รักษาศีลต้องมีปัญญา

กระทู้สนทนา
รักษาศีลต้องมีปัญญา

บทความนี้จะขอแนะเคล็ดลับในการรักษาศีล  สำหรับผู้ที่เห็นว่าจะรักษาศีลยากหรือรักษาไม่ได้สำหรับตน  แต่ผู้ที่รักษาศีลได้เป็นปกติอยู่แล้ว  ก็ไม่จำเป็นจะต้องอ่านอยู่แล้ว

            ก่อนที่จะเข้าสู่เคล็ดลับในการรักษาศีล  ก็ใคร่จะขอเขียนถึงปัญหาที่ว่า  มีความจำเป็นหรือไม่ที่เราจะต้องสมาทานศีล หรือตั้งใจรับศีลไว้ล่วงหน้าก่อน ?  จะรอเอาไว้งดเว้นเมื่อมีเหตุการณ์ที่จะต้องให้ละเมิดศีล หรือล่วงศีลในขณะนั้นๆ เลยดีไหม ?  ก็ขอบอกก่อนว่า  ไม่ดี  และไม่ดีแน่ๆ  ด้วยเหตุผลดังนี้  

            ก่อนอื่นเราต้องทราบก่อนว่า  การรักษาศีลนั้น  ทำได้ ๓ วิธี คือ

๑. ตั้งใจรักษาไว้ก่อน ที่เรียกว่า  สมาทานวิรัติ
๒. ตั้งใจงดเว้นเฉพาะหน้า ที่เรียกว่า  สัมปัตตวิรัติ
๓. มีศีลอยู่เป็นปกติ ที่เรียกว่า  สมุทเฉทวิรัติ

    วิธีที่ ๑.  การงดเว้นหรือรักษาศีลไว้ก่อนนั้น  เหมือนกับการที่เรามีเกราะป้องกันตัวไว้แล้วอย่างดี  เป็นที่สบายใจทั้งตนเองและผู้อื่น

    วิธีที่ ๒.  การตั้งใจงดเว้นเมื่อมีเหตุการณ์เกิดขึ้นเฉพาะหน้า  ข้อนี้ค่อนข้างจะเสี่ยงเอามากๆ เพราะธรรมชาติจิตของคนเรานั้นมักเปลี่ยนแปลงได้รวดเร็วมาก ยกตัวอย่าง  เช่น

    ตามปกติบางคนอาจคิดว่า ถ้าเราพบเห็นคนที่เป็นศัตรูกัน เราจะไม่ทำร้ายหรือฆ่าเขา แต่เมื่อพบกันเข้าจริงๆ เขายั่วหรือด่าด้วยถ้อยคำรุนแรง เราอาจจะเผลอใจทำร้ายหรือฆ่าเขาก็ได้  

            เห็นของใครทำลืมไว้ ถ้าเป็นของเล็กน้อยเราอาจไม่เอา แต่ถ้าเป็นของที่เราชอบหรือมีราคา ชนิดที่ลักทีเดียวก็รวยไปตลอดชาติ เราอาจจะเปลี่ยนใจเป็นลักก็ได้

    โดยปกติเรามีเมียแล้ว ไม่เคยคิดนอกใจ แต่ถ้าเกิดไปพบอีหนูเอ๊าะๆ และอวบๆ แถมเด็กมันก็ยั่วยวนกวนตัณหาเสียด้วย และอยู่ในสถานที่อำนวยให้ประกอบกามกิจได้  มันก็บ่แน่เหมือนกันนานาย !

    โดยปกติเราไม่กินเหล้า  แต่เมื่อพบเพื่อนกำลังกินอยู่และเชื้อเชิญแกมบังคับ เราก็อาจจะกินได้โดยง่าย

    แต่ถ้าเราสมาทานศีลไว้ก่อน  เราก็จะเตือนสติตนเองอยู่เสมอๆ ว่า  อย่าดีกว่าเดี๋ยวศีลขาดๆ  แต่ถ้าเราไม่มี
เจตนางดเว้นไว้ก่อน  กิเลสตัณหามันก็อาจจะเข้าข้างเราว่า ไม่เป็นไรหรอกน่า ก็เราไม่ได้รักษาศีลนี่นา  จะเอาศีลที่ไหนมาขาดกันเล่า ?

    วิธีที่ ๓.  ท่านว่าเป็นการรักษาศีลของพระอรหันต์ คือ พระอรหันต์ท่านหมดกิเลส  ท่านจึงมีศีลโดยไม่ต้องรักษาอยู่แล้ว

    เอ้า !  มาว่าถึงคนที่เห็นว่าศีลรักษายากกันต่อไป
    
    สำหรับผู้ที่เห็นว่า  ไม่มีความจำเป็นในการรักษาศีล  ก็แล้วกันไปไม่ต้องไปสนใจเขาหรอก  แต่ที่เขียนนี้ก็เห็นว่า ยังมีคนอีกเป็นอันมากที่อยากจะรักษาศีล  แต่เห็นว่ามันรักษายาก  ก็เลยไม่สนใจที่จะรักษา  คนที่ว่านี้เป็นคนจิตใจ
อ่อนแอและอ่อนปัญญาด้วยน่าสงสารมาก  อยากได้ดีแต่ไม่อยากทำดี  ก็เลยมีความจำเป็นที่จะต้องใช้อุบายหรือปัญญามาช่วย ให้มันง่ายหรือสะดวกขึ้นโดยมีขั้นตอน  ดังนี้

    ๑. รักษาศีลเป็นคราวๆ  คือ  โดยปกติเราคิดว่ารักษาไม่ได้หรือไม่อยากจะรักษาก็ตามที  แต่ในโอกาสพิเศษต่างๆ  เช่น  ในวันเกิดครบรอบปี หรือรอบสัปดาห์  เราก็หัดรักษามันเสียสัก ๑ วัน  หรือไปในงานพิธีต่างๆ ที่เขามีการให้ศีลกัน (ศีล ๕) เราก็รับเอามาเฉพาะวันนั้นเสียสักวัน หรือครึ่งค่อนวันก็ยังดีเพื่อสร้างความเคยชิน  ทำบ่อยๆ เข้า มันก็จะเกิดความเคยชินไปเอง  หรือในคราววันสำคัญทางศาสนา  เช่น  มาฆบูชา วิสาขบูชา และอาสาฬหบูชา  เป็นต้น  ก็เอากะเขาเสีย ๑ วัน  มันก็จะทำได้ไม่ยาก เพราะงานประจำวัน (ราชการ) ก็หยุดให้ด้วย

    ๒. รักษาศีลเป็นข้อๆ  คือ  ถ้าเห็นว่าจะรักษากันทีเดียวหมดทั้ง ๕ ข้อ มันเกินสติปัญญานัก ก็หัดมารักษาศีล
เป็นข้อๆ  ข้อไหนที่เราเห็นว่ามันรักษาได้ง่าย และสะดวกที่สุดก็ให้สมาทานเป็น  “นิจศีล”  คือ เป็นศีลปกติไปเสียเลย
ก่อน  ส่วนข้อที่เราเห็นว่ามันทำค่อนข้างยาก  ก็ยกยอดเอาไปเผด็จศึกหรือเผด็จการกันเป็นคราวๆ ไปเหมือนข้อ ๑
ถ้าเราหัดเผด็จการกับมันบ่อยๆ  มันก็จะคุ้นเคยและง่ายไปในที่สุด

    ขอให้มั่นใจเถิดว่า ศีล ๕ นี้  รักษาได้ไม่ยากเลย  มันไปยากเอาที่เราไม่อยากจะรักษา  ปัญหามันอยู่ที่ความ
ขี้เกียจและคิดเข้าข้างตนเอง (เพราะอ่อนปัญญา) ว่า  เราก็ไม่ได้ไปทำให้ใครเขาเดือดร้อนอยู่แล้ว  จะต้องไปรักษาศีลมันให้ลำบากไปทำไมอีก ?  อยู่มันไปวันๆ ก็สบายดีอยู่แล้วนี่นา !  ถ้าใครขืนคิดอย่างนี้ ชาตินี้ทั้งชาติ ก็คงจะไม่ได้พัฒนาชีวิตให้ก้าวขึ้นไปสู่ความดีงามที่สูงยิ่งๆ ขึ้นไปได้อีกแล้ว  เคยมีอยู่แค่ไหน ก็แค่นั้น  พอมารู้สึกตัวก็แก่หงำเหงอะ เสียแล้ว  สังขารก็เสื่อมหมดแล้ว  จะอยู่ก็ไม่สบาย  จะไปก็ไม่รอด !

    ฉะนั้น  การรักษาศีลจึงควรจะต้องมีปัญญาเข้ามาร่วมด้วย  เพราะนอกจากจะทำให้ชีวิตมีการพัฒนาไปตาม
ขั้นตอนแล้ว  วิถีชีวิตประจำวันก็ยังจะเป็นโดยด้วยความราบรื่นชื่นใจทั้งแก่ตนเองและผู้อื่นอีกด้วย
    ขอให้ท่านมั่นใจตนเองเถิดว่า  ท่านเป็นคนพัฒนาขึ้น (ถ้ามี “ทมะ”) หรือไขลานเดิน ไม่มีอะไรยากหรือลำบากเลย  ถ้าเรามีความตั้งใจจริงและทำจริง  พร้อมทั้งมีอุบายหรือเคล็ดลับพอสมควร  ที่เหมาะสมกับสภาพชีวิตของเราแต่
ละคน



ที่มา  หนังสือ  ศีล
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่