ตลอดเวลา 3 เดือนที่ผ่านมา เราได้ตั้งสัจจะและปฏิบัติอยู่ในอุโบสถศีล 8 ข้อ คือ
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี
งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป งดเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์
๒. อทินนาทานา เวระมะณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. อพรหมจริยา เวระมะณี
งดเว้นจากกรรมอันเป็นข้าศึกต่อการประพฤติผิดพรหมจรรย์ (การร่วมประเวณี
รวมถึงการทำ Masturbation)
๔. มุสาวาทา เวระมะณี
งดเว้นจากการกล่าวเท็จ รวมถึงวจีกรรมในรูปแบบต่างๆ คือ เว้นการพูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย
๕. สุราเมรยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี
งดเว้น จากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖. วิกาละโภชนา เวระมะณี
งดเว้นจากการบริโภค อาหารในเวลาวิกาล คือหลังเที่ยงวันเป็นต้นไป
๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะ-ธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี
งดเว้นจากการฟ้อน รำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล
ลูบทาทัดทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยพวงดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม
เครื่องทาอันจัดว่าเป็นการแต่งตัว
๘. อุจจาสะยะนะมหาสะยะนา เวระมะณี งดเว้นจากการนั่ง และการนอนบนที่นอนสูงใหญ่
อันยัดด้วยนุ่นและสำลี (สูงใหญ่ หมายถึง เมื่อนั่งแล้วหย่อนขาลงไม่ถึงพื้น)
ในวันสมาทาน เราได้สมาทานต่อหน้าองค์พระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทอง วัดสระเกศ ในขณะที่สมาทาน ขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกมีพลังอย่างที่อธิบายไม่ถูก พระอาจารย์เราสอนว่า ถ้าตั้งสัจจะกับสิ่งใดแล้ว ขนลุก สิ่งนั้นจะสำเร็จ
เราได้อธิษฐานบางอย่างไป ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว เราก็ได้รักษาอุโบสถศีล ก็สำเร็จตามความหวังเช่นเดียวกัน
ในปีนี้เราเลยสมาทานอีกค่ะ รักษาทั้งที่ยังขายของอยู่ แต่เราไม่แต่งหน้า เสื้อผ้าพื้น ๆ รองเท้าเก่า ๆ เสื้อยืดธรรมดา ขายของโดยไม่ประดับตกแต่ง หน้าสด ก็ดูเรียลไปอีกแบบ ไม่ทานอาหารหลังเที่ยง
มีคนมักบอกว่าต้องทำงาน จะรักษาอย่างไร เราทำได้นะคะ เป็นตัวอย่าง เราค้าขายค่ะ การค้าขายไม่ได้ทำให้องค์อุโบสถศีลทั้งแปดข้อเราขาดเลย ถ้าเราไม่มีใจที่จะละเมิด มีเข้าเฟส คุยไลน์ ดูข่าว ปรกติ แต่เราสกรีนไม่ให้ละเมิดในข้อที่ 7 เว้นบันเทิง ยูทูป ข่าวสารยังอ่าน ตอบกระทู้ได้ บันเทิงงด เราต้องมองว่าแต่ละข้อขอบเขตแค่ไหน
วันหนึ่ง ๆ ขายของเสร็จ เราก็ไปนั่งริมน้ำที่สวนหลวงพระรามแปด กรรมฐานริมศาลา หลังจากที่แต่ก่อนต้องไปแต่ในวัด แต่พอเราจับทางได้แล้ว ก็หาอาวาสสัปปายะ (สถานที่สบายแก่กรรมฐานของตน) และเดินหน้าต่อด้วยตนเอง ขณะที่เรานั่งที่พระรามแปดตรงนั้น แต่ละวันเราได้หลายเปรี้ยงเลยค่ะ (หลายท่านที่กรรมฐานจะเข้าใจคำว่าเปรี้ยงว่าหมายถึงอะไร)
เราได้สัมผัสกับความสดชื่นมาก ๆ ตลอดพรรษา ขอนำบุญกุศลที่ทำมา มาฝากทุกท่านนะคะ ขอให้พบเจอแต่สิ่งดีค่ะ
*********
มีเพื่อนสมาชิกสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์และสิ่งที่ได้รับ เรามีบางสิ่งจะเล่าให้อ่านค่ะ และอยากทราบว่าเพื่อน ๆ เจออาการ "กระเด้ง" เหมือนกับเราไหมคะ ?
สติของเรามากขึ้น ก่อนเข้าพรรษาก็ยังกระวนกระวาย เดี๋ยวคิดนั่น เดี๋ยวโมโหนี่ แต่ความเงียบบวกกับพลังศีลที่ทำให้เราเอาอะไรมารกใจไม่ได้เลย ทำให้ทุก ๆ วันที่เรานั่วริมน้ำคนเดียว ริมศาลา ที่สวนพระรามแปด เรานั่งได้สัก 20 นาที มันจะต้องมีอะไรเปรี้ยงปร้างมาตลอดทุกวัน ๆ
เราไม่รู้จะอธิบายอาการที่เราเรียกว่าเปรี้ยงปร้างได้อย่างไร เพราะเราเล่าไม่ถูกจริง ๆ แต่เรกำหนดรู้และไม่ได้หลงชื่นชมมัน เหมือนคนบางกลุ่มที่ติดอยู่ในวิปัสสนูปกิเลส คือ ได้สมาธิ ได้แสงสว่าง ได้ปัญญาพรั่งพรู แล้วคิดว่าบรรลุแล้วบ้าง แต่ของเราา เราเลยความเบลอตรงนั้นมาแล้ว อยู่ในจุดที่มองออกว่ามันเป็นแค่อาการของสังขาร แต่ความเงียบบวกกับการกำหนดอริยสัจ ทำให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง (แต่ละจุด ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และต้องกำหนดตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น ไม่ต้องลมหายใจเข้าออก ไม่ทำสมถะสมาธิเลย นอกจากผลสมาบัติ) จิตจะดีดตัวแรงมาก
อาการที่ดีดตัวนี้ มันแรงจนร่างกายเรากระตุกตามเป็นระยะ ๆ เวลาที่กระตุก ก่อนหน้าสักครึ่งวินาที เราจะต้องกำลังกำหนดอะไรสักอย่างอย่างเข้มข้นนักหน่วงเช่น ชาติ ชรา มรณะ หรือพิจารณาพระสูตรใดพระสูตรหนึ่งในใจแบบเอาจริงเอาจัง พอเรา "get" ปุ๊บ อยู่ ๆ อะไรใรบางอย่างในจิตเรามันจะเด้งผึงแบบแรงมาก ทำให้ตัวเรากระตุกตามไปด้วย แต่พอเกิดอาการนี้แล้ว เราสังเกตุได้ว่า "กิเลสตัวเดิมลดขนาดลง" เช่น อาจจะคิดถึงใครบางคนจนทนไม่ไหว พอกำหนดกรมฐานว่า "เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจเป็นธรรมดา" เค้นเข้า ๆ ๆ มันเด้งออก เรากระตุก น้ำตาไหลในบางครั้ง แล้วเราก็ไม่คิดถึงหรือคิดถึงแบบเฉย ๆ ไปเลย
มีหลายอาการทีได้เกิดขึ้น จากความเงียบ และอุโบสถศีล ที่เข้มข้นด้วยกรรมฐาน เราอธิบายไม่ได้ แต่ต้องสัมผัสด้วยตนเอง
นี่กระมัง สิ่งที่เราค้นพบว่าเป็น
" ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญู
ติ "
ปล.ใครมีประสบการณ์จิตกระเด้งออกบ้างคะ แชร์ได้เลยค่ะ
ออกพรรษาแล้ว ขอฝากบุญจากการรักษาปาฏิหาริยอุโบสถศีลให้ทุกท่านค่ะ
๑. ปาณาติปาตา เวระมะณี
งดเว้นจากการทำชีวิตสัตว์ให้ตกล่วงไป งดเว้นจากการเบียดเบียนสัตว์
๒. อทินนาทานา เวระมะณี งดเว้นจากการถือเอาของที่เจ้าของมิได้ให้
๓. อพรหมจริยา เวระมะณี
งดเว้นจากกรรมอันเป็นข้าศึกต่อการประพฤติผิดพรหมจรรย์ (การร่วมประเวณี
รวมถึงการทำ Masturbation)
๔. มุสาวาทา เวระมะณี
งดเว้นจากการกล่าวเท็จ รวมถึงวจีกรรมในรูปแบบต่างๆ คือ เว้นการพูดส่อเสียด นินทาว่าร้าย
๕. สุราเมรยะมัชชะปะมาทัฏฐานา เวระมะณี
งดเว้น จากการดื่มสุราและเมรัย อันเป็นที่ตั้งแห่งความประมาท
๖. วิกาละโภชนา เวระมะณี
งดเว้นจากการบริโภค อาหารในเวลาวิกาล คือหลังเที่ยงวันเป็นต้นไป
๗. นัจจะคีตะวาทิตะวิสูกะทัสสะนา มาลาคันธะวิเลปะนะ-ธาระณะมัณฑะนะวิภูสะนัฏฐานา เวระมะณี
งดเว้นจากการฟ้อน รำ ขับร้อง ประโคมดนตรี และดูการละเล่นอันเป็นข้าศึกต่อกุศล
ลูบทาทัดทรงประดับตกแต่งร่างกายด้วยพวงดอกไม้ ของหอม เครื่องย้อม
เครื่องทาอันจัดว่าเป็นการแต่งตัว
๘. อุจจาสะยะนะมหาสะยะนา เวระมะณี งดเว้นจากการนั่ง และการนอนบนที่นอนสูงใหญ่
อันยัดด้วยนุ่นและสำลี (สูงใหญ่ หมายถึง เมื่อนั่งแล้วหย่อนขาลงไม่ถึงพื้น)
ในวันสมาทาน เราได้สมาทานต่อหน้าองค์พระบรมสารีริกธาตุที่ภูเขาทอง วัดสระเกศ ในขณะที่สมาทาน ขนลุกไปทั้งตัว รู้สึกมีพลังอย่างที่อธิบายไม่ถูก พระอาจารย์เราสอนว่า ถ้าตั้งสัจจะกับสิ่งใดแล้ว ขนลุก สิ่งนั้นจะสำเร็จ
เราได้อธิษฐานบางอย่างไป ซึ่งเมื่อปีที่แล้ว เราก็ได้รักษาอุโบสถศีล ก็สำเร็จตามความหวังเช่นเดียวกัน
ในปีนี้เราเลยสมาทานอีกค่ะ รักษาทั้งที่ยังขายของอยู่ แต่เราไม่แต่งหน้า เสื้อผ้าพื้น ๆ รองเท้าเก่า ๆ เสื้อยืดธรรมดา ขายของโดยไม่ประดับตกแต่ง หน้าสด ก็ดูเรียลไปอีกแบบ ไม่ทานอาหารหลังเที่ยง
มีคนมักบอกว่าต้องทำงาน จะรักษาอย่างไร เราทำได้นะคะ เป็นตัวอย่าง เราค้าขายค่ะ การค้าขายไม่ได้ทำให้องค์อุโบสถศีลทั้งแปดข้อเราขาดเลย ถ้าเราไม่มีใจที่จะละเมิด มีเข้าเฟส คุยไลน์ ดูข่าว ปรกติ แต่เราสกรีนไม่ให้ละเมิดในข้อที่ 7 เว้นบันเทิง ยูทูป ข่าวสารยังอ่าน ตอบกระทู้ได้ บันเทิงงด เราต้องมองว่าแต่ละข้อขอบเขตแค่ไหน
วันหนึ่ง ๆ ขายของเสร็จ เราก็ไปนั่งริมน้ำที่สวนหลวงพระรามแปด กรรมฐานริมศาลา หลังจากที่แต่ก่อนต้องไปแต่ในวัด แต่พอเราจับทางได้แล้ว ก็หาอาวาสสัปปายะ (สถานที่สบายแก่กรรมฐานของตน) และเดินหน้าต่อด้วยตนเอง ขณะที่เรานั่งที่พระรามแปดตรงนั้น แต่ละวันเราได้หลายเปรี้ยงเลยค่ะ (หลายท่านที่กรรมฐานจะเข้าใจคำว่าเปรี้ยงว่าหมายถึงอะไร)
เราได้สัมผัสกับความสดชื่นมาก ๆ ตลอดพรรษา ขอนำบุญกุศลที่ทำมา มาฝากทุกท่านนะคะ ขอให้พบเจอแต่สิ่งดีค่ะ
*********
มีเพื่อนสมาชิกสอบถามเกี่ยวกับประสบการณ์และสิ่งที่ได้รับ เรามีบางสิ่งจะเล่าให้อ่านค่ะ และอยากทราบว่าเพื่อน ๆ เจออาการ "กระเด้ง" เหมือนกับเราไหมคะ ?
สติของเรามากขึ้น ก่อนเข้าพรรษาก็ยังกระวนกระวาย เดี๋ยวคิดนั่น เดี๋ยวโมโหนี่ แต่ความเงียบบวกกับพลังศีลที่ทำให้เราเอาอะไรมารกใจไม่ได้เลย ทำให้ทุก ๆ วันที่เรานั่วริมน้ำคนเดียว ริมศาลา ที่สวนพระรามแปด เรานั่งได้สัก 20 นาที มันจะต้องมีอะไรเปรี้ยงปร้างมาตลอดทุกวัน ๆ
เราไม่รู้จะอธิบายอาการที่เราเรียกว่าเปรี้ยงปร้างได้อย่างไร เพราะเราเล่าไม่ถูกจริง ๆ แต่เรกำหนดรู้และไม่ได้หลงชื่นชมมัน เหมือนคนบางกลุ่มที่ติดอยู่ในวิปัสสนูปกิเลส คือ ได้สมาธิ ได้แสงสว่าง ได้ปัญญาพรั่งพรู แล้วคิดว่าบรรลุแล้วบ้าง แต่ของเราา เราเลยความเบลอตรงนั้นมาแล้ว อยู่ในจุดที่มองออกว่ามันเป็นแค่อาการของสังขาร แต่ความเงียบบวกกับการกำหนดอริยสัจ ทำให้เมื่อถึงจุดหนึ่ง (แต่ละจุด ใช้เวลาประมาณ 20 นาที และต้องกำหนดตามหลักมหาสติปัฏฐานสูตรเท่านั้น ไม่ต้องลมหายใจเข้าออก ไม่ทำสมถะสมาธิเลย นอกจากผลสมาบัติ) จิตจะดีดตัวแรงมาก
อาการที่ดีดตัวนี้ มันแรงจนร่างกายเรากระตุกตามเป็นระยะ ๆ เวลาที่กระตุก ก่อนหน้าสักครึ่งวินาที เราจะต้องกำลังกำหนดอะไรสักอย่างอย่างเข้มข้นนักหน่วงเช่น ชาติ ชรา มรณะ หรือพิจารณาพระสูตรใดพระสูตรหนึ่งในใจแบบเอาจริงเอาจัง พอเรา "get" ปุ๊บ อยู่ ๆ อะไรใรบางอย่างในจิตเรามันจะเด้งผึงแบบแรงมาก ทำให้ตัวเรากระตุกตามไปด้วย แต่พอเกิดอาการนี้แล้ว เราสังเกตุได้ว่า "กิเลสตัวเดิมลดขนาดลง" เช่น อาจจะคิดถึงใครบางคนจนทนไม่ไหว พอกำหนดกรมฐานว่า "เราจะต้องพลัดพรากจากสิ่งที่รักที่ชอบใจเป็นธรรมดา" เค้นเข้า ๆ ๆ มันเด้งออก เรากระตุก น้ำตาไหลในบางครั้ง แล้วเราก็ไม่คิดถึงหรือคิดถึงแบบเฉย ๆ ไปเลย
มีหลายอาการทีได้เกิดขึ้น จากความเงียบ และอุโบสถศีล ที่เข้มข้นด้วยกรรมฐาน เราอธิบายไม่ได้ แต่ต้องสัมผัสด้วยตนเอง
นี่กระมัง สิ่งที่เราค้นพบว่าเป็น
" ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูติ "
ปล.ใครมีประสบการณ์จิตกระเด้งออกบ้างคะ แชร์ได้เลยค่ะ