื่อนๆได้อ่านเลยค่ะ
อย่างที่บอกว่า ไม่ว่าเราจะเห็นต่างอย่างไร มาตราการของรัฐบาลไม่ได้ให้เรา พูดอะไรได้มากนักทางสื่อ
( แต่เราสามารถชี้แจงให้คนรอบข้างเรา สังคมที่เราอยู่รู้ได้ ว่าร่างนี้มีผลอย่างไรต่อประเทศชาติในอนาคต)
ที่เสียดายคือยังมีคนที่ไม่เข้าใจนี่แหล่ะ ว่าผลดี เสีย จะเป็นแบบไหน เพราะขาดการชี้แจงจากคนเห็นต่าง
ส่วนตัวคิด ผ่านแล้วแก้ไขไม่ได้ แต่ไม่ผ่านยังแก้ไขได้ง่ายกว่านะ
อย่างที่บอกว่า ไม่ว่าเราจะเห็นต่างอย่างไร มาตราการของรัฐบาลไม่ได้ให้เรา พูดอะไรได้มากนักทางสื่อ
( แต่เราสามารถชี้แจงให้คนรอบข้างเรา สังคมที่เราอยู่รู้ได้ ว่าร่างนี้มีผลอย่างไรต่อประเทศชาติในอนาคต)
ที่เสียดายคือยังมีคนที่ไม่เข้าใจนี่แหล่ะ ว่าผลดี เสีย จะเป็นแบบไหน เพราะขาดการชี้แจงจากคนเห็นต่าง
ส่วนตัวคิด ผ่านแล้วแก้ไขไม่ได้ แต่ไม่ผ่านยังแก้ไขได้ง่ายกว่านะ
แสดงความคิดเห็น
จุลสารการออกเสียงประชามติ "เตรียมตัวให้พร้อม ไม่ยอมให้ใครชี้นำ..." ??? แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน (The Mario)
หน้าปกที่เขาทำแจกมามันเป็นแบบนี้ครับ
จุลสารที่ว่านี้มันแนบมากับรายชื่อและลำดับของเราที่จะไปคูหากาประชามติ เนื้อในประกอบด้วยเนื้อหาของทั้ง กกต. สนช. และเน้นหนักไปที่ กรธ. ซึ่งก็แปลกใจตั้งแต่ต้นแล้วว่า กกต. ที่มีหน้าที่ๆจะต้องเป็นกลางแต่เอาเนื้อหาของอีก 2 องค์กรนี้มารวมกันแล้วพรีเซ้นต์ในเชิงบวกได้อย่างไร
เรามาดูสเน่ห์เหลือล้ำ ลึกซึ้งที่แฝงอยู่ด้านในจุลสารกันครับ
แค่เริ่มมาก็สรุป "เรื่องสำคัญที่ประชาชนและสังคมจะได้รับจากร่างรัฐธรรมนูญ" แค่หัวข้อก็ดูมีสเน่ห์น่าติดตามแล้วครับ แต่มันก็มีประเด็นที่น่าสงสัยอีกว่ามันตรงกันกับร่าง รธน. หรือไม่ เช่นตั้งแต่ข้อแรกเรื่องคุ้มครองตั้งแต่ในท้องแม่ไปจนแก่เฒ่าจริงทุกคนหรือไม่ หรือว่าต้องไปลงทะเบียนเป็นผู้ที่ไม่มีรายได้พอต่อการยังชีพและเป็นผู้ยากไร้
เรื่องเรียนฟรีก็เหมือนกัน แต่เดิมมัน 15 ปี แล้วใยจู่ๆมันเหลือแค่ 14 ปี หากจะมากกว่านั้นต้องวให้รัฐจัดตั้งกองทุนขึ้นมาโดยกองทุนที่ว่านี้จะให้เรียนฟรีหรือให้ "กู้ยืม" ก็ได้ แถมในร่าง รธน. มาตรา 54 กลับเขียนไว้แค่ 12 ปีอีกต่างหาก
เรื่องประเด็นด้านสาธารณสุข มันก็อดสงสัยไม่ได้อีกว่าทำไมมันต้องมีการเน้นคำว่า "ผู้ยากไร้ย่อมได้รับการบริการสาธารณสุขจากรัฐโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย" หรือว่าหากใครจะได้รับการรักษาต้องเอาหลักฐานไปลงทะเบียนผู้ยากไร้เสียก่อนถึงจะได้รับการยกเว้นการชำระค่ารักษา โดยแต่เดิมประชาชนทุกคนไม่แบ่งชนชั้นรวยจนกันก็ได้รับการรักษาทุกคนอยู่แล้ว
เรื่องปฏิรูปตำรวจพูดจากใจจริงๆคือเห็นด้วยนะครับ แต่ไม่อยากให้ชูประเด็นตำรวจเพียงอย่างเดียว สำหรับผมแล้วต้องปฏิรูปราชการมันทั้งระบบไม่แยกสี รัฐวิสาหกิจที่เป็นภาระกับประชาชนทั้งปีทั้งชาติ รวมไปถึงบริษัทมหาชนต่างๆที่รัฐมีหุ้นอยู่ในนั้น อะไรที่มันขาดทุนหรือเสี่ยงต่อการเป็นภาระประชาชน หรือยังมีมุมมองส่วนตัวที่ไม่รับใช้ประชาชนด้วยใจจริง ไอ้ประเภทเป็นตำรวจเพราะมีช่องทางหากินอย่างอื่น เป็นหมอเพราะเงินมันดี เป็นราชการเพราะอยากได้สวัสดิการอยากเป็นเจ้าคนนายคน ฯลฯ ทั้งปฏิรูปและเปลี่ยนมุมมองมันใหม่ให้หมด อย่ามาเอาตำรวจองค์กรเดียวมาเป็นแพะบูชายันต์โชว์เลยครับ ชาวบ้านส่วนใหญ่ก็ด่าตำรวจมากกว่าชมอยู่แล้วแต่เวลามีปัญหาก็ไม่พ้นที่จะนึกถึงตำรวจอยู่ดี โดยเฉพาะกระบวนการยุติธรรมทั้งหมดที่มันเป็นปัญหาอยู่ทุกวันนี้ จับมันปฏิรูปก่อนเพื่อนเลยครับ คุณอย่าลืมคำว่าความยุติธรรมไม่มี สามัคคีไม่เกิด และหากกระบวนการยุติะรรมยังมีปัยหา ยังมีการเลือกปฏิบัติกฏหมายก็จะไม่ศักดิ์สิทธิ์
ในส่วนที่ 2 เรื่องเด่นอื่นๆในร่างรัฐธรรมนูญ เช่น เรื่องใดที่มิได้ห้ามหรือจำกัดโดยรัฐธรรมนูญหรือกฏหมาย ประชาชนย่อมมีสิทธิทำได้ ตราบเท่าที่ไม่เป็นอันตรายกับสังคมหรือละเมิดสิทธิหรือเสรีภาพของผู้อื่น ใครเป็นผู้กำหนดมาตรฐานนี้ หากใช้มาตรฐานเดียวกันก็เป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ที่ผ่านมามันไม่ใช่เลยครับ คนกลุ่มหนึ่งไม่เคยผิด แต่อีกกลุ่มหนึ่งผิดอยู่ฝ่ายเดียว ผมว่าหากยังแก้ปัญหาความไร้มาตรฐานตรงนี้ไม่ได้ยิ่งเป็นการเปิดช่องให้ผู้ไม่หวังดีกับบ้านเมืองออกมาสร้างความวุ่นวายต่อเนื่องได้อีกในอนาคต โดยเฉพาะกรณีที่มีกลุ่มคนที่เสียประโยชน์จากการแพ้เลือกตั้ง ก็คงมิวายออกมาหาเรื่องสร้างความวุ่นวายให้กับประเทศชาติอีกครั้ง เรียกร้องการรัฐประหารอีกครั้ง
การมุ่งลดความเหลื่อมล้ำและสร้างความเป็นธรรมในสังคม การแยกระหว่างประชาชนทั่วไปกับประชาชนที่ยากไร้ออกจากกันยิ่งเป็นการเพิ่มความเหลื่อมล้ำทางสังคมครับ ส่วนเรื่องสร้างความเป็นธรรมเป็นสิ่งที่ผมอยากเห็นมาเป็นเวลานานมาก แต่ก็ยังไม่เห็นแต่อย่างใดแม้กระทั่งยุคการปฏิรูปประเทศไทย อันนี้ต้องขออนุญาตเรียนตามตรง
ประเด็นรัฐต้องทำหน้าที่ที่กำหนดไว้เพื่อประโยชน์สุขของประชาชนทุกคนโดยที่ "ประชาชนแต่ละคนไม่ต้องร้องขอใช้สิทธิเหมือนที่ผ่านมา"
มองเผินๆก็ดูดีมีสเน่หืแต่มานั่งคิดอีกรอบมันก็เกิดคำถามขึ้นมาอีกหละครับว่าหากรัฐทำหน้าที่ได้ไม่ดีละ เราต้องรออย่างเดียวเลยหรือเปล่า ดูมันย้อนแย้งกับสิทธิที่ได้รับการคุ้มครองในการติดตาม เร่งรัด ร้องทุกข์หรือฟ้องร้องหน่วยงานของรัฐ ยังไงไม่รู้ครับ
ประเด็นทุกคะแนนมีความสำคัญ แต่โดยความเห็นส่วนตัวของผมทุกคะแนนที่มีความสำคัญก็คือสามารถเลือกคนที่เรารักและเลือกพรรคที่เราชอบได้ซึ่งมันไม่มีในกติกาเลือกตั้งแบบ MMA นี้ครับ และยิ่งมีการชูประเด็น 250 สว. โหวตเลือกนายกฯได้ด้วยในคำถามพ่วง ยิ่งไปทำให้คะแนนของประชาชนแต่ละคนดูด้อยค่าลง
ประเด็นที่ให้ทุกกลุ่มอาชีพลงสมัคร์ สว. ได้ แต่ทำไมคุณไม่บอกต่อละครับว่า สว. 250 คนแรก คสช. เป็นผู้คัดเลือกเองทั้งหมด อย่าลืมตรงนี้ไปนะครับ ก่อนที่ประชาชนจะเข้าใจผิด
ประชาชนรู้ตัวผู้มีสิทธิเป็นนายกรัฐมนตรีล่วงหน้า แล้วที่ผ่านมาจะเลือกตั้งกี่ครั้งนายกฯกี่คนมันก็รู้ไม่ใช่เหรอครับว่าจะชูใครเป็นคู่แข่งนายกฯกับพรรคตรงข้าม มันน่าตื่นตาตื่นใจตรงไหนเหรอถึงขนาดเอามาพรีเซ้นต์ ผมว่ามันจะยิ่งไม่รู้ตัวนายกฯน้อยกว่าทุกครั้งเสียด้วยซ้ำจากกรณีมีนายกฯคนนอกตามมาตรา 272 และมาตรานี้หรือไม่ที่ทำให้เป็นที่มาของคำถามพ่วงที่อยากให้ สว. โหวตเลือกนายกฯได้
ประเด็นองค์กรอิสระเป็นองกรที่ถ่วงดุลและตรวจสอบการทุจริตอย่างมีประสิทธิภาพ ประสิทธิภาพในที่นี้คุณต้องจัดการกับภาพลักษณ์ 2 มาตรฐานของพวกคุณให้ได้ก่อนครับ ถึงจะกล้าพูดได้เต็มปากว่ามีประสิทธิภาพจริง บางครั้งหลายคนก็มองว่านี่คือการสถาปณาอำนาจที่ 4 ขึ้นมา นอกเหนือไปจากฝ่ายบริหาร นิติบัญญัติ ตุลาการ
ประเด็นป้องกันมิให้มีการบ่อนทำลายพระพุทธศาสนา แต่ที่ผ่านมาความแตกแยกระหว่างชาวพุทธลุกลามไปทั้งประเทศในช่วงเวลาที่มีการปฏิรูปประเทศ และยังไม่ได้รับการจัดการกับความขัดแย้งใดๆ การนิ่งเฉยแล้วปล่อยให้คนพุทธมีบรรยากาศที่อึมครึมต่อกันเช่นนี้ผมจะเชื่อได้อย่างไรว่าจะไม่มีมือที่สาม ที่สี่ ที่ห้า เข้ามาผสมโรงในการทำลายพุทธศาสนาเพิ่มขึ้น อันนี้ผมให้กำลังใจในการแก้ปัญหาให้ได้นะครับในกรณีที่ร่าง รธน นี้ผ่าน
ประเด็นที่หาทางออกในกรณีที่ประเทศเกิดปัญหาทางการเมืองโดยให้องค์กรที่เกี่ยวข้องต้องพูดคุยและหาทางออกร่วมกัน หากเกิดกรณีที่ใช้มาตรา 5 เพื่อหาทางออกร่วมกัน เมื่อไม่มีบทบัญญัติแห่งรัฐธรรมนูญนี้บังคับแก่กรณีใด ให้ประธานศาลรัฐธรรมนูญจัดให้มีการประชุมร่วมระหว่างประธานสภาผู้แทนราษฎร ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร ประธานวุฒิสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา ประธานศาลปกครองสูงสุด ประธานศาลรัฐธรรมนูญ และประธานองค์กรอิสระเพื่อวินิจฉัย ผู้นำฝ่ายค้านในสภาผู้แทนราษฎร+ประธานวุฒิสภา+ประธานศาลรัฐธรรมนูญ+ประธานองค์กรอิสระ ครึ่งหนึ่งของคณะประชุมมีโอกาสสูงมากที่จะออกความเห็นหรือลงมติมาในทิศทางเดียวกันครับ แล้วเราจะแน่ใจได้อย่างไรว่าจะได้ทางออกที่ถูกต้อง
ในส่วนของคำถามเพิ่มเติม ตามภาพเลยครับ คำถามคอนเซ็ปเดิมที่ สนช. เคยเสนอไว้แล้ว
ในส่วนนี้ผมขออนุญาติยืมคำพูดของประธาน กกต. มาย้อนถามตัวท่านเองว่า "คำถามพ่วงประชามติของ สนช. เป็นคำถามที่มีความยาวเกินไป และมีลักษณะเป็นคำถามนำ (Leading question) เพื่อนำไปสู่คำตอบในทิศทางที่ต้องการ และมีคำยาก (jargon) ที่อาจทำให้เกิดความสับสนในการตีความของประชาชน โดยหลักปฏิบัติของการตั้งคำถามประชามติต่อประชาชนทั้งประเทศควรเป็นภาษาที่ง่าย สั้น และ มีความเป็นกลาง คือ ไม่มีการให้เหตุผลก่อนไปสู่คำถาม จึงเห็นว่าควรปรับปรุง" ทำไมไม่ถามไปตรงๆให้ชาวบ้านเข้าใจไปเลยว่าเห็นด้วยหรือไม่ที่ให้ สว. 250 คนนั้นโหวตเลือกนายกฯได้ ถามตรงๆไปเลยครับ ถามแบบนี้ชาวบ้านตีความลำบากครับและมันชี้นำไปในทางบวกแบบที่ท่านเคยว่าไว้จริงๆ แต่ท่านก็ไม่แก้ครับ ไปถามรองวิษณุเขาก็คงไม่แก้ให้คุณหรอกครับ ยืนตามเดิมและรับหน้าแทนท่านเท่านั้นเอง
ยังคงสงสัยต่ออีกว่าในกรณีที่คำถามพ่วงไม่ผ่านแต่ประชามติผ่าน คำถามพ่วงมันก็มีค่าแค่คำถามพ่วงเล่นๆท้ายประชามติหรือไม่ ในเมื่อประชามติผ่านก็เสมือนยอมรับคำถามพ่วงให้ผ่านไปด้วย หรือในที่กรณีที่คำถามพ่วงผ่าน คำถามพ่วงนี้จะกลายเป็นส่วนหนึ่งที่เพิ่มเข้าไปในรัฐธรรมนูญได้ในทันทีเพราะว่ามันผ่าน
เอาเท่านี้ก่อนครับ ส่วนตัวผมเองเพียงแต่ขอใช้สิทธิตามกฏหมายในการวิพากษ์วิจารณ์ร่างรัฐธรรมนูญตามประกาศของ กกต.ว่าด้วยหลักเกณฑ์และวิธีการในการแสดงความคิดเห็นในการออกเสียงประชามติ โดยมีข้อกำหนด สิ่งที่ประชาชนทำได้ 6 ข้อ จุลสารฉบับนี้ชี้นำไม่ชี้นำก้แล้วแต่วิจารณญาณส่วนบุคคล "แต่ดูรวมๆ แล้วมีเสน่ห์เหลือเกิน ไม่ต้องมาเขิน ฉันพูดจริงๆ เธอมีเสน่ห์มากมาย จะน่ารักไปไหน อยากจะได้แอบอิง ยิ่งดูยิ่งมีเสน่ห์...."
The Mario : 24 กรกฎาคม 2559 11.42 น.