มนุษย์ทุกคนนั้นปกติอยากได้ความสุข แต่เกลียดกลัวความทุกข์ (คือความเศร้าโศก ความเสียใจ ความคับแค้นใจ ความรู้สึกทรมานใจ ความแห้งเหี่ยวใจ ความไม่สบายใจ เป็นต้น)
ความสุขนั้นเราต้องแยกให้ออกว่า ความสุขมี ๒ อย่าง คือความสุขทางเนื้อหนัง กับ ความสุขทางใจ
ความสุขทางเนื้อหนัง คือความสุขที่ได้จากการเสพวัตถุนิยม (คือรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัสกาย) ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
ความสุขทางใจ คือความสุขที่เกิดมาจากการทำความดี เช่น เมื่อเราได้ช่วยเหลือคนหรือสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เราก็จะเกิดความสุขใจ หรือเกิดความอิ่มเอมใจ ขึ้นมาทันที
ถึงแม้เราจะร่ำรวยมากมายและมีความสุขทางเนื้อหนังอย่างมากมายก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ทำความดี ใจมันก็ไม่เป็นสุข (จริงหรือไม่?) ถ้ายิ่งเราไปทำความผิดหรือชั่วเข้า (คือเบียดเบียนหรือเอารัดเอาเปรียบคนหรือสัตว์อื่น) ใจมันก็จะยิ่งไม่สบายหรือเครียด หรือร้อนใจ อยู่เสมอๆ จนหาความสุขทางใจไม่ได้ตลอดทั้งวัน
ความสุขจากวัตถุนิยมนั้นเมื่อเสพมากๆย่อมจะมีโทษกลับมามากมายสู่ผู้เสพในภายหลัง ทั้งแก่ร่างกายและแก่ครอบครัว สังคม ประเทศชาติและแม้โลก เช่น ถ้ากินมากๆก็เกิดโรคมากมาย มีเซ็กส์มากๆก็เกิดโรคติดต่อร้ายแรง เสพวัตถุมากๆก็ทำให้เกิดมลภาวะทางดิน น้ำ อากาศ อุณหภูมิ เป็นต้น กลับมาสู่คนเสพเองและมนุษย์โดยรวม (เรียกว่าบาปสาธารณะ) และที่สำคัญเมื่อถึงเวลาที่ร่างกายแก่ เจ็บ หรือกำลังจะตาย หรือคนหรือสิ่งที่รักได้จากไป หรือเมื่อต้องประสบกับคนหรือสิ่งที่ไม่รัก และเมื่ออยากจะได้สิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นตามที่อยากจะได้ คราวนี้ความทุกข์ใจอย่างมหันต์ก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง แม้จะมีเงินทองหรืออำนาจมากมายก็ช่วยไม่ได้
เมื่อใจไม่เป็นสุข (ไม่สบายใจ) เราก็จะเกิดความเครียด จนต้องไปเสพสิ่งเสพติด เช่น เหล้า บุหรี่ วัตถุฟุ่มเฟือย อบายมุข และยาเสพติดทั้งหลาย เป็นต้น เพื่อบรรเทาความเครียดหรือความไม่สบายใจที่คอยตามกัดกินจิตใจของเราอยู่ตลอดทั้งวัน จนทำให้เกิดโทษแก่ร่างกายตามมาอีก
ความสุขทางใจนั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีโทษน้อย (หรือไม่มีโทษเลยถ้าไม่ยึดติด) รวมทั้งยังเป็นพื้นฐานให้จิตมีความปกติสุข (มีศีล) ที่สามารฝึกจิตให้มีสมาธิได้ง่าย เมื่อจิตมีสมาธิแล้วก็สามาาถพิจารณาชีวิตให้เกิดปัญญาเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตได้ เมื่อมีปัญญาและสมาธิแล้ว ก็จะทำให้จิตของเราหลุดพ้นจากความยึดติด (หรือยึดถือ) ในชีวิตและโลกได้ (แม้เพียงชั่วคราวหรือทำให้เบาบางลงได้อย่างมาก)
เมื่อไม่มีความยึดถือ จิตก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อไม่มีความทุกข์ มันก็สงบเย็น หรือนิพพาน (แม้เพียงชั่วคราว) นิพพานจึงเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับทุกชีวิต แม้ใครจะไม่ชื่นชอบก็ตาม ถ้าไม่มีนิพพานชั่วคราว มาหล่อเลี้ยงจิตใจเอาไว้ เราก็คงจะเป็นบ้าตายกันไปหมดแล้วเพราะถูกกิเลสและความทุกข์แผดเผาอยู่ตลอดทั้งวัน
ส่วนเรื่องนิพพานในชาติหน้านั้นเป็นแค่ความเชื่อ อย่าไปสนใจ เพราะไม่ได้ช่วยให้ชีวิตมีความสงบสุขหรือหลุดพ้นจากความทุกข์ในชีวิตจริงในปัจจุบันได้เลย มีแต่หลอกให้อุ่นใจไปวันๆว่าจะได้นิพพานเอาในอีกหมื่นชาติแสนชาติเท่านั้น
แม้เรื่องการทำบุญแล้วได้ขึ้นสวรรค์บนฟ้าก็เหมือนกัน คือมันก็ทำให้แค่สบายใจว่าจะได้ขึ้นสวรรค์บนฟ้าเมื่อตายแล้วเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคนที่รับบุญ (เงิน) นั่นเองที่ได้สวรรค์ (ความสุขทางวัตถุนิม) ในปัจจุบัน
นิพพานในปัจจุบัน คือสิ่งสูงสุดสำหรับชีวิต
ความสุขนั้นเราต้องแยกให้ออกว่า ความสุขมี ๒ อย่าง คือความสุขทางเนื้อหนัง กับ ความสุขทางใจ
ความสุขทางเนื้อหนัง คือความสุขที่ได้จากการเสพวัตถุนิยม (คือรูป เสียง กลิ่น รส และสิ่งสัมผัสกาย) ผ่านทางตา หู จมูก ลิ้น และกาย
ความสุขทางใจ คือความสุขที่เกิดมาจากการทำความดี เช่น เมื่อเราได้ช่วยเหลือคนหรือสัตว์ที่ตกทุกข์ได้ยาก เราก็จะเกิดความสุขใจ หรือเกิดความอิ่มเอมใจ ขึ้นมาทันที
ถึงแม้เราจะร่ำรวยมากมายและมีความสุขทางเนื้อหนังอย่างมากมายก็ตาม แต่ถ้าเราไม่ทำความดี ใจมันก็ไม่เป็นสุข (จริงหรือไม่?) ถ้ายิ่งเราไปทำความผิดหรือชั่วเข้า (คือเบียดเบียนหรือเอารัดเอาเปรียบคนหรือสัตว์อื่น) ใจมันก็จะยิ่งไม่สบายหรือเครียด หรือร้อนใจ อยู่เสมอๆ จนหาความสุขทางใจไม่ได้ตลอดทั้งวัน
ความสุขจากวัตถุนิยมนั้นเมื่อเสพมากๆย่อมจะมีโทษกลับมามากมายสู่ผู้เสพในภายหลัง ทั้งแก่ร่างกายและแก่ครอบครัว สังคม ประเทศชาติและแม้โลก เช่น ถ้ากินมากๆก็เกิดโรคมากมาย มีเซ็กส์มากๆก็เกิดโรคติดต่อร้ายแรง เสพวัตถุมากๆก็ทำให้เกิดมลภาวะทางดิน น้ำ อากาศ อุณหภูมิ เป็นต้น กลับมาสู่คนเสพเองและมนุษย์โดยรวม (เรียกว่าบาปสาธารณะ) และที่สำคัญเมื่อถึงเวลาที่ร่างกายแก่ เจ็บ หรือกำลังจะตาย หรือคนหรือสิ่งที่รักได้จากไป หรือเมื่อต้องประสบกับคนหรือสิ่งที่ไม่รัก และเมื่ออยากจะได้สิ่งใดแล้วไม่ได้สิ่งนั้นตามที่อยากจะได้ คราวนี้ความทุกข์ใจอย่างมหันต์ก็จะเกิดขึ้นอย่างไม่มีทางหลีกเลี่ยง แม้จะมีเงินทองหรืออำนาจมากมายก็ช่วยไม่ได้
เมื่อใจไม่เป็นสุข (ไม่สบายใจ) เราก็จะเกิดความเครียด จนต้องไปเสพสิ่งเสพติด เช่น เหล้า บุหรี่ วัตถุฟุ่มเฟือย อบายมุข และยาเสพติดทั้งหลาย เป็นต้น เพื่อบรรเทาความเครียดหรือความไม่สบายใจที่คอยตามกัดกินจิตใจของเราอยู่ตลอดทั้งวัน จนทำให้เกิดโทษแก่ร่างกายตามมาอีก
ความสุขทางใจนั้นเป็นสิ่งที่ดีและมีโทษน้อย (หรือไม่มีโทษเลยถ้าไม่ยึดติด) รวมทั้งยังเป็นพื้นฐานให้จิตมีความปกติสุข (มีศีล) ที่สามารฝึกจิตให้มีสมาธิได้ง่าย เมื่อจิตมีสมาธิแล้วก็สามาาถพิจารณาชีวิตให้เกิดปัญญาเข้าใจและเห็นแจ้งชีวิตได้ เมื่อมีปัญญาและสมาธิแล้ว ก็จะทำให้จิตของเราหลุดพ้นจากความยึดติด (หรือยึดถือ) ในชีวิตและโลกได้ (แม้เพียงชั่วคราวหรือทำให้เบาบางลงได้อย่างมาก)
เมื่อไม่มีความยึดถือ จิตก็จะไม่มีความทุกข์ เมื่อไม่มีความทุกข์ มันก็สงบเย็น หรือนิพพาน (แม้เพียงชั่วคราว) นิพพานจึงเป็นสิ่งสูงสุดสำหรับทุกชีวิต แม้ใครจะไม่ชื่นชอบก็ตาม ถ้าไม่มีนิพพานชั่วคราว มาหล่อเลี้ยงจิตใจเอาไว้ เราก็คงจะเป็นบ้าตายกันไปหมดแล้วเพราะถูกกิเลสและความทุกข์แผดเผาอยู่ตลอดทั้งวัน
ส่วนเรื่องนิพพานในชาติหน้านั้นเป็นแค่ความเชื่อ อย่าไปสนใจ เพราะไม่ได้ช่วยให้ชีวิตมีความสงบสุขหรือหลุดพ้นจากความทุกข์ในชีวิตจริงในปัจจุบันได้เลย มีแต่หลอกให้อุ่นใจไปวันๆว่าจะได้นิพพานเอาในอีกหมื่นชาติแสนชาติเท่านั้น
แม้เรื่องการทำบุญแล้วได้ขึ้นสวรรค์บนฟ้าก็เหมือนกัน คือมันก็ทำให้แค่สบายใจว่าจะได้ขึ้นสวรรค์บนฟ้าเมื่อตายแล้วเท่านั้น แต่ก็ไม่รู้ว่ามีจริงหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆคนที่รับบุญ (เงิน) นั่นเองที่ได้สวรรค์ (ความสุขทางวัตถุนิม) ในปัจจุบัน