Aleksandra Samusenko เกิดในปี 1922/2465
เป็นสมาชิกกองกำลังติดอาวุธโซเวียตรัสเซีย
ตำแหน่งพลทหารราบติดตามรถถัง
ในการสู้รบที่ Winter War ใน Finland
ในช่วงสงคราม Great Patriotic War
ก่อนที่จะจบการศึกษาที่สถาบันรถถัง
Samusenko ได้รับเหรียญกล้าหาญ Order of the Red Star
จากการมีชัยทำลายรถถัง German Tiger I ได้จำนวน 3 คัน

เธอมีชื่อเสียงมากในช่วงตอนปลายสงครามโลกครั้งที่ 2
ในฐานะที่เป็นนายทหารหญิงเพียงคนเดียว
ในกองพันรถถังรักษาดินแดนที่ 1 (1st Guards Tank Army)
Samusenko มีบทบาทมากในช่วงสงคราม Battle of Kursk
ทำให้เธอได้รับเหรียญกล้าหาญ Order of the Red Star
จากการที่ผู้บัญชาการกองพันปฏิบัติหน้าที่ไม่ได้
Samusenko จึงเข้าทำหน้าที่บังคับบัญชาการแทน
แล้วนำทัพฝ่าวงล้อมศัตรูที่ซุ่มโจมตีออกมาได้
เธอทำหน้าที่ผู้บัญชาการกองพันรถถังช่วงปี 1943-1944

Samusenko เสียชีวิตจากอุบัติเหตุในหมู่บ้าน
Zülzefirz (70 กิโลเมตรจาก Berlin) ในเยอรมันนี
ในแนวเขตป้องกัน East Pomeranian Offensive
มีรายงานข่าวการเสียชีวิตของเธอว่า
Samusenko เสียชีวิตช่วง Soviet โจมตี Berlin
หลังจากรถถัง Soviet หลงทางท่ามกลางความมืด
เธอเลยปีนออกจากรถถังไปยืนบนสนามรบ
เพื่อค้นหาและสำรวจเส้นทางรบใหม่อีกครั้ง
เกิดพลาดท่าถูกตีนตะขาบรถถังคันหนึ่ง
เหยียบร่างเธอจนเสียชีวิตใต้ล้อรถถัง
เพราะพลขับมองไม่เห็นว่ามีใครอยู่ในบริเวณนั้น
ศพของเธอถูกฝังที่ Lobez ใน Poland
ใกล้กับอนุสาวรีย์กษัตริย์ William I

Pyotr Demidov ทหารผ่านศึกสงครามโลกครั้งที่ 2
คือผู้ให้ข้อมูลเกี่ยวกับสาเหตุการตายของเธอ

---

Samusenko สนิทสนมกับทหารอเมริกัน
นายสิบเอก (Sergeant) Joseph Beyrle
ผู้แหกค่ายกักกันเชลยศึก Stalag III-C POW ใน Alt Drewitz
ได้สำเร็จในช่วงต้นเดือนมกราคม 1945/2488
Joseph Beyrle เป็นทหารอเมริกันที่ทำงานให้ทั้งสหรัฐกับรัสเซียในช่วงนั้น
ได้รับอนุมัติให้เดินทัพเคียงข้าง Samusenko ร่วมรบไปจนถึง Berlin

Joseph Beryl ได้เล่าเกี่ยวกับ Samusenko ว่า
เธอสูญเสียสามีกับครอบครัวไปในช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2
เธอยังมีคนรักชายอีกคนชื่อ Mindlin (ไม่มีประวัติ/รูปถ่าย)
คนที่ทำให้เธอยอมหยุดสูบบุหรี่และหยุดดื่มเหล้าเพื่อคนรัก
เธอ คือ วีรสตรีของโซเวียตในเรื่องความกล้าหาญและความอดทน

---

ในปี 1975/2518 นักเขียนชาวรัสเซีย Y.A. Zhukov
ได้เขียนเกี่ยวกับเรื่องราวของ Samusenko
ว่าเธอผ่านสนามรบที่ Spanish Civil War กับ Winter War
ตามที่ Garin ได้บอกเล่าข่าวลือใน Tsvety na tankakh
ตามที่ได้ยินมาจากปากของทหารผ่านศึก Balandin
เรื่องที่ Samusenko ผ่านสนามรบใน Spain มาก่อน

" Huesca... ¡ No pasarán !"
" ผมเคยร่วมรบกับคุณที่ Huesca (พร้อมตะโกนคำขวัญ) ฝ่าข้ามไม่ได้ "
Balandin ทหารปืนกลที่ Kolka เจอหน้าเธอแล้วสอบถาม

" ฉันจำเธอไม่ได้ " Samusenko ตอบ

( Huesca เมืองที่ทั้งสองฝ่ายสู้รบกันหนักมาก
No pasarán (ห้ามผ่าน) ฝ่าข้ามไม่ได้
เป็นสโลแกนที่ฝ่ายซ้ายใช้กัน
ในการทำสงครามกลางเมืองที่สเปน
ตอบโต้ฝ่ายขวาที่ใช้สโลแกน
Hemos pasado เราฝ่าข้ามได้ )

Zhukov ได้สอบถามความจำของ Garin ถึงเรื่องนี้ว่า

" ทำไม Samusenko จึงไม่ยอมรับเรื่องการผ่านศึกในสเปน
ทราบแต่ว่า Balandin บอกว่าไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม
แต่น่าจะมีเหตุผลอื่น ๆ อีกมากมาย
ที่หลายต่อหลายคนไม่อยากพูดถึงเรื่องเคยไปรบที่สเปน "
Garin ตอบคำถามเรื่องนี้

แต่เรื่องการผ่านศึกของ Samusenko ที่สเปนนี้
Mandlin คนรักของ Samusenko กล่าวว่า
" เธอไม่เคยไปที่นั่น "

---

เรื่องเล่าไร้สาระ

สงครามกลางเมืองสเปญเป็นสงครามอัปลักษณ์ที่สุดของยุโรป
ฝ่ายซ้ายที่นิยมลัทธิคอมมิวนิสต์ มี รัสเซีย เม็กซิโก ฝรั่งเศส
อังกฤษ และสหรัฐอเมริกา ให้การสนับสนุน
ต้องพ่ายแพ้อย่างย่อยยับให้กับฝ่ายขวาที่นิยมลัทธิเผด็จการ
ที่มี เยอรมันนี อิตาลี โปรตุเกส ให้การสนับสนุน
ทั้งสองฝ่ายต่างอ้างถึงความเป็นระบอบประชาธิปไตย

จนในที่สุดผู้นำเผด็จการ Francisco Franco
มีชัยชนะเด็ดขาดในการทำสงครามที่ใช้ความรุนแรง
ประหารชีวิต จับกุมคุมขัง ทรมาน ฝ่ายตรงข้ามตามแบบพวกบ้าอำนาจ
จนได้ครองอำนาจปกครองสเปนยาวนานถึง 39 ปี
ตั้งแต่ 1 ตุลาคม 1936/2479 ถึง 20 พฤศจิกายน 1975/2518
และทำให้ต่อมา สเปญ คือ แหล่งลี้ภัย/หลับภัยของพวกนาซีเยอรมัน
ก่อนที่จะเดินทางหลบหนีไปที่ละตินอเมริกาในภายหลัง

สงครามกลางเมืองสเปนกลายเป็นรอยแผลร้าวลึกภายในชาติ
การฆ่าฟันกันภายในทั้งสองฝ่ายที่นิยมลัทธิต่างกันอย่างสุดขั้ว
ชาวบ้านร่วมชาติเดียวกันต่างแบ่งฝักแบ่งฝ่ายต้องรบฆ่าฟันกันเอง
โดยการหนุนหลังจากชาติต่าง ๆ ที่เลื่อมใสลัทธิอุดมการณ์
เป็นสงครามที่ต่างฝ่ายต่างจำไม่ได้ แต่ลืมไม่ลง
จนทุกวันนี้ หนี้แค้นของหลายฝ่ายยังรู้สึกว่ายังชำระกันไม่เสร็จสิ้น
เช่น ชาว Catania ชาว Basque ต่างไม่ยอมรับว่าตนเป็นคนชาติ Spain

Pablo Picasso ศิลปินที่นิยมฝ่ายซ้ายยังต้องลี้ภัยไปอยู่ปารีส์ตลอดชีวิต
เพราะเกลียดชังผู้นำเผด็จการชาติตนที่ตายยากตายเย็น
นักคิดนักเขียนฝ่ายซ้ายในฝรั่งเศสต่างได้รับอิทธิพลจากสงครามครั้งนี้
พร้อม ๆ กับผ่านช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 กับสงครามอัลจีเรีย
นำไปสู่แนวคิดปรัชญาแบบ Existentialism อัติภาวะนิยม
ที่มีนักเขียนหลัก ๆ เช่น Jean Paul Sartre ผู้ปฏิเสธรางวัล Noble
Gabriel Marcel และ Albert Camus เจ้าของวาทะกรรม

" ผมไม่มีศาสนา ลัทธิ อุดมการณ์แต่อย่างใด
เพราะผมเห็นผู้คนที่เชื่อมั่นในสิ่งเหล่านี้
ฆ่ากันตายมานักต่อนักแล้ว
เพื่อพิสูจน์ยืนยันความเชื่อของตนเอง "

ข้อมูล ปรัชญาอัติภาวะนิยม
 

---

เรื่องสงครามกลางเมืองสเปน
มีนวนิยายที่ขายดีติดลำดับ
ของ เออร์เนสต์ เฮ็มมิงเวย์
อดีตสายลับรัสเซียลำดับ ที่ 16
สายลับ สายลับ สายลับ
เป็นผู้เขียน The Old Man And The Sea
ได้เขียนเรื่อง ศึกสเปญ For Whom the Bell Tolls
สามารถสืบค้นข้อมูลเพิ่มเติมได้จาก google

---

ข้อมูลที่น่าสนใจ

กองพันรถถังที่ 1 The 1st Tank Army
Soviet จัดตั้งขึ้นเป็นส่วนหนึ่งของกองทัพแดง Red Army
ด้านแนวหน้าตะวันออก Eastern Front ช่วง World War II
ได้ทำหน้าที่เป็นแนวหน้าป้องกันใน Battle of Stalingrad
กับยุทธการ Operation Uranus

กองพันรถถังที่ 1 The 1st Tank Army (1st formation)
ปฏิบัติยุทธการในแนวหน้า Stalingrad Front
ตามยุทธวิธีของกองทัพที่ 38 (38th Army)
ช่วงเดือนกรกฏาคม 1942/2485
ก่อนมีคำสั่งให้ยุบกองพันนี้ในเดือนสิงหาคม 1942/2485
เพราะกำลังพลกับรถถังสูญเสียไปเป็นจำนวนมาก

กองพันรถถังที่ 2 The 2nd formation
ถูกจัดตั้งขึ้นมาทดแทนในวันที่ 30 มกราคม 1943/2486
โดยกองบัญชาการกลางกองทัพบกที่ 29 (HQ 29th Army)
มี Mikhail Katukov ผู้บัญชาการกองทัพรถถังที่มีชื่อเสียงมาก
ได้รับการแต่งตั้งเป็นการเฉพาะเจาะจงโดย Stalin
แล้วย้ายไปประจำการที่แนวหน้า North-Western Front
โดยมีรถถังประจำการรบราว 500-800 คัน

กองพันรถถังรักษาดินแดนที่ 1
(The 1st Guards Tank Army)
ได้รับรางวัล Order of the Red Banner
หลังสิ้นสุดสงครามโลกครั้งที่ 2
เป็นแนวหน้าในการยึดครองเยอรมันของโซเวียต
ในนาม Group of Soviet Forces ในเยอรมันนี
โดยมีกองบัญชาการอยู่ที่ Dresden เยอรมันนี

เรียบเรียง/ที่มา

http://goo.gl/sqEDld
http://goo.gl/IFMNqP
https://goo.gl/IfIQOY

---

---

---

---

---

---