Roza Shanina: Story of the Girl-Sniper
Roza Shanina ตอนที่เธออายุได้ 14 ปี
เธอได้เดินเท้าฝ่าข้ามป่าสนเมืองหนาว Taiga
เป็นระยะทางถึง 200 ไมล์ก่อนเจอถนน/ทางรถไฟ
แล้วเดินเท้าไปยังเมือง Archanglsk
เพื่อจะไปเรียนหนังสือต่อที่นั่น
แต่โชคร้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นซะก่อน
รวมทั้งเมืองดังกล่าวถูกโจมตีทิ้งระเบิดด้วยกองทัพนาซีเยอรมันนี
ต่อมาไม่นานเธอทราบข่าวว่าน้องชายเธอตายในปี 1941
ตอนนั้นเธอวัย 19 ปี จึงสมัครเข้าร่วมกองทัพโซเวียตรัสเซีย
แล้วได้รับคัดเลือกที่จะเป็นทหารซุ่มยิงนักแม่นปืน
แม้ว่าผ่านการฝึกอบรมแล้วจนครบหลักสูตรแล้ว
แต่มีคำสั่งภายในของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
มอบหมายให้ทหารหญิงอยู่ประจำแค่แนวหลังคอยสนับสนุนเท่านั้น
แม้เธอพยายามขอร้องผู้พันหน่วยรบให้ออกไปช่วยรบในแนวหน้า
แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตลอดเวลาอ้างเป็นคำสั่งจากเบื้องบน
จนเธอต้องแอบหนีไปอยู่แนวหน้าแล้วทำการซุ่มยิงโดยขัดคำสั่ง
แต่ด้วยฝีมือการยิงปืนที่แม่นยำราวกับจับวางศัตรูไว้ในกำมือ
และความสามารถในการยิงศัตรูที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยกระสุนซ้ำอีกนัด
ยิงเป้าหมายซ้ำด้วยกระสุนนัดที่สองที่ตามติดไปอย่างรวดเร็ว
ทำใหัเธอเป็นที่ยอมรับของกองพันในที่สุด
รายงานที่เป็นทางการระบุว่าเธอยิงศัตรูได้ 54 ศพ
Roza Shanina
หนังสือพิมพ์ของฝ่ายสัมพันธมิตรให้ฉายา Shanina ว่า
นักฆ่าสยองขวัญมือที่มองไม่เห็นในปรัสเซียตะวันออก
เธอเป็นทหารสตรีนักซุ่มยิงคนแรกของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
และเป็นคนแรกของกองพล The 3rd Belorussian Front
ที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ Order of Glory จากกองทัพโซเวียตรัสเซีย
พฤศจิกายน 1944 เธอในชุดเครื่องแบบที่ทำจากผ้าขนสัตว์
เธอเสียชีวิตจากระหว่างการสู้รบตอนวัย 20 ปี
เพื่อคุ้มกันหน่วยทหารปืนใหญ่ในแนวรบ East Prussian Offensive
หน่วยรบกองร้อยของเธอจำนวน 78 คนรอดตายเพียง 6 คน
ในขณะที่กองทัพโซเวียตรัสเซียรุกไล่ล่านาซีเยอรมันนี
ทำให้ทหารหญิงทุกคนต่างละทิ้งการทำหน้าที่เป็นแนวหลัง
ต่างร่วมกับแนวหน้าในการสู้รบอย่างกล้าหาญ/ต่อเนื่อง
ความกล้าหาญในการสู้รบของพวกเธอได้รับการยกย่องอย่างมาก
แม้ว่าจะขัดกับคำสั่งเบื้องบนของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
ที่ให้ถอนกำลังทหารหญิงออกจากพื้นที่สู้รบอย่างหนัก
โดยจดหมายฉบับสุดท้ายของเธอลงวันที่ 17 มกราคม 1945
2 สัปดาห์ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตส่งให้กับญาติของเธอ
มีบันทึกจากจดหมายของเธอ ตอนหนึ่งเธอเขียนเล่าว่า
" ทหารฝ่ายศัตรูบางคนตายเพราะกระสุนที่ยิงเข้าเป้า
บางคนตายเพราะดาบปลายปืนที่บุกเข้าตะลุมบอนกัน
บางคนตายเพราะลูกระเบิด บางคนตายเพราะถูกตีด้วยพลั่วสนามรบ
บางคนถูกจับเป็นเชลยเพราะยอมจำนนด้วยการวางอาวุธ "
นี่เป็นเรื่องเล่าถึงการสู้รบประจำวันของเธอ
มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 1965
Roza Shanina
กองทัพโซเวียตรัสเซียค้นพบว่า
หน้าที่ทหารซุ่มยิงเหมาะสมกับผู้หญิงเป็นอย่างดี
เพราะทหารซุ่มยิงที่ดีต้องมีคุณลักษณะที่อดทนละเอียดรอบคอบ
มีทักษะระดับสูงในการโจมตีเป้าหมาย
และหลีกเลี่ยงการสู้รบแบบปะทะกับศัตรู
ทั้งยังพบว่าสตรีที่ทำหน้าที่เป็นลูกเรือเครื่องบินทิ้งระเบิด
มีการปรับตัวได้ดีมากและมีความตั้งใจในการใช้เทคนิคอย่างชำนาญ
ทำให้พวกเธอทำงานชี้เป้าทิ้งระเบิดเป้าหมายศัตรู
ได้ดีกว่าลูกเรือชายในเครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวนมาก
เธอใช้ปืนซุ่มยิง Mosin-Nagant
กองทัพโซเวียตรัสเซียได้รับคุณประโยชน์อย่างมากจากทหารสตรี
เพราะเป็นเรื่องของความจำเป็นอย่างยิ่งยวดส่วนหนึ่ง
ในประวัติศาสตร์ของการทำสงครามแล้ว
ถ้าข้าศึกบุกเข้ามารบแล้วมีชัยชนะในครั้งแรกแล้ว
ฝ่ายที่พ่ายแพ้ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเข้าต่อสู้ด้วย
เพื่อให้ได้ชัยชนะกลับคืนมาเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ
ให้กับคนในชาติเพื่อพร้อมกับการสู้รบในครั้งต่อไป
ถ้าเด็กถือปืนไรเฟิลได้ก็ต้องเกณฑ์เข้ามาสู้รบด้วย
ถ้าผู้หญิงขับรถถังหรือยิงปืนไรเฟิลได้ก็ต้องเกณฑ์มารบด้วย
Mosin-Nagant
สถานะการณ์สู้รบของกองทัพโซเวียตในช่วงนั้น
ก็ทำแบบนี้เช่นกันในการรบกับกองทัพนาซีเยอรมันนี
และข้อสำคัญคือ กองทัพโซเวียตรัสเซียไม่เคยขาดแคลนกำลังพลอาสาสมัคร
มีอาสาสมัครสตรีที่จะมาเป็นทหาร นักบินเรือรบ ลูกเรือเรือบินทิ้งระเบิด จำนวนมากเลยทีเดียว
นับเป็นเรื่องราวการร่วมรบที่งดงามประทับใจเรื่องหนึ่ง
ในสนามรบ มีทหารสตรีทำหน้าที่เป็นพลขับรถถัง พลปืนใหญ่ พลซุ่มยิง
แต่พวกเธอส่วนมากต่างจบชีวิตของตนเพราะความห้าวหาญดื้อรั้นและบ้าบิ่น
ในการจะออกไปทำการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารชาย
แม้ว่าจะมีคำสั่งเบื้องบนที่ให้การสนับสนุนการสู้รบของพวกเธอ
โดยไม่ให้สตรีอยู่ในแนวหน้าของสนามรบ
แต่ไม่ได้เขียนคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
เพราะจะละเมิดหลักการคอมมิวนิสต์เรื่องความเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี
และถ้ามีการตั้งคำถามเรื่องความเหมาะสมในเรื่องนี้กับผู้บังคับบัญชา
เรื่องนี้ก็จะส่งเรื่องต่อไปที่ระดับสูงเพื่อพิจารณาต่อไป
แล้วก็เงียบหายไปตามแบบข้ารัฐการ/ดองเค็ม/ดองแห้งตลอดกาล
การถอดประกอบปืนซุ่มยิง Mosin-Nagant
ในตอนที่กองทัพนาซีเยอรมันนีบุกคืบหน้าเข้ามาในรัสเซีย
ยุทธการ Barbarossa ของเยอรมันนีมีชัยชนะเหนือกองทัพโซเวียตรัสเซีย
และกำลังรุกคืบหน้าใกล้บุกยึดนครหลวง Moscow แล้ว
แน่นอนรัสเซียก็ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้ไปตั้งรับแล้ว
จึงต้องมีการเกณฑ์ผู้หญิงและเด็กวัยรุ่นมาเป็นทหารเหมือนทำที่ Stalingrad
ทั้งนี้ยังได้ผลลัพธ์ต่อเนื่องจากการโฆษณาชวนเชื่อว่า
ทหารผู้หญิงสามารถทำหน้าที่ในการสู้รบได้เป็นอย่างดีเพื่อปิตุภูมิ
สตรีบางคนไปเพราะมี/ใชัอาวุธเป็น บางคนไปเพราะผ่านการฝึกอบรม
แต่สตรีทุกคนไปเพราะต้องการจะไปสู้รบด้วยตนเองเพื่อมาตุภูมิ
สงครามครั้งสุดท้ายในรัสเซียกับต่างชาติคือ ปี 1905
ที่มีสนามรบอยู่ภายในประเทศรัสเซีย
หลังจากนั้นรัสเซียส่งออกการปฏิวัติและสงคราม
ให้ทหารไปสู้รบกันข้างนอกประเทศเหมือนอเมริกาในปัจจุบัน
ตั้งแต่นั้นมารัสเซียไม่เคยผ่านสถานะการณ์สู้รบกับชาติใดอีกเลย
เว้นแต่รบกับคนในประเทศตนเอง
ด้วยการจับกุมคุมขัง/ล้อมปราบคนในชาติเดียวกัน
แต่พอมารบกับกองทัพนาซีเยอรมันนีครั้งนี้
สภาพจึงไม่ต่างจากการลดจำนวนประชากรชายจำนวนมาก
จึงต้องมีการเกณฑ์ผู้หญิงเข้าร่วมสู้รบในครั้งนี้
Mosin-Nagant รุ่นต่าง ๆ
เรียบเรียง/ที่มา
http://goo.gl/BN6k7z
http://goo.gl/bjGT3J
ทหารสตรีนักแม่นปืนซุ่มยิงของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
กองพล The Soviet 3rd Shock Army
ร่วมกันถ่ายภาพในวันที่ 4 พฤษภาคม 1945/2488
ผลงานของทหารสตรีชุดนี้คือ ซุ่มยิงทหารนาซีเยอรมันนีได้ 775 ศพ
เป็นจำนวนศพที่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเป็นฝีมือของทหารสตรีชุดนี้
สวย สังหาร ทหารหญิงรัสเซีย (ตอนที่ 1)
Roza Shanina ตอนที่เธออายุได้ 14 ปี
เธอได้เดินเท้าฝ่าข้ามป่าสนเมืองหนาว Taiga
เป็นระยะทางถึง 200 ไมล์ก่อนเจอถนน/ทางรถไฟ
แล้วเดินเท้าไปยังเมือง Archanglsk
เพื่อจะไปเรียนหนังสือต่อที่นั่น
แต่โชคร้ายสงครามโลกครั้งที่ 2 เกิดขึ้นซะก่อน
รวมทั้งเมืองดังกล่าวถูกโจมตีทิ้งระเบิดด้วยกองทัพนาซีเยอรมันนี
ต่อมาไม่นานเธอทราบข่าวว่าน้องชายเธอตายในปี 1941
ตอนนั้นเธอวัย 19 ปี จึงสมัครเข้าร่วมกองทัพโซเวียตรัสเซีย
แล้วได้รับคัดเลือกที่จะเป็นทหารซุ่มยิงนักแม่นปืน
แม้ว่าผ่านการฝึกอบรมแล้วจนครบหลักสูตรแล้ว
แต่มีคำสั่งภายในของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
มอบหมายให้ทหารหญิงอยู่ประจำแค่แนวหลังคอยสนับสนุนเท่านั้น
แม้เธอพยายามขอร้องผู้พันหน่วยรบให้ออกไปช่วยรบในแนวหน้า
แต่ก็ได้รับการปฏิเสธตลอดเวลาอ้างเป็นคำสั่งจากเบื้องบน
จนเธอต้องแอบหนีไปอยู่แนวหน้าแล้วทำการซุ่มยิงโดยขัดคำสั่ง
แต่ด้วยฝีมือการยิงปืนที่แม่นยำราวกับจับวางศัตรูไว้ในกำมือ
และความสามารถในการยิงศัตรูที่กำลังเคลื่อนไหวด้วยกระสุนซ้ำอีกนัด
ยิงเป้าหมายซ้ำด้วยกระสุนนัดที่สองที่ตามติดไปอย่างรวดเร็ว
ทำใหัเธอเป็นที่ยอมรับของกองพันในที่สุด
รายงานที่เป็นทางการระบุว่าเธอยิงศัตรูได้ 54 ศพ
นักฆ่าสยองขวัญมือที่มองไม่เห็นในปรัสเซียตะวันออก
เธอเป็นทหารสตรีนักซุ่มยิงคนแรกของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
และเป็นคนแรกของกองพล The 3rd Belorussian Front
ที่ได้รับรางวัลเชิดชูเกียรติ Order of Glory จากกองทัพโซเวียตรัสเซีย
เพื่อคุ้มกันหน่วยทหารปืนใหญ่ในแนวรบ East Prussian Offensive
หน่วยรบกองร้อยของเธอจำนวน 78 คนรอดตายเพียง 6 คน
ในขณะที่กองทัพโซเวียตรัสเซียรุกไล่ล่านาซีเยอรมันนี
ทำให้ทหารหญิงทุกคนต่างละทิ้งการทำหน้าที่เป็นแนวหลัง
ต่างร่วมกับแนวหน้าในการสู้รบอย่างกล้าหาญ/ต่อเนื่อง
ความกล้าหาญในการสู้รบของพวกเธอได้รับการยกย่องอย่างมาก
แม้ว่าจะขัดกับคำสั่งเบื้องบนของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
ที่ให้ถอนกำลังทหารหญิงออกจากพื้นที่สู้รบอย่างหนัก
โดยจดหมายฉบับสุดท้ายของเธอลงวันที่ 17 มกราคม 1945
2 สัปดาห์ก่อนที่เธอจะเสียชีวิตส่งให้กับญาติของเธอ
มีบันทึกจากจดหมายของเธอ ตอนหนึ่งเธอเขียนเล่าว่า
" ทหารฝ่ายศัตรูบางคนตายเพราะกระสุนที่ยิงเข้าเป้า
บางคนตายเพราะดาบปลายปืนที่บุกเข้าตะลุมบอนกัน
บางคนตายเพราะลูกระเบิด บางคนตายเพราะถูกตีด้วยพลั่วสนามรบ
บางคนถูกจับเป็นเชลยเพราะยอมจำนนด้วยการวางอาวุธ "
นี่เป็นเรื่องเล่าถึงการสู้รบประจำวันของเธอ
มีการตีพิมพ์เผยแพร่ในปี 1965
หน้าที่ทหารซุ่มยิงเหมาะสมกับผู้หญิงเป็นอย่างดี
เพราะทหารซุ่มยิงที่ดีต้องมีคุณลักษณะที่อดทนละเอียดรอบคอบ
มีทักษะระดับสูงในการโจมตีเป้าหมาย
และหลีกเลี่ยงการสู้รบแบบปะทะกับศัตรู
ทั้งยังพบว่าสตรีที่ทำหน้าที่เป็นลูกเรือเครื่องบินทิ้งระเบิด
มีการปรับตัวได้ดีมากและมีความตั้งใจในการใช้เทคนิคอย่างชำนาญ
ทำให้พวกเธอทำงานชี้เป้าทิ้งระเบิดเป้าหมายศัตรู
ได้ดีกว่าลูกเรือชายในเครื่องบินทิ้งระเบิดจำนวนมาก
เพราะเป็นเรื่องของความจำเป็นอย่างยิ่งยวดส่วนหนึ่ง
ในประวัติศาสตร์ของการทำสงครามแล้ว
ถ้าข้าศึกบุกเข้ามารบแล้วมีชัยชนะในครั้งแรกแล้ว
ฝ่ายที่พ่ายแพ้ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเข้าต่อสู้ด้วย
เพื่อให้ได้ชัยชนะกลับคืนมาเป็นการสร้างขวัญและกำลังใจ
ให้กับคนในชาติเพื่อพร้อมกับการสู้รบในครั้งต่อไป
ถ้าเด็กถือปืนไรเฟิลได้ก็ต้องเกณฑ์เข้ามาสู้รบด้วย
ถ้าผู้หญิงขับรถถังหรือยิงปืนไรเฟิลได้ก็ต้องเกณฑ์มารบด้วย
ก็ทำแบบนี้เช่นกันในการรบกับกองทัพนาซีเยอรมันนี
และข้อสำคัญคือ กองทัพโซเวียตรัสเซียไม่เคยขาดแคลนกำลังพลอาสาสมัคร
มีอาสาสมัครสตรีที่จะมาเป็นทหาร นักบินเรือรบ ลูกเรือเรือบินทิ้งระเบิด จำนวนมากเลยทีเดียว
นับเป็นเรื่องราวการร่วมรบที่งดงามประทับใจเรื่องหนึ่ง
ในสนามรบ มีทหารสตรีทำหน้าที่เป็นพลขับรถถัง พลปืนใหญ่ พลซุ่มยิง
แต่พวกเธอส่วนมากต่างจบชีวิตของตนเพราะความห้าวหาญดื้อรั้นและบ้าบิ่น
ในการจะออกไปทำการรบเคียงบ่าเคียงไหล่กับทหารชาย
แม้ว่าจะมีคำสั่งเบื้องบนที่ให้การสนับสนุนการสู้รบของพวกเธอ
โดยไม่ให้สตรีอยู่ในแนวหน้าของสนามรบ
แต่ไม่ได้เขียนคำสั่งเป็นลายลักษณ์อักษร
เพราะจะละเมิดหลักการคอมมิวนิสต์เรื่องความเท่าเทียมกันของบุรุษและสตรี
และถ้ามีการตั้งคำถามเรื่องความเหมาะสมในเรื่องนี้กับผู้บังคับบัญชา
เรื่องนี้ก็จะส่งเรื่องต่อไปที่ระดับสูงเพื่อพิจารณาต่อไป
แล้วก็เงียบหายไปตามแบบข้ารัฐการ/ดองเค็ม/ดองแห้งตลอดกาล
ยุทธการ Barbarossa ของเยอรมันนีมีชัยชนะเหนือกองทัพโซเวียตรัสเซีย
และกำลังรุกคืบหน้าใกล้บุกยึดนครหลวง Moscow แล้ว
แน่นอนรัสเซียก็ต้องทุ่มเททุกสิ่งทุกอย่างเท่าที่ทำได้ไปตั้งรับแล้ว
จึงต้องมีการเกณฑ์ผู้หญิงและเด็กวัยรุ่นมาเป็นทหารเหมือนทำที่ Stalingrad
ทั้งนี้ยังได้ผลลัพธ์ต่อเนื่องจากการโฆษณาชวนเชื่อว่า
ทหารผู้หญิงสามารถทำหน้าที่ในการสู้รบได้เป็นอย่างดีเพื่อปิตุภูมิ
สตรีบางคนไปเพราะมี/ใชัอาวุธเป็น บางคนไปเพราะผ่านการฝึกอบรม
แต่สตรีทุกคนไปเพราะต้องการจะไปสู้รบด้วยตนเองเพื่อมาตุภูมิ
สงครามครั้งสุดท้ายในรัสเซียกับต่างชาติคือ ปี 1905
ที่มีสนามรบอยู่ภายในประเทศรัสเซีย
หลังจากนั้นรัสเซียส่งออกการปฏิวัติและสงคราม
ให้ทหารไปสู้รบกันข้างนอกประเทศเหมือนอเมริกาในปัจจุบัน
ตั้งแต่นั้นมารัสเซียไม่เคยผ่านสถานะการณ์สู้รบกับชาติใดอีกเลย
เว้นแต่รบกับคนในประเทศตนเอง
ด้วยการจับกุมคุมขัง/ล้อมปราบคนในชาติเดียวกัน
แต่พอมารบกับกองทัพนาซีเยอรมันนีครั้งนี้
สภาพจึงไม่ต่างจากการลดจำนวนประชากรชายจำนวนมาก
จึงต้องมีการเกณฑ์ผู้หญิงเข้าร่วมสู้รบในครั้งนี้
http://goo.gl/BN6k7z
http://goo.gl/bjGT3J
ทหารสตรีนักแม่นปืนซุ่มยิงของกองทัพโซเวียตรัสเซีย
กองพล The Soviet 3rd Shock Army
ร่วมกันถ่ายภาพในวันที่ 4 พฤษภาคม 1945/2488
ผลงานของทหารสตรีชุดนี้คือ ซุ่มยิงทหารนาซีเยอรมันนีได้ 775 ศพ
เป็นจำนวนศพที่มีการยืนยันอย่างเป็นทางการว่าเป็นฝีมือของทหารสตรีชุดนี้