"ปัญญาอบรมสมาธิ"
" .. อันหนึ่งสมถะ อันหนึ่งวิปัสสนา มันถูกกับจริตอันใด การภาวนามันสบาย ก็ให้เอาอันนั้น "ถ้ามันถูกกับจริต จิตก็สงบสบาย" ไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น "จิตรวมอยู่ นั่นแหละมันถูกนิสัย"
ครั้นมันไม่ถูกนิสัยแล้ว "นึกพุทโธหรืออันใดมันก็ฟุ้งซ่าน หายใจยาก หายใจฝืดเคือง" หมายความว่ามันไม่ถูกจริตของตน "อันใดมันถูกจริต มันก็สบายใจ ใจสว่าง จิตไม่ฟุ้งซ่าน" เบื้องต้นใครเอาอันใด ก็ต้องเอาอันนั้นเสียก่อน
พิจารณาอาการสามสิบสอง "นี่เรียกว่าวิปัสสนา" เรียกว่าค้นคว้า เมื่อเราบริกรรมพุทโธหรืออะไรก็ตาม บริกรรมแล้วมันไม่สงบ เราก็ต้องค้นคว้าหาอุบาย มันเป็นการอบรมกัน มันเป็นเรื่องปัญญา "จิตไม่สงบเราก็ต้องพิจารณา ให้มันสงบ"
มันไม่สงบแล้วมันก็ไปที่อื่น ไปสู่อารมณ์ภายนอกที่อื่น "เราก็ต้องเอามันมา ปลอบโยนมัน" ค้นคว้าให้มัน"พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปสุดตลอด ให้มันครบถึงอาการ ๓๒" ใช้สัญญาค้นไป ค้นไป ไม่ให้มันไปที่อื่น ค้นไป "บางทีมันลงความเห็นเรื่องปัญญา" เราค้นไป ว่าไป "มันมีความเห็นตามแล้วมันก็สังเวช สลดใจ จิตมันจึงจะสงบลง"
ต้องเอาอย่างนั้นเสียก่อน แล้วจึงพัก เอาอย่างนี้ "ต่างฝ่ายต่างอบรมกัน สมาธิอบรมปัญญาให้เกิด ปัญญาอบรมสมาธิให้เกิด" ปัญญาล้อมรอบมัน แล้วมันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้มันก็ลง "เรียกว่า ปัญญาอบรมมัน" .. "
เมื่อจิตรวมแล้ว มันจะรู้ตามความเป็นจริง มันจะว่าง มันจะวาง ว่างนั่นแหละ พอจิตรวมแล้วมันก็วาง ค้นหาตัวไม่มี พอมันสงบแล้วปัญญามันเกิดขึ้นของมันเอง ครั้นมันสงบลงถึงฐานถึงที่ มันเป็นอัปปนาแล้ว มันเกิดขึ้นเองนะ พอนึกเท่านั้น มันปรุงฟุ้งขึ้น มันปรุงแล้ว มันไม่ได้ยึดแสงสว่าง สว่างหมดทั้งโลกก็ตาม มันไม่ไปยึด มันสาวเข้าหาคน คนอยู่ที่ไหนมันอวดว่าตนว่าตัว ไล่เข้าไป ถ้ามันรวมลงอย่างนั้น มันอาศัยสติควบคุมให้มันอยู่ อย่าให้มันไป จิตรวมลงอย่างนี้แจ่มใสทีเดียว ไม่ใช่มันง่วงนอน มันไม่ใช่วิสัยของสมาธิ อันนี้มันแจ่มใสอย่างนั้น เรียกว่าสัมมาสมาธิ มันเป็นสมาธิอันถูกต้อง แล้วก็แม่นมันนั่นแหละ (หลวงพ่อ : แม่นภาษาอีสานนะ) แล้วก็แม่นมันนั่นแหละ แม่นจิตนั่นแหละ เป็นตัวศีลล่ะ จิตนั่นแหละเป็นตัวสมาธิ จิตนั่นแหละเป็นตัวปัญญา อันเดียวนั่นแหละ มันจะถึงอธิจิต อธิศีล อธิปัญญาได้ ก็อาศัยสติควบคุม
หลวงปู่ขาว อนาลโย
"ปัญญาอบรมสมาธิ" (หลวงปู่ขาว อนาลโย)
"ปัญญาอบรมสมาธิ"
" .. อันหนึ่งสมถะ อันหนึ่งวิปัสสนา มันถูกกับจริตอันใด การภาวนามันสบาย ก็ให้เอาอันนั้น "ถ้ามันถูกกับจริต จิตก็สงบสบาย" ไม่ฟุ้งซ่านไปที่อื่น "จิตรวมอยู่ นั่นแหละมันถูกนิสัย"
ครั้นมันไม่ถูกนิสัยแล้ว "นึกพุทโธหรืออันใดมันก็ฟุ้งซ่าน หายใจยาก หายใจฝืดเคือง" หมายความว่ามันไม่ถูกจริตของตน "อันใดมันถูกจริต มันก็สบายใจ ใจสว่าง จิตไม่ฟุ้งซ่าน" เบื้องต้นใครเอาอันใด ก็ต้องเอาอันนั้นเสียก่อน
พิจารณาอาการสามสิบสอง "นี่เรียกว่าวิปัสสนา" เรียกว่าค้นคว้า เมื่อเราบริกรรมพุทโธหรืออะไรก็ตาม บริกรรมแล้วมันไม่สงบ เราก็ต้องค้นคว้าหาอุบาย มันเป็นการอบรมกัน มันเป็นเรื่องปัญญา "จิตไม่สงบเราก็ต้องพิจารณา ให้มันสงบ"
มันไม่สงบแล้วมันก็ไปที่อื่น ไปสู่อารมณ์ภายนอกที่อื่น "เราก็ต้องเอามันมา ปลอบโยนมัน" ค้นคว้าให้มัน"พิจารณา ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง ไปสุดตลอด ให้มันครบถึงอาการ ๓๒" ใช้สัญญาค้นไป ค้นไป ไม่ให้มันไปที่อื่น ค้นไป "บางทีมันลงความเห็นเรื่องปัญญา" เราค้นไป ว่าไป "มันมีความเห็นตามแล้วมันก็สังเวช สลดใจ จิตมันจึงจะสงบลง"
ต้องเอาอย่างนั้นเสียก่อน แล้วจึงพัก เอาอย่างนี้ "ต่างฝ่ายต่างอบรมกัน สมาธิอบรมปัญญาให้เกิด ปัญญาอบรมสมาธิให้เกิด" ปัญญาล้อมรอบมัน แล้วมันไปไม่ได้ มันไปไม่ได้มันก็ลง "เรียกว่า ปัญญาอบรมมัน" .. "
เมื่อจิตรวมแล้ว มันจะรู้ตามความเป็นจริง มันจะว่าง มันจะวาง ว่างนั่นแหละ พอจิตรวมแล้วมันก็วาง ค้นหาตัวไม่มี พอมันสงบแล้วปัญญามันเกิดขึ้นของมันเอง ครั้นมันสงบลงถึงฐานถึงที่ มันเป็นอัปปนาแล้ว มันเกิดขึ้นเองนะ พอนึกเท่านั้น มันปรุงฟุ้งขึ้น มันปรุงแล้ว มันไม่ได้ยึดแสงสว่าง สว่างหมดทั้งโลกก็ตาม มันไม่ไปยึด มันสาวเข้าหาคน คนอยู่ที่ไหนมันอวดว่าตนว่าตัว ไล่เข้าไป ถ้ามันรวมลงอย่างนั้น มันอาศัยสติควบคุมให้มันอยู่ อย่าให้มันไป จิตรวมลงอย่างนี้แจ่มใสทีเดียว ไม่ใช่มันง่วงนอน มันไม่ใช่วิสัยของสมาธิ อันนี้มันแจ่มใสอย่างนั้น เรียกว่าสัมมาสมาธิ มันเป็นสมาธิอันถูกต้อง แล้วก็แม่นมันนั่นแหละ (หลวงพ่อ : แม่นภาษาอีสานนะ) แล้วก็แม่นมันนั่นแหละ แม่นจิตนั่นแหละ เป็นตัวศีลล่ะ จิตนั่นแหละเป็นตัวสมาธิ จิตนั่นแหละเป็นตัวปัญญา อันเดียวนั่นแหละ มันจะถึงอธิจิต อธิศีล อธิปัญญาได้ ก็อาศัยสติควบคุม
หลวงปู่ขาว อนาลโย