ทำเป็นอโหสิให้คนนั้นคนนี้ แจกพระ
ยิ่งแสดงให้เห็นความคับในใจครับ
สรรพสิ่งล้วนมีเหตุ เกิดจากเหตุทั้งนั้นครับ
อย่างอนเพราะผลไม่ดีเลย กลับไปดูเหตุดีกว่า ว่าตัวทำอะไรถึงได้มีผลเช่นนี้
ที่ สปช. ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ควรแล้วครับ
เพราะเนื้อหาร่างใช้ไม่ได้ รับไม่ไหวจริง ๆ ครับ
นี่ด้วยเนื้อหา ด้วยหลักการทางรัฐศาสตร์ล้วน ๆ ครับ
ไม่ใช่เอาแต่ตะแบงอ้างประชาชนพลเมืองเป็นใหญ่บังหน้า แต่เนื้อหาและหลักการเละเทะ
อย่าน้อยอกน้อยใจไปเลยครับ
หันกลับทบทวนตัวเองสักนิดดีกว่าครับ
ปี 2531 คุณบวรศักดิ์ เคยลงชื่อร่วมกับนักวิชาการ 99 คน (และหลายคนก็เป็นแบบคุณบวรศักดิ์ในวันนี้ คือเปลี่ยนหลักการ)
ถวายฎีกา เรื่องนายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง ไม่เอานายกรัฐมนตรีคนนอก คนกลาง ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง
แสดงจุดยืนต่อต้านการรัฐประหาร
ปี 2539 คุณบวรศักดิ์ เป็นเลขานุการกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540
ที่เน้นเรื่องนายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. เน้นความเข้มแข็งของรัฐบาล เน้นเรื่อง ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง
เน้นให้ทุกองคาพยพของน้านเมือง ต้องยึดโยงกับประชาชน
แล้วเทียบกันวันนี้สิครับ เทียบกับร่างรัฐธรรมนูญที่คุณบวรศักดิ์เป็นประธานร่างออกมาสิครับ
ทำไมหน้ามือกลายเป็นหลังเป็ดไปได้ ???
อย่าน้อยอกน้อยใจไปเลยครับ มองในแง่ดีอีกด้านเถอะครับ
คุณบวรศักดิ์ เป็น สปช. รับเงินเดือน ๆ ละ 113,560 บาท รับไปเท่าไรครับ
คุณบวรศักดิ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รับเบี้ยประชุมครั้งละ 9,000 บาท
ประชุมราว ๆ 160 กว่าครั้ง แค่เบี้ยประชุมนี่ คุณบวรศักดิ์ก็รับไปราว ๆ ล้านห้าแสนบาทแล้วครับ
จะหางานที่ไหนง่าย และค่าตอบแทนสูงขนาดนี้ครับ แค่ทนโดนด่านิดเดียวเอง
คุณบวรศักดิ์ ลอง ๆ เอาสิ่งที่เคยทำ เอาหลักการเดิม ๆ ที่เคยมี
กับวันนี้ที่คุณบวรศักดิ์ทำ คุณบวรศักดิ์เป็น เทียบกันดูสิครับ
ว่าอะไรควร และอะไรไม่ควร
ขิงนั้น ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดครับ
ไม่ใช่ยิ่งแก่ยิ่งเป็นไม้หลักปักขี้เลน
แบบนั้นมันไม่ไหว
อย่ากลับมาอีกเลย
เห็นแก่บ้านเมืองสักนิดเถอะ
นะครับ
คุณบวรศักดิ์ อุวรรณโณ ครับ อย่าแสดงทีท่าน้อยอกน้อยใจอะไรเลยนะครับ ยิ่งแสดงทีท่าแผ่เมตตา ยิ่งเห็นสิ่งที่คับอยู่ในใจครับ
ยิ่งแสดงให้เห็นความคับในใจครับ
สรรพสิ่งล้วนมีเหตุ เกิดจากเหตุทั้งนั้นครับ
อย่างอนเพราะผลไม่ดีเลย กลับไปดูเหตุดีกว่า ว่าตัวทำอะไรถึงได้มีผลเช่นนี้
ที่ สปช. ลงมติไม่รับร่างรัฐธรรมนูญนั้น ควรแล้วครับ
เพราะเนื้อหาร่างใช้ไม่ได้ รับไม่ไหวจริง ๆ ครับ
นี่ด้วยเนื้อหา ด้วยหลักการทางรัฐศาสตร์ล้วน ๆ ครับ
ไม่ใช่เอาแต่ตะแบงอ้างประชาชนพลเมืองเป็นใหญ่บังหน้า แต่เนื้อหาและหลักการเละเทะ
อย่าน้อยอกน้อยใจไปเลยครับ
หันกลับทบทวนตัวเองสักนิดดีกว่าครับ
ปี 2531 คุณบวรศักดิ์ เคยลงชื่อร่วมกับนักวิชาการ 99 คน (และหลายคนก็เป็นแบบคุณบวรศักดิ์ในวันนี้ คือเปลี่ยนหลักการ)
ถวายฎีกา เรื่องนายกรัฐมนตรีควรมาจากการเลือกตั้ง ไม่เอานายกรัฐมนตรีคนนอก คนกลาง ที่ไม่ผ่านการเลือกตั้ง
แสดงจุดยืนต่อต้านการรัฐประหาร
ปี 2539 คุณบวรศักดิ์ เป็นเลขานุการกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ 2540
ที่เน้นเรื่องนายกรัฐมนตรีต้องมาจาก ส.ส. เน้นความเข้มแข็งของรัฐบาล เน้นเรื่อง ส.ว. มาจากการเลือกตั้ง
เน้นให้ทุกองคาพยพของน้านเมือง ต้องยึดโยงกับประชาชน
แล้วเทียบกันวันนี้สิครับ เทียบกับร่างรัฐธรรมนูญที่คุณบวรศักดิ์เป็นประธานร่างออกมาสิครับ
ทำไมหน้ามือกลายเป็นหลังเป็ดไปได้ ???
อย่าน้อยอกน้อยใจไปเลยครับ มองในแง่ดีอีกด้านเถอะครับ
คุณบวรศักดิ์ เป็น สปช. รับเงินเดือน ๆ ละ 113,560 บาท รับไปเท่าไรครับ
คุณบวรศักดิ์ เป็นประธานคณะกรรมาธิการยกร่างรัฐธรรมนูญ รับเบี้ยประชุมครั้งละ 9,000 บาท
ประชุมราว ๆ 160 กว่าครั้ง แค่เบี้ยประชุมนี่ คุณบวรศักดิ์ก็รับไปราว ๆ ล้านห้าแสนบาทแล้วครับ
จะหางานที่ไหนง่าย และค่าตอบแทนสูงขนาดนี้ครับ แค่ทนโดนด่านิดเดียวเอง
คุณบวรศักดิ์ ลอง ๆ เอาสิ่งที่เคยทำ เอาหลักการเดิม ๆ ที่เคยมี
กับวันนี้ที่คุณบวรศักดิ์ทำ คุณบวรศักดิ์เป็น เทียบกันดูสิครับ
ว่าอะไรควร และอะไรไม่ควร
ขิงนั้น ยิ่งแก่ยิ่งเผ็ดครับ
ไม่ใช่ยิ่งแก่ยิ่งเป็นไม้หลักปักขี้เลน
แบบนั้นมันไม่ไหว
อย่ากลับมาอีกเลย
เห็นแก่บ้านเมืองสักนิดเถอะ
นะครับ