ปลูกรักในรั้วใจ โดย อิสวารายา (ตอนที่ 29,30)

ตอนที่ 29 ทะเลเคียงดาว


    ชลธีไม่อาจทนอยู่ร่วมกับเปรมยุตาจนจบทริปได้อีกต่อไปจึงทำเรื่องเปลี่ยนเที่ยวบินกลับตั้งแต่เมื่อคืน วันรุ่งขึ้นก็รีบเชคเอาท์ออกมาท่ามกลางความงุนงงของคนอื่นๆโดยให้เหตุผลกับทีมว่าต้องรีบกลับไปดูมารดาที่ป่วยกะทันหัน คงจะมีเปรมยุตาเพียงคนเดียวเท่านั้นที่กลั้นเก็บความระทมเอาไว้ในใจที่ชลธีหมดเยื่อใยอาทรต่อตนเองแล้วจริงๆ ทันทีที่เครื่องจอดสนิทนิ่งบนรันเวย์ของสนามบินสุวรรณภูมิตอนเช้าตรู่ในอีกวันต่อมา สิ่งแรกที่เขาทำคือรีบเปิดเครื่องมือสื่อสารแล้วโทรหาแทนดาวทันที
    “น้องพลู...พี่กลับมาแล้วนะ” เสียงร้อนของคนปลายสายทำให้แทนดาววางแปรงที่กำลังหวีผมขณะเตรียมแต่งไปมหาวิทยาลัย
    “งานเสร็จแล้วเหรอคะ?” คิ้วโก่งเรียวดุจคันศรขมวดนิดๆเพราะว่าเขากลับมาเร็วกว่ากำหนด
    “ยังหรอก...แต่พี่กลับมาก่อน”
    “แล้วจะรีบกลับมาทำไมล่ะคะ..น่าจะอยู่หาความสุขอีกสักวันสองวัน” คำตอบประชดเหน็บแนมนั่นยิ่งให้คนฟังร้อนรนใจ
    “ใครจะไปมีอารมณ์หาความสุขอีกล่ะ ในเมื่อมีใครบางคนยังเข้าใจอะไรผิด”  น้ำเสียงจากปลายสายฟังดูกระวนวายจนแทนดาวยอมวางทิฐิแล้วตั้งใจฟัง
    “วันนี้เลิกเรียนกี่โมง?”
    “เที่ยงค่ะ...แต่น้องพลูมีนัดคุยกับอาจารย์ต่อน่าจะเสร็จบ่ายสอง” ในน้ำเสียงอาจจะฟังดูไม่ค่อยแปลกใจหรือตื่นเต้นกับการกลับมาก่อนกำหนดของฝ่ายนั้นแต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าหัวใจดวงน้อยอุ่นชื้นขึ้นอย่างประหลาด
    “โอเค...พี่จะไปรับนะ”
    แทนดาวไม่ตอบรับหรือปฏิเสธนอกจากวางสายแล้วหันกลับมามองตัวเองในกระจกพลางคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคือก่อน ชลธีเร่งรีบกลับมาแบบนี้เพื่อแก้ตัวหรือจะอธิบายความจริงว่าเรื่องคืนนั้นเป็นอย่างไรกันแน่
    หรือว่าเขาจะกลับมาบอกยุติความสัมพันธ์อย่างที่คิดเอาไว้...

    แทนดาวหน้าหงิกเมื่อเห็นว่าใครมารอรับอยู่ตรงจุดนัดหมายที่ปรกติแล้วไม่พี่ชายพี่สาวก็ต้องเป็นรถมารออยู่ทุกวัน  แต่วันนี้กลับเป็นบุรุษหนุ่มที่หน้าคมคมนัยน์ตาดุกำลังยืนพิงรถอเนกประสงค์สีดำเงาฉ่ำ จะทำเป็นแกล้งมองไม่เห็นแล้วเดินหนีไปที่อื่นก็ไม่ทันการณ์กับที่ฝ่ายนั้นจ้องมองตั้งแต่เดินลงบันไดมาจากตึกเรียน ไม่ยิ้ม ไม่ทักและไม่ขยับ ได้แต่ส่งสายตาดุดันบังคับให้คนตัวเล็กเดินเข้ามาหา
    หญิงสาวรู้สึกประหม่า... ก็เพราะการมาของเขาเป็นที่สนใจไม่น้อยเลย บรรดานักศึกษาสาวๆทุกคนที่เดินผ่านต่างก็ต้องแลหลังกันทุกรายไปพอเดินผ่านหนุ่มมาดเท่อย่างกับนายแบบที่หลุดออกมาจากนิตยสาร หลายคนพยายามส่งยิ้มให้แต่ชายหนุ่มไม่สนใจ ดวงตาประกายกล้าคู่นั้นยังคงสะกดให้สาวน้อยเอวบางรูปร่างสูงเกินมาตรฐานหญิงไทยเล็กน้อยให้เดินต๊อกๆเข้ามาหา
    แทนดาวเกือบจะตัดสินใจวิ่งหนีไปไกลๆแต่ไม่รู้ทำไมสองเท้าถึงได้รีบเดินจ้ำไปหาราวกับมีแม่เหล็กดึงดูด เพียงเพราะสายตาดุๆที่ดูคล้ายกับว่าไม่สบอารมณ์อะไรมาสักอย่างเตือนตนเองว่าไม่ควรไปยั่วโมโหหรือก่อกวนให้ผู้ชายคนนั้นไม่พอใจ ก็สายตาเหี้ยมๆแบบนี้แหละที่เคยจ้องมองคู่ศรศิลป์ไม่กินกันอย่างเทียมภพหรืออชิตะแล้วก็มีอันเกิดเรื่องทุกครั้งไป ถึงเขาจะเป็นคนมีเหตุผลและใจดีกับหล่อนเสมอ แต่ถ้าถึงเวลาเลือดเดือดขึ้นมาน่ะ...น่ากลัวกว่าพี่ชายหลายเท่า
    “มารอใครเหรอคะ?” หญิงสาวแสร้งทำเสียงทักทายแบบเย็นชาเหมือนไม่รู้จักกันเพื่อข่มความประหม่า ร่างสูงเพียงแค่เปลี่ยนอิริยาบถจากยืนพิงรถเป็นเดินเข้ามาเกือบชิดร่างเล็กแล้วแย่งหนังสือเรียนในอ้อมกอดไปถือเอง
    “มารอคนขี้งอน”
        “ถอยไปห่างๆเลยนะ ดูสิ...มีแต่คนมอง” เสียงเล็กๆเอ็ดเมื่อการกระทำของเขาตกเป็นเป้าสายตาของสาวๆที่สัญจรผ่านไปมาและดูคล้ายว่าจะเดินช้าลงเมื่อเฉียดมาใกล้บุรุษหน้าคมคนนี้
    “ใครเหรอ?”
    “ฮึ...อย่าบอกนะว่าไม่รู้ตัว ดูแม่พวกนั้นสิ...มองพี่ชลตาเยิ้มจนจะละลายออกมานอกเบ้าแล้ว” หล่อนเบะปากให้นักศึกษาสาวที่จับกลุ่มยืนมองอยู่ไม่ไกล รู้หรอกว่าเป้าสายตาของแม่พวกนั้นก็คือคนร่างสูงที่ยืนค้ำหัวอยู่นี่
    “ไม่รู้สิ...ไม่ได้สังเกตเหมือนกันว่าใครจะมองหรือไม่มอง เพราะพี่ไม่ได้มีสายตาไว้มองใคร...นอกจากน้องพลูคนเดียว” เขาบอกเสียงเรียบ หน้าขรึม ไม่รู้เลยว่าคำตอบนั้นน่ะสร้างความป่วนปั่นพร้อมๆกับความโกรธให้คนฟังมากขนาดไหน อยากหยิกหรือทุบให้สักพลั่กที่ทำปากหวานหน้าตายได้กวนอวัยวะส่วนล่างได้ดีเหลือเกิน
    “เลิกพูดจาเหลวไหลได้แล้ว พี่ชลมีอะไรถึงมานี่ได้ล่ะ” คนถูกกวนรีบเปลี่ยนเรื่องกลัวจะอดใจไม่ทำร้ายคนขี้เก๊กไม่ได้
    “ก็บอกแล้วว่าจะมารับ”
    “น้องพลูจะรอพี่หมาก”
    “วันนี้จะไม่มีใครมารับน้องพลู...นอกจากพี่” ชลธีไม่ว่าอะไรนอกจากก้มหน้าลงไปกระซิบอยู่ตรงข้างแก้ม
    “ไม่! น้องพลูไม่ไปกับพี่ชล” แทนดาวไม่ยอม สลัดมือจากการเกาะกุมได้ก็รีบหยิบโทรศัพท์กดเบอร์โทรหาพี่ชาย แต่ไม่มีใครรับก็เลยโทรหามารดา แต่กลับกลายเป็นว่าท่านเป็นคนออนุญาตให้ชลธีมาเองแถมยังกำชับกับบุตรสาวแสนดื้ออีกด้วยว่า  
    “ทำตัวดีๆกับพี่เขานะลูก”
    “โกรธๆๆ! โกรธคุณแม่แล้วก็พี่หมากด้วย!” หล่อนตวาดกับโทรศัพท์เป็นเด็กๆ ชลธีแอบอมยิ้มแล้วไปเปิดประตูเชื้อเชิญเทพธิดาหน้างอขึ้นรถ
    “พี่อุตส่าห์ไม่เข้าออฟฟิศเพื่อน้องพลูเลยนะเนี่ย ว่าจะพาไปหาอะไรกินสักหน่อย” เขาหยิบยกเรื่องงานขึ้นมาอ้างเพื่อให้หญิงสาวรู้สึกว่าตนเองมีความสำคัญกว่าเรื่องเงินๆทองๆ แทนดาวค้อนให้ก่อนจะขึ้นไปนั่งชูคอหน้าเชิดบนรถอย่างเสียไม่ได้
    “อย่างนี้สิครับ...ไม่ดื้อก็น่ารักอย่างนี้” จะประชดหรือชมจริงๆก็มิอาจล่วงรู้ แทนดาวคิดเพียงแต่ว่าตัวเองจะหวั่น ไหวมากน้อยแค่ไหนกับการพบกันคราวนี้ พยายามไม่คิดถึงเรื่องเมื่อวันก่อนแต่มันก็โมโหไม่หายอยู่ดี
    “ฮึ...เจ้าชู้ยักษ์จนได้เรื่องแล้วยังมีหน้ามาพูดดีอีก...แบบนี้มันน่านัก”
    “ถ้าจะด่าพี่ก็ว่ามาดังๆเลยก็ได้ ไม่เห็นต้องมองค้อนทำปากขมุบขมิบเลย” เขาพูดลอยๆขณะจ้องมองไปยังถนนเบื้องหน้า
    “น้องพลูไม่ได้ว่าพี่ชลซะหน่อย รีบไปเสียที...รีบกินจะได้รีบกลับ น้องพลูมีการบ้านเยอะแยะที่ต้องทำนะ” คนนั่งข้างๆว่าฉอดๆที่โดนรู้ทัน สารถีหนุ่มเพียงแค่ยิ้มที่มุมปากแกล้งพึมพำเบาๆแต่ให้ได้ยินด้วยกันว่า
    “พาลเก่งที่หนึ่ง เอาแต่ใจเป็นเลิศ ดื้อไม่มีใครเทียบติด”
    “น้องพลูไม่ได้เป็นแบบนั้นซะหน่อย พี่ชลนั่นแหละชอบบังคับทางอ้อม”
    “อ้าว...พี่ทำแบบนั้นตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย?”
    “ก็ที่ทำอยู่นี่ไงล่ะ”
    “แล้วกัน...พี่ว่าบอกน้องพลูดีๆแล้วนี่นา ถ้าบังคับจริงคงไม่แค่พาขึ้นรถไปกินข้าวแล้วกลับบ้านหรอก...ต้องทำอย่างอื่นแถมด้วย” คนพูดหันมาทำตาพราวหน้าทะเล้นต่างกับตอนที่ยืนเก๊กท่าอยู่ในมหาวิทยาลัยลิบลับ แทนดาวตบหน้าผากตัวเองฉาด หลงกลคนหน้านิ่งอีกแล้วจนได้...
    “โอ๊ย!...” ชลธีร้องลั่นเอามือขวาลูบแขนซ้ายตัวเองป้อยๆหลังถูกลูกแมวสาวหยิกแถมข่วน
    “พี่ชลเจ้าเล่ห์! สมควรแล้ว...รู้นะว่าเมื่อกี้แกล้งทำเสียงดุ ตาขวาง ขู่ให้น้องพลูกลัว จะได้ไม่กล้าขัดคำสั่งใช่มั้ยล่ะ?” คนตัวเล็กว่าเสียงเขียว
    “เอ๊ะ!...แล้วตกลงพี่ทำอะไรกันแน่เนี่ย  เป็นมายังไงก็รายงานทุกอย่าง แล้วไอ้ที่ว่าทำเสียงดุตาขวางนี่ บอกตรงๆว่าเปล่าเลย...น้องพลูคิดไปเองหรือเปล่า? พี่ก็แค่ไม่อยากยิ้มตอบสาวๆที่เดินผ่านไปมา เดี๋ยวน้องพลูเห็นเข้าก็จะหาว่าเจ้าชู้อีกแล้วก็มาโกรธ...มางอนพี่ล่ะ คิดดูดีๆนะครับ...คนที่ถูกกระทำเป็นใครกันแน่...” เขาเหลือบคนข้างๆนิดหนึ่ง พอเห็นว่ายังทำหน้างอก็พูดต่อด้วยน้ำเสียงที่จงใจให้ฟังดูน่าเวทนามากที่สุด
    “ดูเถอะ...อุตส่าห์หาไฟลท์รีบกลับมาทั้งๆที่งานทางโน้นก็ยังไม่จบ ข้าวเช้า ข้าวเที่ยงก็ไม่ได้แตะ ดีนะที่แวะเข้าบ้านน้องพลูเจอป้าทิพย์ใจดีใจชงกาแฟมาให้ พอมาถึงก็เจอหน้าหงิกๆของใครไม่รู้ หนำซ้ำยังโดนหยิกด้วย เฮ้อ...เกิดเป็นไอ้ชลนี่ลำบากแท้ๆ” คนเจ้าเล่ห์สาธยายความอานาถาของตัวเองเป็นฉากๆ
    “ก็ใครใช้ให้มาเล่า...ฮึ่ย! แอบเข้าไปหาคุณแม่เพื่อให้น้องพลูหมดทางปฏิเสธใช่มั้ยล่ะ?” คนจนตรอกผินหลังให้ ไม่ไยดีกับสีหน้าใสซื่อแบบเสแสร้งของคนข้างๆ
    “เอาล่ะสิ...งอนตุ๊บป่องขึ้นมาอีกล่ะ เฮ้อ...จะให้ผมง้อยังไงดีละครับ?  คุณแทนดาวคนสวย” เขาลากเสียงยาวขณะเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทางออกไปเส้นเลียบทางด่วน
    “ไม่ต้องทำอะไรทั้งนั้น คอยดูนะ...จะฟ้องพี่หมาก” คนตัวเล็กหยิบยกพี่ชายขึ้นมาเป็นโล่กำบังอีกตามเคย ชลธีหัวเราะ
    “อะไรๆก็ฟ้องพี่หมาก ดูซิว่าถ้าแต่งงานกันแล้วจะไปฟ้องใคร?” คราวนี้ต่างคนต่างเงียบ
    แทนดาวรู้สึกใจกระตุกกับคำว่า ‘แต่งงาน’ หล่อนจะยังมีสิทธิ์คิดเรื่องนี้อยู่อีกหรือเปล่า? ในเมื่อคนที่มีสิทธิ์อย่างแท้จริงประกาศตัวเสียชัดเจนขนาดนั้น ฉับพลัน...มโนภาพที่เห็นทั้งคู่แนบชิดในค่ำคืนนั้นก็ปรากฏจนไปสะกิดอารมณ์คับแค้นที่อัดอั้นอยู่ในอก หึง…หวง…หรือว่าเป็นอะไรกันแน่?
    “ทะเลาะกับแป๊บๆก็ถึงพอดี เอาล่ะ...สงบศึกกันก่อนนะครับ” ชลธีทำลายความเงียบเมื่อรถจอดสนิทภายในร้านอาหารแห่งหนึ่ง
    “ดื่มน้ำอะไรก่อนดีครับ?...พี่จะสั่งให้” เขาถามอย่างเอาใจ
    “อะไรก็ได้!” คำตอบสั้นๆห้วนๆนั้นไม่ได้ทำให้คนถามรำคาญกลับนึกสนุกด้วยซ้ำไป
    “ที่นี่ไม่น่าจะมีน้ำ ‘อะไรก็ได้’ พี่ก็ไม่เคยกินเหมือนกัน เอาเป็นว่าน้ำส้มค้นกับน้ำเปล่านะน้อง น้ำส้มนี่ขอเย็นๆ อุณหภูมิติดลบเลยนะ แฟนพี่เขาเป็น ‘ร้อนใน’ แล้วถ้าไม่ลำบากเกินไปวันหลังก็ช่วยเพิ่มเมนู ‘น้ำอะไรก็ได้’ ลงไปด้วยล่ะ” เขาสั่งบริกรวัยรุ่นด้วยน้ำเสียงจริงจัง แทนดาวหน้าตึงเพราะเห็นบริกรคนนั้นจดออร์เดอร์ยิกๆด้วยอาการกลั้นหัวเราะสุดฤทธิ์
    “จำไว้เลยนะ” คนถูกแกล้งกล่าวอาฆาต
    “ครับ” เขารับคำกวนๆ
    “พี่ชลจะหาเรื่องกันใช่มั้ย?” คนฝั่งตรงข้ามแหวขึ้น เกลียดนักกับไอ้มุขกวนประสาทหน้าตายนั่น
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่