" .. พระพุทธศาสนาสอนให้
"เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม"
ผู้ใดทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี
ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว คนอื่นจะรับแทนไม่ได้ ๑
สอนให้
"ทำทาน" การสละสิ่งของของตนให้แก่สัตว์อื่นแลบุคคลอื่น
ด้วยจิตเมตตาปรารถนาความสุขแก่บุคคลอื่น
ถึงวัตถุที่ให้นั้นจะเป็นของน้อยนิดเดียวก็ดี
หากมากด้วยจิตเมตตาของก็จะเป็นของมากเอง ๑
สอนให้
"รักษาศีล" ด้วยจิตวิรัติเจตนางดเว้นตัวเดียว
โดยมี "หิริ-โอตตัปปะเป็นมูลฐาน" จะเป็นศีล ๕-๘-๑๐-๒๒๗ ก็ตาม
ถ้ามี "จิตวิรัติเจตนางดเว้นตัวเดียว" โดยมีหิริ-โอตตัปปะเป็นมูลฐานแล้ว
เป็นอันถึงที่สุดของการรักษาศีลได้ทั้งนั้น ๑
"สมาธิ" สอนให้เห็นโทษของอารมณ์ที่เกิดมาอายตนะ ๖
ซึ่งมันแส่ส่ายไปยังโลกธรรมทั้งแปด เป็นทุกข์เดือดร้อน ไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วย่อมสละปล่อยวาง แล้วย้อนเข้ามาอยู่ที่จิตแห่งเดียว ๑
"ปัญญา" สอนให้ค้นคว้าสิ่งทั้งหมดที่มาปรากฏอยู่ที่จิต
ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีให้เห็นเป็นแต่เกิดจากปัจจัย
เมื่อปัจจัยในสิ่งนั้น ๆ ดับไปแล้ว สิ่งเหล่านั้น ๆ ก็ดับไปหมด
จะเหลืออยู่แต่ธรรมสิ่งเดียว ๑
ผู้มาพิจารณาเห็นชัดแจ้งด้วยใจของตนเองอย่างนี้แล้ว
ผู้นั้นปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาอันนี้ไม่มีการเสื่อม
และไม่หลงงมงายในสิ่งที่ไร้สาระ เข้าถึงธรรมอันแท้จริง
จะเรียกผู้นั้นว่า "อริยบุคคลหรืออะไรก็แล้วแต่"
เพราะ
"ปฏิบัติธรรมเข้าถึงที่สุด คือ ใจ" แล้วสิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง .. "
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง
๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๙
ถึงโลก ถึงธรรม (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
" .. พระพุทธศาสนาสอนให้ "เชื่อกรรม เชื่อผลของกรรม"
ผู้ใดทำกรรมดีย่อมได้รับผลของกรรมดี
ผู้ทำกรรมชั่วย่อมได้รับผลของกรรมชั่ว คนอื่นจะรับแทนไม่ได้ ๑
สอนให้ "ทำทาน" การสละสิ่งของของตนให้แก่สัตว์อื่นแลบุคคลอื่น
ด้วยจิตเมตตาปรารถนาความสุขแก่บุคคลอื่น
ถึงวัตถุที่ให้นั้นจะเป็นของน้อยนิดเดียวก็ดี
หากมากด้วยจิตเมตตาของก็จะเป็นของมากเอง ๑
สอนให้ "รักษาศีล" ด้วยจิตวิรัติเจตนางดเว้นตัวเดียว
โดยมี "หิริ-โอตตัปปะเป็นมูลฐาน" จะเป็นศีล ๕-๘-๑๐-๒๒๗ ก็ตาม
ถ้ามี "จิตวิรัติเจตนางดเว้นตัวเดียว" โดยมีหิริ-โอตตัปปะเป็นมูลฐานแล้ว
เป็นอันถึงที่สุดของการรักษาศีลได้ทั้งนั้น ๑
"สมาธิ" สอนให้เห็นโทษของอารมณ์ที่เกิดมาอายตนะ ๖
ซึ่งมันแส่ส่ายไปยังโลกธรรมทั้งแปด เป็นทุกข์เดือดร้อน ไม่มีที่สิ้นสุด
แล้วย่อมสละปล่อยวาง แล้วย้อนเข้ามาอยู่ที่จิตแห่งเดียว ๑
"ปัญญา" สอนให้ค้นคว้าสิ่งทั้งหมดที่มาปรากฏอยู่ที่จิต
ทั้งสิ่งที่ดีและไม่ดีให้เห็นเป็นแต่เกิดจากปัจจัย
เมื่อปัจจัยในสิ่งนั้น ๆ ดับไปแล้ว สิ่งเหล่านั้น ๆ ก็ดับไปหมด
จะเหลืออยู่แต่ธรรมสิ่งเดียว ๑
ผู้มาพิจารณาเห็นชัดแจ้งด้วยใจของตนเองอย่างนี้แล้ว
ผู้นั้นปฏิบัติธรรมในพระพุทธศาสนาอันนี้ไม่มีการเสื่อม
และไม่หลงงมงายในสิ่งที่ไร้สาระ เข้าถึงธรรมอันแท้จริง
จะเรียกผู้นั้นว่า "อริยบุคคลหรืออะไรก็แล้วแต่"
เพราะ "ปฏิบัติธรรมเข้าถึงที่สุด คือ ใจ" แล้วสิ้นสงสัยในธรรมทั้งปวง .. "
หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี วัดหินหมากเป้ง
๑๗ ตุลาคม ๒๕๒๙