หากไม่ได้สอนอนุปุพพิกกถา ๕ เพื่อฟอกนิสัยของปุถุชนให้เป็นกัลยาณชนก่อนแล้ว
สอนอริยสัจ หรือนิพพานไปมีแต่เสียไม่มีได้
เพราะปุถุชน กิเลสหนา มีชีวิตอยู่กับกิเลสจะไม่เข้าใจเลย และไม่เห็นความจำเป็นของนิพพานอย่างแน่นอน
แค่เพียงบอกว่าสวรรค์ชั้นสูง อิ่มทิพย์ไม่ต้องกิน
พวกปุถุชนที่ยึดติดในรสชาด ในกลิ่นอาหาร ก็จะเห็นว่า อย่างนั้นสวรรค์ก็ไม่ดีสิอดกินของอร่อย จะเป็นสุขได้อย่างไร
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในความหิว ถึงจะเห็นค่า
หรือบอกว่าพรหม อยู่เป็นสุข ไม่ต้องเสพเพศรส กามมารมณ์
พวกปุถุชนที่ยึดติดในการเสพกาม เสพเมถุน ก็จะเห็นว่า พรหมไม่ดี อดเสพเมถุน จะเป็นสุขได้อย่างไร
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในกาม ถึงจะเห็นค่า
หรือบอกว่าอรูปพรหม อยู่เป็นสุขด้วยใจกับอารมณ์อย่างเดียวไม่ต้องมีรูปกายให้ระวังรักษา ไร้รูป
พวกปุถุชนที่ยึดติดในรูปที่สวยที่งดงาม ก็จะเห็นว่า อรูปพรหมไม่ดี เพราะไม่มีรูปที่น่ารักใคร่น่าพอใจให้ดู
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในรูป ถึงจะเห็นค่า
จะป่วยกล่าวไปใยถึงนิพพานเล่า
เพราะนิพพานเป็นความสงบอย่างยิ่ง กว่าสวรรค์, พรหม หรืออรูปพรหม
ปุถุชนทั้งหลายที่อยู่ในกิเลส เสพและหลงใหล ทั้งอาหาร ทั้งกาม ทั้งรูป จะไม่สามารถเห็นคุณค่าของนิพพานได้เลย
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในอาหาร ในกาม และในรูป เท่านั้นที่จะเห็นคุณค่าของนิพพาน
พระพุทธเจ้าจึงไม่สอนอริยสัจแก่ปุถุชน จนกว่าท่านจะสอนอนุปุพพิกกถา ๕ เพื่อฟอกนิสัยอันหนาออกเสียก่อน
หรือพิจารณาแล้วว่าผู้ถูกสอนมีพื้นฐานมาก่อน มีวิสัยพอที่จะรับอริยสัจได้
หลายครั้งที่ท่านไม่สอนพวกหัวดื้อต้องการจะเอาชนะพระพุทธเจ้า อยากเด่นอยากดังกว่าพระพุทธเจ้า ต้องการข่มขี่วาทะจับผิดพระพุทธเจ้า
เพื่อแค่โฆษณาหาประโยชน์ให้คนบูชานับถือตน ไม่ได้มีความต้องการพ้นทุกข์ หรือเข้าใจในเลยสักนิด
อย่างพราหมณ์มหาศาล อัญญเดียรถีย์ ปริพาชก หลายๆคนในอดีต และส่วนใหญ่จบไม่ดีทั้งนั้นครับ
และปัจจุบันก็ยังไม่หมดไป
สิ่งที่พวกนี้กล่าวปรามาสพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ โดยไม่ศึกษาไม่ดูเหตุผล ก็เคยมีมาแล้วในอดีตไม่ใช่เรื่องใหม่ และคำตอบก็มีอยู่แล้วแต่พวกนี้ก็ไม่ศึกษา ขอให้กุได้ด่าได้ว่าพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เพราะกุมีปมด้อยไม่รู้ว่าจะด่าใครดีเพราะด่าคนอื่น มันโต้ตอบกุได้กุกลัวแพ้
ก็เลยด่าพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เพราะปรินิพพานไปแล้วมาโต้ตอบกุไม่ได้ ด่าแล้วก็เท่ากับกุชนะเพราะไม่มีใครโต้แย้งได้
ระวังอย่าสอนอริยสัจ ๔ แก่ปุถุชน
สอนอริยสัจ หรือนิพพานไปมีแต่เสียไม่มีได้
เพราะปุถุชน กิเลสหนา มีชีวิตอยู่กับกิเลสจะไม่เข้าใจเลย และไม่เห็นความจำเป็นของนิพพานอย่างแน่นอน
แค่เพียงบอกว่าสวรรค์ชั้นสูง อิ่มทิพย์ไม่ต้องกิน
พวกปุถุชนที่ยึดติดในรสชาด ในกลิ่นอาหาร ก็จะเห็นว่า อย่างนั้นสวรรค์ก็ไม่ดีสิอดกินของอร่อย จะเป็นสุขได้อย่างไร
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในความหิว ถึงจะเห็นค่า
หรือบอกว่าพรหม อยู่เป็นสุข ไม่ต้องเสพเพศรส กามมารมณ์
พวกปุถุชนที่ยึดติดในการเสพกาม เสพเมถุน ก็จะเห็นว่า พรหมไม่ดี อดเสพเมถุน จะเป็นสุขได้อย่างไร
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในกาม ถึงจะเห็นค่า
หรือบอกว่าอรูปพรหม อยู่เป็นสุขด้วยใจกับอารมณ์อย่างเดียวไม่ต้องมีรูปกายให้ระวังรักษา ไร้รูป
พวกปุถุชนที่ยึดติดในรูปที่สวยที่งดงาม ก็จะเห็นว่า อรูปพรหมไม่ดี เพราะไม่มีรูปที่น่ารักใคร่น่าพอใจให้ดู
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในรูป ถึงจะเห็นค่า
จะป่วยกล่าวไปใยถึงนิพพานเล่า
เพราะนิพพานเป็นความสงบอย่างยิ่ง กว่าสวรรค์, พรหม หรืออรูปพรหม
ปุถุชนทั้งหลายที่อยู่ในกิเลส เสพและหลงใหล ทั้งอาหาร ทั้งกาม ทั้งรูป จะไม่สามารถเห็นคุณค่าของนิพพานได้เลย
มีแต่กัลยาณชนที่เห็นภัย เห็นทุกข์ในอาหาร ในกาม และในรูป เท่านั้นที่จะเห็นคุณค่าของนิพพาน
พระพุทธเจ้าจึงไม่สอนอริยสัจแก่ปุถุชน จนกว่าท่านจะสอนอนุปุพพิกกถา ๕ เพื่อฟอกนิสัยอันหนาออกเสียก่อน
หรือพิจารณาแล้วว่าผู้ถูกสอนมีพื้นฐานมาก่อน มีวิสัยพอที่จะรับอริยสัจได้
หลายครั้งที่ท่านไม่สอนพวกหัวดื้อต้องการจะเอาชนะพระพุทธเจ้า อยากเด่นอยากดังกว่าพระพุทธเจ้า ต้องการข่มขี่วาทะจับผิดพระพุทธเจ้า
เพื่อแค่โฆษณาหาประโยชน์ให้คนบูชานับถือตน ไม่ได้มีความต้องการพ้นทุกข์ หรือเข้าใจในเลยสักนิด
อย่างพราหมณ์มหาศาล อัญญเดียรถีย์ ปริพาชก หลายๆคนในอดีต และส่วนใหญ่จบไม่ดีทั้งนั้นครับ
และปัจจุบันก็ยังไม่หมดไป
สิ่งที่พวกนี้กล่าวปรามาสพระพุทธเจ้าและพระโพธิสัตว์ โดยไม่ศึกษาไม่ดูเหตุผล ก็เคยมีมาแล้วในอดีตไม่ใช่เรื่องใหม่ และคำตอบก็มีอยู่แล้วแต่พวกนี้ก็ไม่ศึกษา ขอให้กุได้ด่าได้ว่าพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เพราะกุมีปมด้อยไม่รู้ว่าจะด่าใครดีเพราะด่าคนอื่น มันโต้ตอบกุได้กุกลัวแพ้
ก็เลยด่าพระพุทธเจ้าไว้ก่อน เพราะปรินิพพานไปแล้วมาโต้ตอบกุไม่ได้ ด่าแล้วก็เท่ากับกุชนะเพราะไม่มีใครโต้แย้งได้