เรื่องของพระโสดาบัน

กระทู้สนทนา
::: โสดาบันเป็นแบบนี้! :::

โยม: ยังสงสัยอยู่เจ้าค่ะ เรื่องสักกายทิฐิ อารมณ์ของพระโสดาบันยังมีความเสียดายในร่างกาย อาลัยอาวรณ์หรือไม่คะ?

หลวงพ่อ: พระโสดาบันยังครองเรือนมีลูก ยังรักสวย เข้าใจไหมว่าพระโสดาบันไม่ใช่พระอนาคามีที่ตัดขันธ์ห้าได้ เพียงแต่เห็นขันธ์ห้าแล้ว เข้าใจแล้ว ไม่ใช่เรา เห็นแต่ละไม่ได้เข้าใจไหม ละขันธ์ห้าไม่ได้ เห็นว่าไม่ใช่เราแต่มันละไม่ได้ เหมือนรถไม่ใช่เรา แต่กูก็ห่วงกว่ากูอ่ะ กูหวงรถกูอ่ะ อะไรอย่างนี้ รถกูตั้งสิบล้านอะไรอย่างนี้ แต่รถไม่ใช่กูอ่ะ ใช่ มันไม่ใช่ แต่กูก็ห่วง อย่างนี้ “โสดาบัน” โสดาบันเหมือนกับว่ามีความห่วงขันธ์ห้าอยู่ แต่รู้แล้วว่าขันธ์ห้านี้ไม่ใช่เรา บางครั้งผัวตายก็ร้องไห้ร้องห่มฟูมฟายนะ ลูกตายก็ร้องห่มร้องไห้ฟูมฟาย แต่ใครมาเตือนสติก็ได้สติ แต่ร้องไห้ฟูมฟายร้องไม่นานลูก สติจะดีกว่าคนปุถุชนธรรมดาจะหายไวมาก สติจะกลับมาไวมาก ฉะนั้นพระโสดาบันจริงๆ ยังไม่ได้ตัดขันธ์ห้าลูก แต่เพียงเห็นตามความเป็นจริงว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา เราไม่มีในขันธ์ห้า ขันธ์ห้าไม่เป็นเรา เราไม่เป็นขันธ์ห้า เท่านั้นลูกแค่นั้น แต่เวลาโสดาบันปรากฏขึ้นในจิตเนี่ย เขาเรียกว่าดวงจิตพ่อแม่ให้มามันจะตาย มันจะเกิดดวงจิตใหม่ โครตภูเวลาข้ามมันจะสะเทือนเลื่อนลั่นทั้งโลกธาตุ มันจะไม่ไปง่ายแบบวืบ ตื่นขึ้นมาปั๊ป โสดาบันเพราะกูคิดทุกวัน (โยมหัวเราะ) ไม่ใช่ ไม่ใช่ความคิดลูก แต่มันเป็นความไม่มีเจตตาของจิตที่เข้าไปรู้ลูก ถ้ามีเจตนาเข้าไปมันจะเป็นสังขารแปลว่าการปรุงแต่ง...

...ปัญญาต้องไม่มีเจตนา ถ้ามีเจตนาจะเป็นสังขารจำไว้ให้ดีนะ ปัญญาต้องเกิดขึ้นเลย นึกง่ายๆ เวลาใครพูดๆ ขึ้นมาด่าโดยที่ไม่ต้องคิดอ่ะ ... เราพูดถึงว่าตรงนั้นไม่มีเจตนาที่จะแต่งคำพูดออกมาว่าเป็นคำด่าแบบนั้น ความรู้ในขันธ์ห้าไม่ใช่ของเรา ความรู้นี้เป็นความรู้ที่ไม่มีเจตนาเข้าไปร่วมด้วย มันเป็นเอง ปัญญามันเข้าไปตัดเอง ปัญญาต้องไม่มีเจตนา แต่ปัญญาก็ต้องอาศัยเจตนา เจตนาก็ตั้งอยู่ในสังขารด้วยการปรุงแต่ง ต้องปรุงเหมือนกัน ต้องคิดนึกร่างกายไม่เที่ยง สังขารไม่เที่ยง ชีวิตไม่เที่ยง ต้องคิดเหมือนกัน คิดจนสุดท้ายมันคิดเอง ยกตัวอย่าง เช่น เราขี่จักรยานไป ขึ้นๆๆ มันก็เหนื่อย พอลงปั๊ปเราไม่ต้องปั่นแล้ว เห็นมั้ยมันไปเองเลย นั่นแหละการไปเองเราไม่ต้องใช้แรงเลย การไม่ใช้แรงนั่นแหละคือไม่ต้องใช้ความคิดเลย ไม่ต้องใช้สัญญา ไม่ต้องใช้สังขาร ไม่ต้องใช้เจตนาเลย ล้อมันจะหมุนไปเองลงไปเองเลย ปัญญามันจะไหลไปเอง ปรากฏขึ้นเอง ...

...ลักษณะของปัญญาจะเกิดวูบๆ วาบๆ เกิดแล้วก็ดับหายไปแล้วก็ไม่ปรากฏขึ้นอีก ฉะนั้นตัวปัญญานี้เมื่อเกิดขึ้นก็เกิดขึ้นเฉพาะกิเลสที่มันพอดีกัน เมื่อปัญญาทำหน้าที่ดับกิเลสแล้วปัญญาก็ดับไปด้วย เหมือนกับว่ามันกระโดดไปฮุบเอากิเลส แล้วมันก็ต้องจมลงไปพร้อมกันด้วย จะไม่ปรากฏปัญญานั้นขึ้นอีกเลย ที่เหลือของผู้ที่เห็น คือ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ปัญญาก็ไม่เที่ยง ดับไปพร้อมกับกิเลสแล้วแล้วไม่เกิดอีก ถ้าเป็นกิเลสตัวใหม่จะเป็นปัญญาตัวใหม่ที่มีความเสถียรและเสมอกัน และก็เข้าไปดับพร้อมกัน ดับเสร็จแล้วปัญญานั้นก็ดับไปด้วย ไม่เกิดอีก ถ้าเกิดเป็นปัญญาตัวใหม่ นี่เรียกว่าเกิดแล้วก็ดับ โสดาบัน เป็นแบบนี้! ...”

ตอนหนึ่งของพระธรรมเทศนา ณ บ้านธรรมยอดไกรศรี พระราม๒ (03/11/13)
โดย หลวงพ่อครูบาเจ้าเพชร วชิรมโน

ปล.แต่ตอนนี้ผมถนัดโซดาตะบัน คือ โซดากับมะนาวตอนนี้คล่องมากครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่