[๑๗๗] ส. บุคคลอาศัยอะไรตั้งอยู่?
ป. อาศัยภพตั้งอยู่
ส. ภพไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความดับไป
เป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็นธรรมดา หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. แม้บุคคลก็ไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็น
ธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความ
ดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็นธรรมดา หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. แม้บุคคลก็ไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็น
ธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความ
ดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็นธรรมดา หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๗๘] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
หรือ?(โดยอรรถอันประจักษ์ สภาวะที่แท้จริงและอรรถอย่างยิ่ง)
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่
มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนาอยู่ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาอยู่
มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถ์(สภาวะที่แท้จริง ความจริงแท้ขั้นสูงสุด)
ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา
อยู่ ฯลฯ ที่เสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุข-
เวทนาอยู่ มีอยู่มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่าเราเสวย
อทุกขมสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็น
บุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
เราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดย
สัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ผู้ใดเสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นเทียว
เป็นบุคคล ผู้ใดเสวยสุขเวทนา ไม่รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้น
ไม่เป็นบุคคล หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ผู้ใดเสวยทุกขเวทนาอยู่ ฯลฯ ผู้ใดเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า
เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นเทียวเป็นบุคคล ผู้ใดเสวยอทุกขม-
สุขเวทนาอยู่ ไม่รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นไม่เป็น
บุคคลหรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางทีเสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า
เราเสวยสุขเวทนาอยู่ และด้วยเหตุนั้นจึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. สุขเวทนาเป็นอื่น ผู้เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาอยู่
ก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ทุกขเวทนาเป็นอื่น ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนาเป็นอื่น ผู้เสวยอทุกขม-
เวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ก็เป็นอื่น หรือ?
[๑๗๙] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายอยู่ มีอยู่ มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุ
นั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ส. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ ที่เป็นผู้
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ ที่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีอยู่มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีอยู่ ด้วย
เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย
อยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ผู้ใดเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ผู้นั้นเทียวเป็นบุคคล ผู้ใดไม่เป็น
ผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ผู้นั้นไม่เป็นบุคคล หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ผู้ใดเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ เป็นผู้พิจารณาเห็นจิต
ในจิตอยู่ ฯลฯ เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ผู้นั้นเทียว เป็นบุคคล
ผู้ใดไม่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ผู้นั้นไม่เป็นบุคคล หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายใน
กายอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. กายเป็นอื่น บุคคลที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เวทนาเป็นอื่น ฯลฯ จิตเป็นอื่น ฯลฯ ธรรมเป็นอื่น บุคคลที่เป็นผู้
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๘๐] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า โมฆราชะ เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ
หยั่งเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ถอนอัตตานุทิฏฐิเสีย เธอพึงเป็น
ผู้ข้ามพ้นมัจจุราชเสีย ได้ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะมัจจุราชย่อมไม่
แลเห็นบุคคลผู้หยั่งเห็นโลกอยู่อย่างนี้ ดังนี้ ๑- เป็นสูตรที่มีอยู่จริง
มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ นะสิ
[๑๘๑] ส. บุคคลหยั่งเห็น หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ร่วมกับรูปหยั่งเห็นหรือ หรือว่าเว้นจากรูปหยั่งเห็น
ป. ร่วมกับรูปหยั่งเห็น
ส. ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. เว้นจากรูป หยั่งเห็น
ส. ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลหยั่งเห็น หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. อยู่ภายในหยั่งเห็นหรือ หรือว่าออกไปภายนอกแล้วจึงหยั่งเห็น
ป. อยู่ภายในหยั่งเห็น
ส. ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
@ ๑. ขุ สุ. ข้อ ๔๓๙ หน้า ๕๔๙
ป. ออกไปภายนอกแล้วจึงหยั่งเห็น
ส. ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๘๒] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาคมีปกติตรัสคำจริง ตรัสสมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง
ตรัสถูกต้อง ตรัสไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อนมิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ตน มีอยู่ ๑-
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ น่ะสิ
ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาค มีปกติตรัสคำจริง ตรัสสมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง
ตรัสถูกต้อง ตรัสไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียวเมื่อ
บังเกิดขึ้นในโลก ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่คนมาก เพื่อความสุข
ของคนมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุข ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายดังนี้ ๒- เป็นสูตรมีอยู่จริง
มิใช่หรือ?
@ ๑. อัง. จตุ. ข้อ ๙๖ หน้า ๑๒๕, อภิ. ปุ. ข้อ ๑๐ หน้า ๑๓๖
@ ๒. อํ. เอก. ข้อ ๑๓๙ หน้า ๒๘
ส. ถูกแล้ว
ป. ถ้าอย่างนั้น ก็หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ น่ะสิ
[๑๘๓] ส. หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระผู้มีพระภาค มีปกติตรัสคำจริง ตรัสสมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง
ตรัสถูกต้อง ตรัสไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ดังนี้ เป็นสูตร
มีอยู่จริง มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ นะสิ
ว่าด้วยปัญหาอาศัยภพเป็นต้น
ป. อาศัยภพตั้งอยู่
ส. ภพไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็นธรรมดา
มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความดับไป
เป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็นธรรมดา หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. แม้บุคคลก็ไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็น
ธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความ
ดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็นธรรมดา หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. แม้บุคคลก็ไม่เที่ยง เป็นสังขตะ อาศัยปัจจัยเกิดขึ้น มีความสิ้นไปเป็น
ธรรมดา มีความเสื่อมไปเป็นธรรมดา มีความจางไปเป็นธรรมดา มีความ
ดับไปเป็นธรรมดา มีความแปรไปเป็นธรรมดา หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๗๘] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
หรือ?(โดยอรรถอันประจักษ์ สภาวะที่แท้จริงและอรรถอย่างยิ่ง)
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่
มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนาอยู่ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาอยู่
มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิ-
กัตถปรมัตถ์(สภาวะที่แท้จริง ความจริงแท้ขั้นสูงสุด)
ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เสวยทุกขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยทุกขเวทนา
อยู่ ฯลฯ ที่เสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุข-
เวทนาอยู่ มีอยู่มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่าเราเสวย
อทุกขมสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็น
บุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่เสวยสุขเวทนา ก็รู้ชัดว่า
เราเสวยสุขเวทนาอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดย
สัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ผู้ใดเสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นเทียว
เป็นบุคคล ผู้ใดเสวยสุขเวทนา ไม่รู้ชัดว่า เราเสวยสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้น
ไม่เป็นบุคคล หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ผู้ใดเสวยทุกขเวทนาอยู่ ฯลฯ ผู้ใดเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า
เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นเทียวเป็นบุคคล ผู้ใดเสวยอทุกขม-
สุขเวทนาอยู่ ไม่รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ ผู้นั้นไม่เป็น
บุคคลหรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางทีเสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า
เราเสวยสุขเวทนาอยู่ และด้วยเหตุนั้นจึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถ-
ปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. สุขเวทนาเป็นอื่น ผู้เสวยสุขเวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่าเราเสวยสุขเวทนาอยู่
ก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ทุกขเวทนาเป็นอื่น ฯลฯ อทุกขมสุขเวทนาเป็นอื่น ผู้เสวยอทุกขม-
เวทนาอยู่ ก็รู้ชัดว่า เราเสวยอทุกขมสุขเวทนาอยู่ก็เป็นอื่น หรือ?
[๑๗๙] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายอยู่ มีอยู่ มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ มีอยู่ ด้วยเหตุ
นั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ส. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ ที่เป็นผู้
พิจารณาเห็นจิตในจิตอยู่ ฯลฯ ที่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่
มีอยู่มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. หากว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ มีอยู่ ด้วย
เหตุนั้นนะท่านจึงต้องกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกาย
อยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ผู้ใดเป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ผู้นั้นเทียวเป็นบุคคล ผู้ใดไม่เป็น
ผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ผู้นั้นไม่เป็นบุคคล หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ผู้ใดเป็นผู้พิจารณาเห็นเวทนาในเวทนาอยู่ ฯลฯ เป็นผู้พิจารณาเห็นจิต
ในจิตอยู่ ฯลฯ เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ผู้นั้นเทียว เป็นบุคคล
ผู้ใดไม่เป็นผู้พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ผู้นั้นไม่เป็นบุคคล หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. ท่านได้ทำความตกลงแล้วว่า บุคคลบางคนที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายใน
กายอยู่ มีอยู่ และด้วยเหตุนั้น จึงหยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. กายเป็นอื่น บุคคลที่เป็นผู้พิจารณาเห็นกายในกายอยู่ ก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. เวทนาเป็นอื่น ฯลฯ จิตเป็นอื่น ฯลฯ ธรรมเป็นอื่น บุคคลที่เป็นผู้
พิจารณาเห็นธรรมในธรรมอยู่ ก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๘๐] ส. ท่านหยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า โมฆราชะ เธอจงเป็นผู้มีสติทุกเมื่อ
หยั่งเห็นโลกโดยความเป็นของสูญ ถอนอัตตานุทิฏฐิเสีย เธอพึงเป็น
ผู้ข้ามพ้นมัจจุราชเสีย ได้ด้วยอาการอย่างนี้ เพราะมัจจุราชย่อมไม่
แลเห็นบุคคลผู้หยั่งเห็นโลกอยู่อย่างนี้ ดังนี้ ๑- เป็นสูตรที่มีอยู่จริง
มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ นะสิ
[๑๘๑] ส. บุคคลหยั่งเห็น หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ร่วมกับรูปหยั่งเห็นหรือ หรือว่าเว้นจากรูปหยั่งเห็น
ป. ร่วมกับรูปหยั่งเห็น
ส. ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ป. เว้นจากรูป หยั่งเห็น
ส. ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
ส. บุคคลหยั่งเห็น หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. อยู่ภายในหยั่งเห็นหรือ หรือว่าออกไปภายนอกแล้วจึงหยั่งเห็น
ป. อยู่ภายในหยั่งเห็น
ส. ชีพก็อันนั้น สรีระก็อันนั้น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
@ ๑. ขุ สุ. ข้อ ๔๓๙ หน้า ๕๔๙
ป. ออกไปภายนอกแล้วจึงหยั่งเห็น
ส. ชีพเป็นอื่น สรีระก็เป็นอื่น หรือ?
ป. ไม่พึงกล่าวอย่างนั้น ฯลฯ
[๑๘๒] ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาคมีปกติตรัสคำจริง ตรัสสมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง
ตรัสถูกต้อง ตรัสไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อนมิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า บุคคลผู้ปฏิบัติเพื่อเกื้อกูลแก่ตน มีอยู่ ๑-
ดังนี้ เป็นสูตรมีอยู่จริง มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ น่ะสิ
ป. ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาค มีปกติตรัสคำจริง ตรัสสมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง
ตรัสถูกต้อง ตรัสไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ?
ส. ถูกแล้ว
ป. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ดูกรภิกษุทั้งหลาย บุคคลคนเดียวเมื่อ
บังเกิดขึ้นในโลก ย่อมบังเกิดขึ้นเพื่อเกื้อกูลแก่คนมาก เพื่อความสุข
ของคนมาก เพื่อความอนุเคราะห์แก่โลก เพื่อประโยชน์ เพื่อเกื้อกูล
เพื่อความสุข ของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลายดังนี้ ๒- เป็นสูตรมีอยู่จริง
มิใช่หรือ?
@ ๑. อัง. จตุ. ข้อ ๙๖ หน้า ๑๒๕, อภิ. ปุ. ข้อ ๑๐ หน้า ๑๓๖
@ ๒. อํ. เอก. ข้อ ๑๓๙ หน้า ๒๘
ส. ถูกแล้ว
ป. ถ้าอย่างนั้น ก็หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ น่ะสิ
[๑๘๓] ส. หยั่งเห็นบุคคลโดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระผู้มีพระภาค มีปกติตรัสคำจริง ตรัสสมกาล ตรัสเรื่องที่เป็นจริง
ตรัสถูกต้อง ตรัสไม่ผิด ตรัสไม่คลาดเคลื่อน มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. พระผู้มีพระภาคได้ตรัสไว้ว่า ธรรมทั้งปวงเป็นอนัตตา ดังนี้ เป็นสูตร
มีอยู่จริง มิใช่หรือ?
ป. ถูกแล้ว
ส. ถ้าอย่างนั้น ก็ไม่พึงกล่าวว่า หยั่งเห็นบุคคลได้โดยสัจฉิกัตถปรมัตถ์ นะสิ