ธรรมดากิเลสมันไม่ได้ว่านะว่าโลกนี้เป็น อนิจฺจํ มันบังคับให้เป็น นิจฺจํ ให้เป็น สุขํให้เป็นอตฺตา ไปหมดทั้งโลกธาตุ
นี่เป็นเรื่องของกิเลส มันปลอมเต็มตัวของมันเช่นนี้ เรื่องธรรมแยกไปตามความจริงอย่างเต็มภูมิ
ในร่างกายนี้มันเป็น อนิจฺจํ หมดทั้งร่างเลย มันแปรอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคนตายแล้วยิ่งเห็นได้ชัด
เอาไว้ประมาณสัก ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้นเริ่มส่งกลิ่นคลุ้งไปแล้ว ก้าวเข้ามาในบ้านในวงศพนั้นจะไม่ได้เสียแล้ว
ทั้งๆ ที่คนๆ นี้แต่ก่อนราวกับเป็นเทวดา แล้วกลายเป็นป่าช้าผีดิบบนบ้านให้เห็นอย่างชัดเจน
ถ้าพิจารณาตามหลักความจริงแล้ว ทำไมจะไม่ย้อนถึงตัวเราผู้ที่ยังไม่ตายไปเห็นศพที่ตายแล้วได้ นี่เรียกว่าปัญญา
พิจารณาคลี่คลายออกไป กำหนดให้เน่าไปทั้งๆ ที่ไม่ตายนี้แล
เพราะมันจะตายแน่ๆ ข่ายคือปัญญากางไว้ข้างหน้า ดักมันไว้ให้หมด
เอ้า สมมุติขึ้นว่าตาย มันยังไม่ตายมันก็ต้องตายแท้ ๆ ปัญญาหยั่งทราบไว้หมด กำหนดตัวของเราตาย
หรือกำหนดตัวของเขาตายอยู่ต่อหน้าเรานั่นแหละ แล้วเป็นยังไงศพคนตายต้องขึ้นอืดและเน่าพอง
จากเน่าพองแล้วก็ระเบิดตัวออกมา แล้วดูอาการไหนดูได้ไหม ดูไม่ได้หมดทั้งร่างเลย น่าสะอิดสะเอียน
นอกจากนั้นยังน่ากลัวเสียอีก
นี่คือความจริงขั้นหนึ่ง
จากนั้นก็กำหนดกระจายลงไป ส่วนที่เป็นน้ำก็กลายเป็นน้ำตามธรรมชาติของมัน
ส่วนที่เป็นดินก็กลายสภาพลงไปเป็นดินตามสภาพของมัน เป็นลม เป็นไฟก็ไปตามสภาพของตนเอง
นี่ก็เป็นความจริงขั้นหนึ่งของปัญญาที่พิจารณาให้ถึงความจริงตามขั้นที่กล่าวมา หลายครั้งหลายหน
ถือว่าเป็นงานของตนในภาคปฏิบัติ
ไม่ต้องไปคิดให้กิเลสมันหลอกว่า ได้พิจารณาแล้วหลายครั้งหลายหน นี่เป็นความหลอกของกิเลส
หลายครั้งหรือไม่หลายครั้งก็ตาม เมื่อยังไม่เข้าใจต้องพิจารณาจนเข้าใจ
เช่นเดียวกับเรารับประทานอาหาร จะนั่งรับประทานนานไม่นานไม่สำคัญ สำคัญที่ความอิ่ม อิ่มเมื่อไรก็หยุดได้
ถ้ายังไม่อิ่มหยุดไม่ได้ เพราะธาตุยังไม่พอกับความต้องการ นี่ความจริงยังไม่พอกับความต้องการ
ต้องพิจารณาให้พอจนถึงความจริง เมื่อถึงความจริงในขั้นใดแล้วย่อมพอตัว เช่น การพิจารณาร่างกายดังที่กล่าวมา
เมื่อถึงความจริงเต็มส่วนของรูปขันธ์ได้แก่ร่างกายนี้แล้ว จิตย่อมถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกาย
พร้อมกันกับความรู้แจ้งแทงทะลุในกาย ทั้งเป็นฝ่ายอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งเป็นฝ่ายอสุภะอสุภังตลอดทั่วถึงหมด
นี่เรียกว่าปัญญาขั้นหนึ่ง
....................................
เราก็ไม่เสียดายและไม่เสียใจย้อนหลังว่า ความเพียรหักโหมเกินไป ยังปลื้มใจอีกด้วยเมื่อนึกย้อนหลังแต่ละครั้ง
ว่ามันต้องอย่างนั้นจึงพอดีกับกิเลสตัวดื้อๆ ตัวผาดโผนเวลามันเรืองอำนาจบนหัวใจเรา
แต่ความอัศจรรย์จากความทุกข์มันคุ้มค่ากันนะซิ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นมันก็ไม่เห็นแดนแห่งความอัศจรรย์
แต่ละครั้งๆ เวลาจิตสงบเต็มที่อะไรๆ มันหมดจริงๆ มันแปลกจริงๆ ความรู้นี่นะ
คือทุกสิ่งทุกอย่างหมดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดก็พูดไม่ถูกนะ
คำว่าละเอียดมันก็เลยเป็นสองไปเสีย ถ้าเราแย็บออกมาว่าละเอียด
มันสักแต่ว่ารู้เท่านั้น ถ้าว่าละเอียดก็ละเอียดขนาดนั้นนะจิตนี้
คำว่าสักแต่ว่ารู้กับความอัศจรรย์เป็นอันเดียวกัน ร่างกายก็หมดในความรู้สึกเวลานั้นไม่เกี่ยวกันเลย ไม่ต้องพูดถึงสิ่งภายนอก
แผ่นดินทั้งแผ่นไม่ต้องพูดแหละ และสิ่งที่เกิดอยู่กับแผ่นดินทั้งแผ่นนี้เราก็ไม่ต้องพูด คิดดูตั้งแต่ร่างกายมันไม่เห็นมีอะไรเลย
มันสักแต่ว่ารู้ขณะจิตรวมสนิทเต็มภูมิ
นี่หมายถึงเวลามันฟัดกันเต็มที่นะ ตะลุมบอนกันแบบเอาเป็นเอาตายเข้าแลก บทเวลามันได้ชัยชนะและรวมสงบลง
มันผ่านขันธ์ได้หมดด้วยอำนาจของปัญญาฟาดฟันกันลงไปๆ จนไม่มีอะไรเกาะเกี่ยวกันแล้ว
หายเงียบไปเลยนี่ซิมันอัศจรรย์ และมันหมดจริงๆ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเหลือเลย
มีแต่ผู้รู้อันเดียว และคำว่าผู้รู้อันนี้จะว่ารู้เด่นๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้นะ เราเอาออกมาพูดได้อย่างเต็มปากก็คือ
สักแต่ว่ารู้และอัศจรรย์เกินคาด ทั้งๆ ที่เวลานั้นอวิชชายังครอบหัวมันอยู่นะ
แต่เราไม่เคยสนใจพิจารณาอวิชชาตอนนั้น
เทียบกันได้ว่ากินข้าวทั้งกาก เคี้ยวอาหารทั้งกระดูกทั้งก้างก็ยังอร่อยนะ
นี่มันเป็นขั้นๆ เมื่อต่อจากขั้นนี้แล้วก็พูดไม่ได้พูดไม่ถูก ขั้นนั้นก็ว่าอัศจรรย์เกินคาดแล้ว ขั้นกินข้าวทั้งกาก
คืออวิชชามันอยู่ในนั้น เคี้ยวมันทั้งอวิชชา ความจริงมันเคี้ยวตายอะไร
ไม่เห็นได้พิจารณามันสักนิดหนึ่งจะว่าเคี้ยวมันยังไง ไม่ได้เคี้ยว มีแต่อวิชชากล่อมให้หลง
สำคัญว่าเป็นของอัศจรรย์ๆ พูดพลิกไปหลายด้าน
-------------------------------------
ศาสนาคือน้ำดับไฟ - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
อ่านเนื้อหาเต็มได้จาก
http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=937&CatID=3
ไม่ต้องไปคิดให้กิเลสมันหลอกว่า ได้พิจารณาแล้วหลายครั้งหลายหน นี่เป็นความหลอกของกิเลส
ธรรมดากิเลสมันไม่ได้ว่านะว่าโลกนี้เป็น อนิจฺจํ มันบังคับให้เป็น นิจฺจํ ให้เป็น สุขํให้เป็นอตฺตา ไปหมดทั้งโลกธาตุ
นี่เป็นเรื่องของกิเลส มันปลอมเต็มตัวของมันเช่นนี้ เรื่องธรรมแยกไปตามความจริงอย่างเต็มภูมิ
ในร่างกายนี้มันเป็น อนิจฺจํ หมดทั้งร่างเลย มันแปรอยู่ตลอดเวลา ยิ่งคนตายแล้วยิ่งเห็นได้ชัด
เอาไว้ประมาณสัก ๒๔ ชั่วโมงเท่านั้นเริ่มส่งกลิ่นคลุ้งไปแล้ว ก้าวเข้ามาในบ้านในวงศพนั้นจะไม่ได้เสียแล้ว
ทั้งๆ ที่คนๆ นี้แต่ก่อนราวกับเป็นเทวดา แล้วกลายเป็นป่าช้าผีดิบบนบ้านให้เห็นอย่างชัดเจน
ถ้าพิจารณาตามหลักความจริงแล้ว ทำไมจะไม่ย้อนถึงตัวเราผู้ที่ยังไม่ตายไปเห็นศพที่ตายแล้วได้ นี่เรียกว่าปัญญา
พิจารณาคลี่คลายออกไป กำหนดให้เน่าไปทั้งๆ ที่ไม่ตายนี้แล
เพราะมันจะตายแน่ๆ ข่ายคือปัญญากางไว้ข้างหน้า ดักมันไว้ให้หมด
เอ้า สมมุติขึ้นว่าตาย มันยังไม่ตายมันก็ต้องตายแท้ ๆ ปัญญาหยั่งทราบไว้หมด กำหนดตัวของเราตาย
หรือกำหนดตัวของเขาตายอยู่ต่อหน้าเรานั่นแหละ แล้วเป็นยังไงศพคนตายต้องขึ้นอืดและเน่าพอง
จากเน่าพองแล้วก็ระเบิดตัวออกมา แล้วดูอาการไหนดูได้ไหม ดูไม่ได้หมดทั้งร่างเลย น่าสะอิดสะเอียน
นอกจากนั้นยังน่ากลัวเสียอีก นี่คือความจริงขั้นหนึ่ง
จากนั้นก็กำหนดกระจายลงไป ส่วนที่เป็นน้ำก็กลายเป็นน้ำตามธรรมชาติของมัน
ส่วนที่เป็นดินก็กลายสภาพลงไปเป็นดินตามสภาพของมัน เป็นลม เป็นไฟก็ไปตามสภาพของตนเอง
นี่ก็เป็นความจริงขั้นหนึ่งของปัญญาที่พิจารณาให้ถึงความจริงตามขั้นที่กล่าวมา หลายครั้งหลายหน
ถือว่าเป็นงานของตนในภาคปฏิบัติ
ไม่ต้องไปคิดให้กิเลสมันหลอกว่า ได้พิจารณาแล้วหลายครั้งหลายหน นี่เป็นความหลอกของกิเลส
หลายครั้งหรือไม่หลายครั้งก็ตาม เมื่อยังไม่เข้าใจต้องพิจารณาจนเข้าใจ
เช่นเดียวกับเรารับประทานอาหาร จะนั่งรับประทานนานไม่นานไม่สำคัญ สำคัญที่ความอิ่ม อิ่มเมื่อไรก็หยุดได้
ถ้ายังไม่อิ่มหยุดไม่ได้ เพราะธาตุยังไม่พอกับความต้องการ นี่ความจริงยังไม่พอกับความต้องการ
ต้องพิจารณาให้พอจนถึงความจริง เมื่อถึงความจริงในขั้นใดแล้วย่อมพอตัว เช่น การพิจารณาร่างกายดังที่กล่าวมา
เมื่อถึงความจริงเต็มส่วนของรูปขันธ์ได้แก่ร่างกายนี้แล้ว จิตย่อมถอดถอนความยึดมั่นถือมั่นในกาย
พร้อมกันกับความรู้แจ้งแทงทะลุในกาย ทั้งเป็นฝ่ายอนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา ทั้งเป็นฝ่ายอสุภะอสุภังตลอดทั่วถึงหมด
นี่เรียกว่าปัญญาขั้นหนึ่ง
....................................
เราก็ไม่เสียดายและไม่เสียใจย้อนหลังว่า ความเพียรหักโหมเกินไป ยังปลื้มใจอีกด้วยเมื่อนึกย้อนหลังแต่ละครั้ง
ว่ามันต้องอย่างนั้นจึงพอดีกับกิเลสตัวดื้อๆ ตัวผาดโผนเวลามันเรืองอำนาจบนหัวใจเรา
แต่ความอัศจรรย์จากความทุกข์มันคุ้มค่ากันนะซิ ถ้าไม่ถึงขนาดนั้นมันก็ไม่เห็นแดนแห่งความอัศจรรย์
แต่ละครั้งๆ เวลาจิตสงบเต็มที่อะไรๆ มันหมดจริงๆ มันแปลกจริงๆ ความรู้นี่นะ
คือทุกสิ่งทุกอย่างหมดในโลกนี้ไม่มีอะไรเหลือเลย เหลือแต่ความรู้ที่ละเอียดก็พูดไม่ถูกนะ
คำว่าละเอียดมันก็เลยเป็นสองไปเสีย ถ้าเราแย็บออกมาว่าละเอียด มันสักแต่ว่ารู้เท่านั้น ถ้าว่าละเอียดก็ละเอียดขนาดนั้นนะจิตนี้
คำว่าสักแต่ว่ารู้กับความอัศจรรย์เป็นอันเดียวกัน ร่างกายก็หมดในความรู้สึกเวลานั้นไม่เกี่ยวกันเลย ไม่ต้องพูดถึงสิ่งภายนอก
แผ่นดินทั้งแผ่นไม่ต้องพูดแหละ และสิ่งที่เกิดอยู่กับแผ่นดินทั้งแผ่นนี้เราก็ไม่ต้องพูด คิดดูตั้งแต่ร่างกายมันไม่เห็นมีอะไรเลย
มันสักแต่ว่ารู้ขณะจิตรวมสนิทเต็มภูมิ
นี่หมายถึงเวลามันฟัดกันเต็มที่นะ ตะลุมบอนกันแบบเอาเป็นเอาตายเข้าแลก บทเวลามันได้ชัยชนะและรวมสงบลง
มันผ่านขันธ์ได้หมดด้วยอำนาจของปัญญาฟาดฟันกันลงไปๆ จนไม่มีอะไรเกาะเกี่ยวกันแล้ว
หายเงียบไปเลยนี่ซิมันอัศจรรย์ และมันหมดจริงๆ ปรากฏว่าไม่มีอะไรเหลือเลย
มีแต่ผู้รู้อันเดียว และคำว่าผู้รู้อันนี้จะว่ารู้เด่นๆ อย่างนี้ก็ไม่ได้นะ เราเอาออกมาพูดได้อย่างเต็มปากก็คือ
สักแต่ว่ารู้และอัศจรรย์เกินคาด ทั้งๆ ที่เวลานั้นอวิชชายังครอบหัวมันอยู่นะ
แต่เราไม่เคยสนใจพิจารณาอวิชชาตอนนั้น
เทียบกันได้ว่ากินข้าวทั้งกาก เคี้ยวอาหารทั้งกระดูกทั้งก้างก็ยังอร่อยนะ
นี่มันเป็นขั้นๆ เมื่อต่อจากขั้นนี้แล้วก็พูดไม่ได้พูดไม่ถูก ขั้นนั้นก็ว่าอัศจรรย์เกินคาดแล้ว ขั้นกินข้าวทั้งกาก
คืออวิชชามันอยู่ในนั้น เคี้ยวมันทั้งอวิชชา ความจริงมันเคี้ยวตายอะไร
ไม่เห็นได้พิจารณามันสักนิดหนึ่งจะว่าเคี้ยวมันยังไง ไม่ได้เคี้ยว มีแต่อวิชชากล่อมให้หลง
สำคัญว่าเป็นของอัศจรรย์ๆ พูดพลิกไปหลายด้าน
-------------------------------------
ศาสนาคือน้ำดับไฟ - พระธรรมเทศนาโดย หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน
เทศน์อบรมพระ ณ วัดป่าบ้านตาด เมื่อวันที่ ๒๓ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๒๔
อ่านเนื้อหาเต็มได้จาก http://www.luangta.com/thamma/thamma_talk_text.php?ID=937&CatID=3