⚡
⚡
Ultimate weapon of WWI: Russian women’s battalions of death
⚡
⚡
⚡
100 ปีก่อน กองทหารหญิงรัสเซียนำโดย Maria Bochkareva
ได้เข้าร่วมรบในแนวหน้าสงครามโลกครั้งที่ 1
และมีทหารหญิงอย่างน้อย 70 นายที่เสียชีวิต
จากการสู้รบกับกองทัพเยอรมันนี
Maria Bochkareva เกิดในครอบครัวชาวนา
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช(พระเจ้าซาร์) ในปี 1889
ท่ามกลางชีวิตที่ลำบากยากแค้นต้องตรากตรำงานหนัก
และไร้สิทธิ์ไร้เสียงตามประเพณีชาวนาดั้งเดิม
Maria Bochkareva เริ่มต้นวัยเยาว์ด้วยความน่าสังเวช
เธอต้องทำงานหนักตั้งแต่วัย 8 ขวบ
ได้รับการโบยตีเป็นประจำทั้งจากพ่อเธอและสามีของเธอ
ทั้งนี้ยังไม่นับรวมผู้ชายอื่นที่หน้าเพศเมียชอบข่มแหงผู้หญิง
เธอเคยตกเป็นเหยื่อที่ถูกข่มขืนมาก่อนด้วย
สิ่งที่ทำให้ Bochkareva ยืนหยัดและโดดเด่นขึ้นมาคือ
เธอไม่ยอมรับมาตรฐานชีวิตผู้หญิงในแบบนี้อีกต่อไป
เมื่อสงครามระหว่างรัสเซียกับเยอรมันนีและออสเตรียฮังการี เริ่มต้นในปี 1914
เธอตัดสินใจละทิ้งอดีตทั้งหมดด้วยการไปสมัครเป็นทหาร
จะไร้ความสงบสุขในดินแดนมาตุภูมิรัสเซีย
ถ้ายังมีทหารเยอรมันนีอยู่บนดินแดนของเรา
ฉันต้องการขับไล่พวกมันออกไป
“ ฉันโกนผมทิ้งแล้วแต่งชุดผู้ชาย
พร้อมกับพกขนมปัง 2 ก้อนติดตัวไป
ฉันไม่รู้หนังสือเลยแม้แต่สักตัวเดียว
ฉันแอบใช้หนังสือเดินทางของแม่
เพราะฉันไม่มีหนังสือเดินทางส่วนตัวเลย "
ในยุคนั้นการเดินทางไปไหนมาไหน
ต้องมีหนังสือเดินทางจากทางการเท่านั้น
ตามงานเขียนบันทึกความทรงจำของ Isaac Don Levine
นักข่าวอเมริกันที่เขียนอ่านได้สองภาษาในปี 1918
ในตอนสมัครครั้งแรก
เธอได้รับการปฏิเสธจากกองทัพจักรพรรดิ์
เพราะเธอเป็นผู้หญิงและแนะนำว่า
ให้เธอไปเป็นพวกพยาบาลจะดีกว่า
คำแนะนำให้เป็นพยาบาลในแนวหลัง
พอซะที กับการกดขี่ทางเพศและการถูกข่มขืนในชีวิตฉัน
ฉันต้องการเป็นทหารในแนวหน้า
แต่ Maria ยังไม่หมดความหวัง
เธอได้ส่งโทรเลขด่วนไปยังพระเจ้าซาร์ Tsar Nicholas II
และแล้วทุกคนต่างประหลาดใจอย่างมาก
เพราะมีพระบัญชาจากจักรพรรดิ์ให้เธอเข้าร่วมรบและเป็นพลทหาร
ในเดือนพฤศจิกายน 1914
เธอเข้าร่วมในกองพลที่ 25 Tomsk Reserve Battalion ของจักรพรรดิ์รัสเซีย
และผลการสู้รบของเธอได้รับการยอมรับจากเพื่อนทหารด้วยกัน
" ในช่วง 2-3 วันแรก ฉันถูกหัวเราะเพราะเป็นผู้หญิง
ฉันรู้สึกไม่พอใจกับนายทหารผู้บัญชาการรบ
เพราะเขาต้องการให้ฉันลาออกไปซะ "
ในช่วงแรก ๆ พวกทหารชายมักจะหยาบคายกับเธอ
แต่เธอก็ไม่ยอมก้มหัวให้กับพวกมันและเธอเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเธอก็ได้รับการยอมรับและมีสัมพันธภาพที่ถูกต้องระหว่างกัน
หลังการฝึก เธอถูกส่งไปแนวหน้าในปี 1915
ในการรบครั้งแรกเธอลอบคลานเข้าไปในเขต No Man's land
และช่วยเหลือทหารบาดเจ็บหลายสิบนาย
ทำให้เธอได้รับเหรียญกล้าหาญ
" NML: พื้นที่ระหว่างแนวคูรบของทหารทั้งสองฝ่าย
ไม่มีใครกล้าก้าวข้ามไปเพราะกลัวการถูกยิงหรือโจมตี
คืนนั้น ฉันมีประสบการณ์ครั้งแรกกับ No Man's Land
ได้ช่วยชีวิตทหาร 50 คนให้คลานออกมาจากพื้นที่นี้
และพาคนบาดเจ็บกลับมาที่สนามเพลาะของเรา
ทหารรัสเซีย ไม่เคยชินกับการหายใจไม่ออก
ในคืนแรกที่ฉันสู้รบ เราถูกแก๊สพิษเยอรมันนีโจมตี
หน้ากากของเรากันไม่อยู่ มันไม่สมบูรณ์เอาซะเลย
ทหารรัสเซียได้เรียกชื่อเล่นของฉันว่า
Yashka
ฉันเคยไปเที่ยวซ่องกับพวกผู้ชาย
พวกผู้หญิงที่ทำงานที่นั่นกอดจูบฉันตลอดตอนเย็น
โดยไม่รู้เลยว่าฉันเป็นผู้หญิง
ต่อมา เธอถูกยิงที่ขาได้รับบาดเจ็บ
หลังรักษาหายดีแล้ว เธอขอกลับไปสู่แนวหน้าอีกครั้ง
และได้รับบาดเจ็บที่มือกับแขนอีก
เธอได้รับชื่อเสนอให้รับเหรียญกล้าหาญอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ถูกปฏิเสธเพราะเธอเป็นผู้หญิง
ในฤดูหนาวปี 1915
เธอรับผิดชอบเปลสนามรบจำนวน 12 เปล
ท่ามกลางการสู้รบอย่างรุนแรง
เพียงแค่ 2 สัปดาห์
เธอลากศพทหารรัสเซีย 500 นายออกจากสนามรบ
ทำให้เธอได้รับเหรียญกล้าหาญและเลื่อนยศเป็นสิบตรี
เธอยังอาสานำหน่วยจรยุทธจำนวน 30 นาย
ออกไปลาดตระเวณและสู้รบกับทหารเยอรมันนี
ในครั้งหนึ่งเธอเคยดวลดาบปลายปืนกับทหารเยอรมันนีรายหนึ่ง
ช่วงแรกกับช่วงปี 1918
เดือนมีนาคม ปี 1916
ขาข้างขวาของ Bochkareva ถูกยิงด้วยกระสุนปืน
หลังจากพักฟื้นแล้ว เธอขอกลับสู่แนวหน้าอีกครั้ง
แต่ 3 เดือนต่อมา ชิ้นส่วนกระดูกที่แตกมีผลกระทบกับไขสันหลังของเธอ
ทำให้เธอเดินไม่ได้เลย แต่เรื่องน่ามหัศจรรย์เธอกลับมาเดินได้อีกครั้ง
และขอกลับสู่แนวหน้าในอีก 6 เดือนต่อมา
พร้อมกับเหรียญกล้าหาญและได้เลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก
ในสงครามครั้งหนึ่ง
เธอถูกจับเป็นเชลยพร้อมกับทหารถึง 500 นาย
แต่หลบหนีออกมาได้หลังจากกองหนุนเสริมกำลังมาช่วย
ระหว่างการหลบหนี เธอฆ่าทหารเยอรมันนีจำนวน 10 นายด้วยลูกระเบิดมือ
ทำให้เธอได้รับเหรียญกล้าหาญ
กุมภาพันธ์ 1917 มีการปฏิวัติรัสเซีย/ล้มล้างระบอบจักรพรรดิ์
Alexander Kerensky รัฐมนตรีกระทรวงสงคราม War Minister
ได้ขอเชิญเธอเข้าพบพร้อมกับแนวคิดก่อตั้งกองทหารหญิงรัสเซียขึ้นเป็นครั้งแรก
เพราะผลการรบอย่างกล้าหาญของเธอ
และรัฐบาลเฉพาะกาลต้องการกดดันให้ทหารชายอายทหารหญิง
เธอได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยโท
พร้อมรับมอบปืนพกสั้นกับดาบนายทหารเคลือบทองคำ
" ฉันยังจำได้ว่า ความรับผิดชอบของรัสเซียตอนนี้เป็นภาระของเธอ
ไม่ใช่เพื่อพระเจ้าซาร์ นี่คือความหมายของคำว่า เสรีภาพ
ฤดูใบไม้ผลิ รัฐบาลพระเจ้าซาร์ถูกโค่นล้มลง
พวกทหารต่างรับรู้และกระปี้กระเป่ากับเสรีภาพ
แต่ต้องต้องขับไล่กองทัพจักรพรรดิ์ Kaiser ก่อนเป็นลำดับแรก
ฉันได้รับอนุญาตให้ปราศรัยที่โรงละคร Mariinsky Theatre
และเปิดรับสมัครกองทหารหญิง มีผู้หญิงจำนวน 1,500 คนที่เข้ามาคัดเลือก "
เริ่มวันที่ 8 มิถุนายน ฉันเดินนำผู้หญิงของฉัน
ทหารของฉันไปยังร้านตัดผมท้องถิ่นเพื่อโกนผมของพวกเธอ
นั่นคือสิ่งที่ฝูงชนมองเห็น
กองทัพหญิงกล้าตายของรัสเซียชุดแรก
มีจำนวนทหารหญิงถึง 2,000 คนในตอนแรก
แต่ลดลงเหลือเพียง 300 คนในภายหลัง
เพราะผลจากการฝึกที่เข้มงวดและเคร่งครัดของเธอ
" ขวัญและกำลังใจทหารชายของเราตกต่ำอย่างมาก
มันคือหน้าที่ของเราผู้หญิงที่จะต้องสู้รบ
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา
ฉันบอกกับทหารหญิงที่ได้รับการคัดเลือก "
ตู้บรรทุกขนส่งทหาร teplushka ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีเตียงนอน
ตอนออกไปสู่แนวหน้า บาทหลวงอวยพรให้ทหารเรา
สู้เพื่อพระเจ้าซาร์และดินแดนมาตุภูมิ
เราต่างลืมความสนใจของเราไปเลย
กองทหารเธอถูกส่งไปแนวหน้าที่ June Offensive ในปี 1917
ในระหว่างนั้น Bochkareva ได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยเอก
เมื่อพร้อมรบแล้ว กองทหารหญิงกล้าตาย Women's Battalion of Death
รุกคืบหน้านำหน้าทหารชายที่ตามหลังตลอดเวลา
หลังจากที่เห็นทหารหญิงรุกข้าม No Man's Land
ทำให้กระตุ้นทหารชายรุกรบตามไปด้วย
กองทหารหญิงรุกข้ามแนวกั้นทหารเยอรมันนีถึง 3 แนวก่อนจะถูกขับไล่
แต่ทหารชายรัสเซียที่อยู่แนวหลังกินเหล้าวอสก้าจนเมามายและช่วยได้เล็กน้อย
แม้ว่า กองทัพหญิงกล้าตาย Women's Battalion of Death จะถูกขับไล่กลับฐานที่มั่น
แต่ก็บาดเจ็บล้มตายจำนวนน้อยมาก ทั้งยังจับกุมเชลยศึกเยอรมันนีได้ถึง 200 นาย
กองทหารหญิงของเธอเคยสู้รบครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง
ใกล้กับเมือง Smarhon ใน Belarus
Bochkareva ได้รับบาดเจ็บอีกครั้งและถูกส่งตัวไปรักษาที่ Petrograd (St. Petersburg)
และได้เลื่อนยศเป็นพันโท
Bochkareva มีส่วนในการตั้งกองทหารหญิงมากกว่า 3 หน่วยในปี 1917
ก่อนที่เธอกลับไปแนวหน้าอีกครั้ง
ทหารมีสิทธิ์เพียงอย่างเดียวคือ ปฏิบัติตามคำสั่ง
พวกนักสู้ Bolshevik พยายามยึดกองทหารของฉัน
ด้วยการบอกพวกเธอว่า ทุกคนมีสิทธิ์
และต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการทหาร
" ฉันพยายามต่อสู้เรื่องนี้กับพวกแก้งค์ Bolshevik
แต่พวกมันผลักฉันล้มลงบนพื้นดิน
แล้วเตะเข้าที่ท้องจนกระทั่งทหารของฉันมาช่วยกันฉันออกไป
ไอ้พวกแก้งค์ Bolsheviks มีชัยเหนือฉัน
ด้วยสงครามปากที่ยุยง/พวกบ่างช่างยุ
ไอ้ Idiots ถ้าเราไม่ขับไล่พวกเยอรมันนีออกไป
เราจะต้องกลายเป็นทาสพวกมัน
กองทัพฉันมีส่วนร่วมรบ เพื่อมาตุภูมิรัสเซีย "
" เราเชื่อว่าการรุกของรัสเซียเข้าสู่ศักยภาพสูงสุดแล้ว
เราต้องรับมือกับการโจมตีครั้งแรก
และเรียนรู้กับการรุกแบบใหม่ " จักรพรรด์ Kaiser แห่งเยอรมันนี
ระหว่างอาหารมื้อค่ำที่ โรงแรม Astoria ฉันได้เรียนรู้ว่า
แม้จะเป็นทหารพิการต้องกลับไปรบในสงครามอีก
นั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับกองทัพของฉัน
ตุลาคม 1917
Lenin ผู้นำกลุ่ม Bolsheviks ได้ยึดกุมการนำพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย
ทำให้มีอำนาจเด็ดขาดและสั่งให้ล้มล้างรัฐบาลเฉพาะกาลลง
ทำให้ในเวลาต่อมา กองทหารรัสเซีย/กองทหารหญิงก็แตกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายแดง Reds(Bolsheviks) กับฝ่ายขาว Whites(anti-Bolsheviks)
ต่างสู้รบกันเองเพื่อการมีอำนาจ/ครอบครองรัสเซีย
เธอถูกจับโดยพวก Bolsheviks ฐานต่อต้านและถูกตัดสินประหารชีวิต
แต่สหายเก่าเพื่อนของเธอที่มีอิทธิพลในพรรคคอมมิวนิสต์
ได้ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงให้เธอก็ถูกเนรเทศออกไปจากรัสเซีย
Bochkareva ได้ลี้ภัยไปที่สหรัฐอเมริกา
ผ่านทาง Vladivostok ด้านตะวันออกของรัสเซีย
ที่สหรัฐอเมริกาเธอได้พบกับ Woodrow Wilson ประธานาธิบดี
ได้สนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ในทำเนียบขาว
และได้พบปะกับพวกสังคมชั้นสูง
เธอได้รับการเขียนบันทึกความทรงจำ
Yashka: My Life As Peasant, Exile, and Soldier
จากลูกชาวนาที่ไม่รู้หนังสือได้เป็นนายทหาร
ถูกเนรเทศ ได้พบกับนายพล ประธานาธิบดี และกษัตริย์
เธอเดินทางไปอังกฤษ ได้พบกับพระเจ้า George V
และกระทรวงสงครามอังกฤษได้สนับสนุนเงินทุนให้เธอกลับรัสเซีย
Emmeline Pankhurst มาเยี่ยมศูนย์ฝึกของเราบ่อยครั้ง
เธอแอบกลับมารัสเซียในปี 1919
เพื่อตั้งหน่วยแพทย์หญิงของกองทัพขาว White Army
แต่เธอถูกพวก Bolsheviks จับตัวได้
และถูกสอบสวนเป็นเวลา 4 เดือน
ก่อนตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 16 พฤษกาคม 1920
อย่างไรก็ตามมีการรื้อฟื้นประวัติของเธอใหม่ในปี 1992
พบว่าไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีการประหารชีวิตเธอ
แต่ไม่รู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือหายไปที่ไหน
ที่มีการรื้อฟื้นประวัติเธอขึ้นมาใหม่
เพราะระบอบพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้ว
ทำให้ยอมรับความแตกต่างด้านอุดมการณ์ในอดีตได้
Sergey Drokov ผู้ค้นคว้าประวัติเรื่องราวของเธอ
เชื่อว่าเธอไม่ถูกยิงเป้าประหารชีวิต
เพราะได้รับการช่วยเหลือจาก Isaac Don Levine
นักหนังสือพิมพ์สหรัฐที่อยู่ในรัสเซียตอนนั้น
ได้พยายามขอพบกับ Lenin ผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/4e56Rv
https://goo.gl/V86TJT
https://goo.gl/cALTHQ
https://goo.gl/5XdgjU
มีต่อใน
ความคิดเห็นที่ 2
ทหารหญิงคนแรกของรัสเซีย
⚡
Ultimate weapon of WWI: Russian women’s battalions of death
⚡
⚡
⚡
100 ปีก่อน กองทหารหญิงรัสเซียนำโดย Maria Bochkareva
ได้เข้าร่วมรบในแนวหน้าสงครามโลกครั้งที่ 1
และมีทหารหญิงอย่างน้อย 70 นายที่เสียชีวิต
จากการสู้รบกับกองทัพเยอรมันนี
Maria Bochkareva เกิดในครอบครัวชาวนา
สมัยสมบูรณาญาสิทธิราช(พระเจ้าซาร์) ในปี 1889
ท่ามกลางชีวิตที่ลำบากยากแค้นต้องตรากตรำงานหนัก
และไร้สิทธิ์ไร้เสียงตามประเพณีชาวนาดั้งเดิม
Maria Bochkareva เริ่มต้นวัยเยาว์ด้วยความน่าสังเวช
เธอต้องทำงานหนักตั้งแต่วัย 8 ขวบ
ได้รับการโบยตีเป็นประจำทั้งจากพ่อเธอและสามีของเธอ
ทั้งนี้ยังไม่นับรวมผู้ชายอื่นที่หน้าเพศเมียชอบข่มแหงผู้หญิง
เธอเคยตกเป็นเหยื่อที่ถูกข่มขืนมาก่อนด้วย
สิ่งที่ทำให้ Bochkareva ยืนหยัดและโดดเด่นขึ้นมาคือ
เธอไม่ยอมรับมาตรฐานชีวิตผู้หญิงในแบบนี้อีกต่อไป
เมื่อสงครามระหว่างรัสเซียกับเยอรมันนีและออสเตรียฮังการี เริ่มต้นในปี 1914
เธอตัดสินใจละทิ้งอดีตทั้งหมดด้วยการไปสมัครเป็นทหาร
จะไร้ความสงบสุขในดินแดนมาตุภูมิรัสเซีย
ถ้ายังมีทหารเยอรมันนีอยู่บนดินแดนของเรา
ฉันต้องการขับไล่พวกมันออกไป
“ ฉันโกนผมทิ้งแล้วแต่งชุดผู้ชาย
พร้อมกับพกขนมปัง 2 ก้อนติดตัวไป
ฉันไม่รู้หนังสือเลยแม้แต่สักตัวเดียว
ฉันแอบใช้หนังสือเดินทางของแม่
เพราะฉันไม่มีหนังสือเดินทางส่วนตัวเลย "
ในยุคนั้นการเดินทางไปไหนมาไหน
ต้องมีหนังสือเดินทางจากทางการเท่านั้น
ตามงานเขียนบันทึกความทรงจำของ Isaac Don Levine
นักข่าวอเมริกันที่เขียนอ่านได้สองภาษาในปี 1918
ข้อมูลเพิ่มเติม https://goo.gl/mkQqRV
ในตอนสมัครครั้งแรก
เธอได้รับการปฏิเสธจากกองทัพจักรพรรดิ์
เพราะเธอเป็นผู้หญิงและแนะนำว่า
ให้เธอไปเป็นพวกพยาบาลจะดีกว่า
คำแนะนำให้เป็นพยาบาลในแนวหลัง
พอซะที กับการกดขี่ทางเพศและการถูกข่มขืนในชีวิตฉัน
ฉันต้องการเป็นทหารในแนวหน้า
แต่ Maria ยังไม่หมดความหวัง
เธอได้ส่งโทรเลขด่วนไปยังพระเจ้าซาร์ Tsar Nicholas II
และแล้วทุกคนต่างประหลาดใจอย่างมาก
เพราะมีพระบัญชาจากจักรพรรดิ์ให้เธอเข้าร่วมรบและเป็นพลทหาร
ในเดือนพฤศจิกายน 1914
เธอเข้าร่วมในกองพลที่ 25 Tomsk Reserve Battalion ของจักรพรรดิ์รัสเซีย
และผลการสู้รบของเธอได้รับการยอมรับจากเพื่อนทหารด้วยกัน
" ในช่วง 2-3 วันแรก ฉันถูกหัวเราะเพราะเป็นผู้หญิง
ฉันรู้สึกไม่พอใจกับนายทหารผู้บัญชาการรบ
เพราะเขาต้องการให้ฉันลาออกไปซะ "
ในช่วงแรก ๆ พวกทหารชายมักจะหยาบคายกับเธอ
แต่เธอก็ไม่ยอมก้มหัวให้กับพวกมันและเธอเรียนรู้ได้อย่างรวดเร็ว
ในที่สุดเธอก็ได้รับการยอมรับและมีสัมพันธภาพที่ถูกต้องระหว่างกัน
หลังการฝึก เธอถูกส่งไปแนวหน้าในปี 1915
ในการรบครั้งแรกเธอลอบคลานเข้าไปในเขต No Man's land
และช่วยเหลือทหารบาดเจ็บหลายสิบนาย
ทำให้เธอได้รับเหรียญกล้าหาญ
" NML: พื้นที่ระหว่างแนวคูรบของทหารทั้งสองฝ่าย
ไม่มีใครกล้าก้าวข้ามไปเพราะกลัวการถูกยิงหรือโจมตี
คืนนั้น ฉันมีประสบการณ์ครั้งแรกกับ No Man's Land
ได้ช่วยชีวิตทหาร 50 คนให้คลานออกมาจากพื้นที่นี้
และพาคนบาดเจ็บกลับมาที่สนามเพลาะของเรา
ทหารรัสเซีย ไม่เคยชินกับการหายใจไม่ออก
ในคืนแรกที่ฉันสู้รบ เราถูกแก๊สพิษเยอรมันนีโจมตี
หน้ากากของเรากันไม่อยู่ มันไม่สมบูรณ์เอาซะเลย
ทหารรัสเซียได้เรียกชื่อเล่นของฉันว่า Yashka
ฉันเคยไปเที่ยวซ่องกับพวกผู้ชาย
พวกผู้หญิงที่ทำงานที่นั่นกอดจูบฉันตลอดตอนเย็น
โดยไม่รู้เลยว่าฉันเป็นผู้หญิง
ต่อมา เธอถูกยิงที่ขาได้รับบาดเจ็บ
หลังรักษาหายดีแล้ว เธอขอกลับไปสู่แนวหน้าอีกครั้ง
และได้รับบาดเจ็บที่มือกับแขนอีก
เธอได้รับชื่อเสนอให้รับเหรียญกล้าหาญอีกครั้ง
แต่ครั้งนี้ถูกปฏิเสธเพราะเธอเป็นผู้หญิง
ในฤดูหนาวปี 1915
เธอรับผิดชอบเปลสนามรบจำนวน 12 เปล
ท่ามกลางการสู้รบอย่างรุนแรง
เพียงแค่ 2 สัปดาห์
เธอลากศพทหารรัสเซีย 500 นายออกจากสนามรบ
ทำให้เธอได้รับเหรียญกล้าหาญและเลื่อนยศเป็นสิบตรี
เธอยังอาสานำหน่วยจรยุทธจำนวน 30 นาย
ออกไปลาดตระเวณและสู้รบกับทหารเยอรมันนี
ในครั้งหนึ่งเธอเคยดวลดาบปลายปืนกับทหารเยอรมันนีรายหนึ่ง
ช่วงแรกกับช่วงปี 1918
เดือนมีนาคม ปี 1916
ขาข้างขวาของ Bochkareva ถูกยิงด้วยกระสุนปืน
หลังจากพักฟื้นแล้ว เธอขอกลับสู่แนวหน้าอีกครั้ง
แต่ 3 เดือนต่อมา ชิ้นส่วนกระดูกที่แตกมีผลกระทบกับไขสันหลังของเธอ
ทำให้เธอเดินไม่ได้เลย แต่เรื่องน่ามหัศจรรย์เธอกลับมาเดินได้อีกครั้ง
และขอกลับสู่แนวหน้าในอีก 6 เดือนต่อมา
พร้อมกับเหรียญกล้าหาญและได้เลื่อนยศเป็นจ่าสิบเอก
ในสงครามครั้งหนึ่ง
เธอถูกจับเป็นเชลยพร้อมกับทหารถึง 500 นาย
แต่หลบหนีออกมาได้หลังจากกองหนุนเสริมกำลังมาช่วย
ระหว่างการหลบหนี เธอฆ่าทหารเยอรมันนีจำนวน 10 นายด้วยลูกระเบิดมือ
ทำให้เธอได้รับเหรียญกล้าหาญ
กุมภาพันธ์ 1917 มีการปฏิวัติรัสเซีย/ล้มล้างระบอบจักรพรรดิ์
Alexander Kerensky รัฐมนตรีกระทรวงสงคราม War Minister
ได้ขอเชิญเธอเข้าพบพร้อมกับแนวคิดก่อตั้งกองทหารหญิงรัสเซียขึ้นเป็นครั้งแรก
เพราะผลการรบอย่างกล้าหาญของเธอ
และรัฐบาลเฉพาะกาลต้องการกดดันให้ทหารชายอายทหารหญิง
เธอได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยโท
พร้อมรับมอบปืนพกสั้นกับดาบนายทหารเคลือบทองคำ
" ฉันยังจำได้ว่า ความรับผิดชอบของรัสเซียตอนนี้เป็นภาระของเธอ
ไม่ใช่เพื่อพระเจ้าซาร์ นี่คือความหมายของคำว่า เสรีภาพ
ฤดูใบไม้ผลิ รัฐบาลพระเจ้าซาร์ถูกโค่นล้มลง
พวกทหารต่างรับรู้และกระปี้กระเป่ากับเสรีภาพ
แต่ต้องต้องขับไล่กองทัพจักรพรรดิ์ Kaiser ก่อนเป็นลำดับแรก
ฉันได้รับอนุญาตให้ปราศรัยที่โรงละคร Mariinsky Theatre
และเปิดรับสมัครกองทหารหญิง มีผู้หญิงจำนวน 1,500 คนที่เข้ามาคัดเลือก "
เริ่มวันที่ 8 มิถุนายน ฉันเดินนำผู้หญิงของฉัน
ทหารของฉันไปยังร้านตัดผมท้องถิ่นเพื่อโกนผมของพวกเธอ
นั่นคือสิ่งที่ฝูงชนมองเห็น
กองทัพหญิงกล้าตายของรัสเซียชุดแรก
มีจำนวนทหารหญิงถึง 2,000 คนในตอนแรก
แต่ลดลงเหลือเพียง 300 คนในภายหลัง
เพราะผลจากการฝึกที่เข้มงวดและเคร่งครัดของเธอ
" ขวัญและกำลังใจทหารชายของเราตกต่ำอย่างมาก
มันคือหน้าที่ของเราผู้หญิงที่จะต้องสู้รบ
เพื่อสร้างแรงบันดาลใจให้กับพวกเขา
ฉันบอกกับทหารหญิงที่ได้รับการคัดเลือก "
ตู้บรรทุกขนส่งทหาร teplushka ไม่มีหน้าต่าง ไม่มีเตียงนอน
ตอนออกไปสู่แนวหน้า บาทหลวงอวยพรให้ทหารเรา
สู้เพื่อพระเจ้าซาร์และดินแดนมาตุภูมิ
เราต่างลืมความสนใจของเราไปเลย
กองทหารเธอถูกส่งไปแนวหน้าที่ June Offensive ในปี 1917
ในระหว่างนั้น Bochkareva ได้รับการเลื่อนยศเป็นร้อยเอก
เมื่อพร้อมรบแล้ว กองทหารหญิงกล้าตาย Women's Battalion of Death
รุกคืบหน้านำหน้าทหารชายที่ตามหลังตลอดเวลา
หลังจากที่เห็นทหารหญิงรุกข้าม No Man's Land
ทำให้กระตุ้นทหารชายรุกรบตามไปด้วย
กองทหารหญิงรุกข้ามแนวกั้นทหารเยอรมันนีถึง 3 แนวก่อนจะถูกขับไล่
แต่ทหารชายรัสเซียที่อยู่แนวหลังกินเหล้าวอสก้าจนเมามายและช่วยได้เล็กน้อย
แม้ว่า กองทัพหญิงกล้าตาย Women's Battalion of Death จะถูกขับไล่กลับฐานที่มั่น
แต่ก็บาดเจ็บล้มตายจำนวนน้อยมาก ทั้งยังจับกุมเชลยศึกเยอรมันนีได้ถึง 200 นาย
กองทหารหญิงของเธอเคยสู้รบครั้งสำคัญครั้งหนึ่ง
ใกล้กับเมือง Smarhon ใน Belarus
Bochkareva ได้รับบาดเจ็บอีกครั้งและถูกส่งตัวไปรักษาที่ Petrograd (St. Petersburg)
และได้เลื่อนยศเป็นพันโท
Bochkareva มีส่วนในการตั้งกองทหารหญิงมากกว่า 3 หน่วยในปี 1917
ก่อนที่เธอกลับไปแนวหน้าอีกครั้ง
ทหารมีสิทธิ์เพียงอย่างเดียวคือ ปฏิบัติตามคำสั่ง
พวกนักสู้ Bolshevik พยายามยึดกองทหารของฉัน
ด้วยการบอกพวกเธอว่า ทุกคนมีสิทธิ์
และต้องมีการแต่งตั้งคณะกรรมการทหาร
" ฉันพยายามต่อสู้เรื่องนี้กับพวกแก้งค์ Bolshevik
แต่พวกมันผลักฉันล้มลงบนพื้นดิน
แล้วเตะเข้าที่ท้องจนกระทั่งทหารของฉันมาช่วยกันฉันออกไป
ไอ้พวกแก้งค์ Bolsheviks มีชัยเหนือฉัน
ด้วยสงครามปากที่ยุยง/พวกบ่างช่างยุ
ไอ้ Idiots ถ้าเราไม่ขับไล่พวกเยอรมันนีออกไป
เราจะต้องกลายเป็นทาสพวกมัน
กองทัพฉันมีส่วนร่วมรบ เพื่อมาตุภูมิรัสเซีย "
" เราเชื่อว่าการรุกของรัสเซียเข้าสู่ศักยภาพสูงสุดแล้ว
เราต้องรับมือกับการโจมตีครั้งแรก
และเรียนรู้กับการรุกแบบใหม่ " จักรพรรด์ Kaiser แห่งเยอรมันนี
ระหว่างอาหารมื้อค่ำที่ โรงแรม Astoria ฉันได้เรียนรู้ว่า
แม้จะเป็นทหารพิการต้องกลับไปรบในสงครามอีก
นั้นได้สร้างแรงบันดาลใจให้กับกองทัพของฉัน
ตุลาคม 1917
Lenin ผู้นำกลุ่ม Bolsheviks ได้ยึดกุมการนำพรรคคอมมิวนิสต์รัสเซีย
ทำให้มีอำนาจเด็ดขาดและสั่งให้ล้มล้างรัฐบาลเฉพาะกาลลง
ทำให้ในเวลาต่อมา กองทหารรัสเซีย/กองทหารหญิงก็แตกเป็น 2 ฝ่าย
ฝ่ายแดง Reds(Bolsheviks) กับฝ่ายขาว Whites(anti-Bolsheviks)
ต่างสู้รบกันเองเพื่อการมีอำนาจ/ครอบครองรัสเซีย
เธอถูกจับโดยพวก Bolsheviks ฐานต่อต้านและถูกตัดสินประหารชีวิต
แต่สหายเก่าเพื่อนของเธอที่มีอิทธิพลในพรรคคอมมิวนิสต์
ได้ยื่นมือเข้ามาแทรกแซงให้เธอก็ถูกเนรเทศออกไปจากรัสเซีย
Bochkareva ได้ลี้ภัยไปที่สหรัฐอเมริกา
ผ่านทาง Vladivostok ด้านตะวันออกของรัสเซีย
ที่สหรัฐอเมริกาเธอได้พบกับ Woodrow Wilson ประธานาธิบดี
ได้สนทนาเรื่องราวต่าง ๆ ในทำเนียบขาว
และได้พบปะกับพวกสังคมชั้นสูง
เธอได้รับการเขียนบันทึกความทรงจำ
Yashka: My Life As Peasant, Exile, and Soldier
จากลูกชาวนาที่ไม่รู้หนังสือได้เป็นนายทหาร
ถูกเนรเทศ ได้พบกับนายพล ประธานาธิบดี และกษัตริย์
เธอเดินทางไปอังกฤษ ได้พบกับพระเจ้า George V
และกระทรวงสงครามอังกฤษได้สนับสนุนเงินทุนให้เธอกลับรัสเซีย
Emmeline Pankhurst มาเยี่ยมศูนย์ฝึกของเราบ่อยครั้ง
เธอแอบกลับมารัสเซียในปี 1919
เพื่อตั้งหน่วยแพทย์หญิงของกองทัพขาว White Army
แต่เธอถูกพวก Bolsheviks จับตัวได้
และถูกสอบสวนเป็นเวลา 4 เดือน
ก่อนตัดสินประหารชีวิตในวันที่ 16 พฤษกาคม 1920
อย่างไรก็ตามมีการรื้อฟื้นประวัติของเธอใหม่ในปี 1992
พบว่าไม่มีรายงานอย่างเป็นทางการว่ามีการประหารชีวิตเธอ
แต่ไม่รู้ว่าเธอเป็นตายร้ายดีอย่างไรหรือหายไปที่ไหน
ที่มีการรื้อฟื้นประวัติเธอขึ้นมาใหม่
เพราะระบอบพรรคคอมมิวนิสต์ล่มสลายไปแล้ว
ทำให้ยอมรับความแตกต่างด้านอุดมการณ์ในอดีตได้
Sergey Drokov ผู้ค้นคว้าประวัติเรื่องราวของเธอ
เชื่อว่าเธอไม่ถูกยิงเป้าประหารชีวิต
เพราะได้รับการช่วยเหลือจาก Isaac Don Levine
นักหนังสือพิมพ์สหรัฐที่อยู่ในรัสเซียตอนนั้น
ได้พยายามขอพบกับ Lenin ผู้ยิ่งใหญ่ของรัสเซีย
เรียบเรียง/ที่มา
https://goo.gl/4e56Rv
https://goo.gl/V86TJT
https://goo.gl/cALTHQ
https://goo.gl/5XdgjU
มีต่อใน ความคิดเห็นที่ 2