สมมุติสงฆ์
อ่านว่า สม-มุด-ติ-สง
บาลีเป็น “สมฺมุติสงฺฆ” อ่านว่า สำ-มุ-ติ-สัง-คะ
ประกอบด้วย สมฺมุติ + สงฺฆ
(๑)
“สมฺมุติ”
รากศัพท์มาจาก สํ (พร้อมกัน, ร่วมกัน) + มุติ
“มุติ” มาจาก มุ (ธาตุ = รู้) + ติ ปัจจัย : มุ + ติ = มุติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้” หมายถึง ญาณ, ปัญญา, ความรู้, ความเข้าใจ, สติปัญญา, การกำหนดรู้โดยทางประสาท, ประสบการณ์
สํ + มุติ แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น มฺ : สํ > สมฺ + มุติ = สมฺมุติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้พร้อมกัน” คือ รับรู้ร่วมกัน, ยอมรับร่วมกัน
คำว่า “สมฺมุติ” อาจมีรูปคำเป็น “สมฺมต” (สำ-มะ-ตะ) หรือ “สมฺมติ” (สำ-มะ-ติ) ได้อีก มีความหมายในทำนองเดียวกัน
ภาษาไทยใช้เป็น -
: สมมต อ่านว่า สม-มด
: สมมติ อ่านว่า สม-มด ถ้ามีคำอื่นมาสมาสท้าย อ่านว่า สม-มด-ติ-
: สมมุติ อ่านว่า สม-มุด ถ้ามีคำอื่นมาสมาสท้าย อ่านว่า สม-มุด-ติ-
อย่างไรก็ตาม เสียงที่ได้ยินพูดกันมากที่สุดคือ สม-มุด = สมมุติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้สมมต, สมมติ, สมมุติ พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถาน พ.ศ.2554 บอกความหมายไว้ว่า -
(1) “รู้สึกนึกเอาว่า” เช่น สมมติให้ตุ๊กตาเป็นน้อง
(2) “ต่างว่า, ถือเอาว่า” เช่น สมมุติว่าได้มรดกสิบล้าน จะบริจาคช่วยคนยากจน สมมุติว่าถูกสลากกินแบ่งรางวัลที่ ๑ จะไปเที่ยวรอบโลก
(3) “ยอมรับตกลงกันเองโดยปริยาย โดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง” เช่น สมมติเทพ
(๒)
“สงฆ์” บาลีเป็น “สงฺฆ” อ่านว่า สัง-คะ
“สงฺฆ” รากศัพท์มาจาก สํ (พร้อมกัน, ร่วมกัน) + หนฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อ ปัจจัย, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น ง, แปลง หนฺ เป็น ฆ
: สํ > สงฺ + หนฺ > ฆ + อ = สงฺฆ แปลตามศัพท์ว่า
(1) “หมู่เป็นที่ไปรวมกันแห่งส่วนย่อยโดยไม่แปลกกัน”
(2) “หมู่ที่รวมกันโดยมีความเห็นและศีลเสมอกัน”
สมมุติ + สงฺฆ = สมมุติสงฺฆ > สมมุติสงฆ์ แปลตามประสงค์ว่า “ผู้เป็นสงฆ์โดยสมมุติ”
หมายความว่า เป็นผู้ที่สังคมยอมรับตกลงกันเองโดยปริยายว่าเป็น “สงฆ์” โดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง
“สมมุติสงฆ์” มักใช้เมื่อกล่าวเทียบกับ “อริยสงฆ์” ทั้งนี้แสดงนัยว่า
“สงฆ์” ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นคือพระอริยบุคล (ผู้บรรลุภูมิธรรมตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป)
หรือ “สาวกสงฆ์” นั่นคือหมายถึงสงฆ์อันเป็น 1 ในรัตนะ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า แม้ภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนก็มีสถานะเป็น “สงฆ์” ได้ด้วย โดยเป็น “สมมุติสงฆ์” คือ “ผู้เป็นสงฆ์โดยสมมุติ”
การเคารพในสมมุติสงฆ์โดยตั้งจิตระลึกถึงอริยสงฆ์ ท่านว่ามีผลเท่ากับได้ปฏิบัติเช่นนั้นต่ออริยสงฆ์โดยตรง
ดังพระพุทธพจน์ในทักขิณาวิภังคสูตร
1ว่า
“ดูก่อนอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีความชั่วช้าเป็นปกติ
คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
ดูก่อนอานนท์ ทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้นเราก็กล่าวว่ามีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้
แต่ว่าเราไม่กล่าวว่าปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไร ๆ เลย”
คำว่า “ภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ” นี่เองคือเราพูดถึงกันว่า เป็นสงฆ์ชนิด “ผ้าเหลืองน้อยห้อยหู” อันเป็นชั้นต่ำสุดของสมมุติสงฆ์
แม้ถึงเช่นนั้นก็ยังตรัสว่า ทานที่ถวายแก่สงฆ์ชนิดนั้น
โดยระลึกถึงอริยสงฆ์ยังมีผลมากกว่าที่ถวายเฉพาะเจาะจงแม้แก่พระพุทธเจ้า
☆☆☆☆
อริยสงฆ์ (หรือพระอริยะ)
(๑) “อริย” อ่านว่า อะ-ริ-ยะ รากศัพท์มาจาก -
(1) อรห = “ผู้ฆ่าข้าศึกคือกิเลส”, แปลง อ ที่ ร และ ห เป็น อิย
: (อร + อห = ) อรห : อห > อิย : อร + อิย = อริย แปลเท่ากับคำว่า “อรห” คือ “ผู้ฆ่าข้าศึกคือกิเลส”
(2) อรฺ (ธาตุ = ถึง, บรรลุ) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ, ลง อิ อาคม
: อรฺ + อิ = อริ + ณฺย > ย = อริย แปลว่า “ผู้บรรลุธรรมคือมรรคและผล”
(3) อารก = “ผู้ไกลจากกิเลส”, แปลง อารก เป็น อริย แปลเท่ากับคำว่า “อารก” คือ “ผู้ไกลจากกิเลส”
(4) อรฺ (ธาตุ = ถึง, บรรลุ) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ, ลง อิ อาคม [เหมือน (2)] แปลว่า “ผู้อันชาวโลกพึงเข้าถึง”
(5) อริย = “ผลอันประเสริฐ” + ณ ปัจจัย, ลบ ณ
: อริย + ณ = อริย แปลว่า “ผู้ยังชาวโลกให้ได้รับผลอันประเสริฐ”
สรุปว่า “อริย” แปลว่า -
(1) ผู้ฆ่าข้าศึกคือกิเลส
(2) ผู้บรรลุธรรมคือมรรคและผล
(3) ผู้ไกลจากกิเลส
(4) ผู้อันชาวโลกพึงเข้าไปใกล้
(5) ผู้ยังชาวโลกให้ได้รับผลอันประเสริฐ
“สงฆ์” ในพระพุทธศาสนามีความหมาย 2 อย่าง คือ -
(1) “สาวกสงฆ์” หมายถึงหมู่สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ได้บรรลุธรรมในภูมิอริยบุคคลคือเป็นพระโสดาบันขึ้นไป
ดังคำสวดในสังฆคุณที่ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ
(2) “ภิกขุสงฆ์” หมายถึงชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ตามกำหนดทางพระวินัย
บางทีเรียกอย่างแรกว่า “อริยสงฆ์” อย่างหลังว่า “สมมติสงฆ์”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้พจนานุกรมพุทธศาสน์ ฉบับประมวลศัพท์ ของท่าน ป.อ.ปยุตฺโต แสดงจำนวน “ภิกขุสงฆ์” ตามข้อ (2) ที่ชาวพุทธควรทราบไว้เป็นหลักความรู้ เช่น -
(1) สงฆ์จตุรวรรค = “สงฆ์พวกสี่” คือ ต้องมีภิกษุ 4 รูปขึ้นไป ทำกรรมได้ทุกอย่างเว้นปวารณา ให้ผ้ากฐิน อุปสมบท และอัพภาน
(2) สงฆ์ปัญจวรรค = “สงฆ์พวกห้า” คือ ต้องมีภิกษุ 5 รูปขึ้นไป ทำปวารณา ให้ผ้ากฐิน และอุปสมบทในถิ่นที่ขาดแคลนภิกษุได้
(3) สงฆ์ทศวรรค = “สงฆ์พวกสิบ” คือ ต้องมีภิกษุ 10 รูปขึ้นไป ให้อุปสมบทในถิ่นที่มีภิกษุมากได้
(4) สงฆ์วีสติวรรค = “สงฆ์พวกยี่สิบ” คือ ต้องมีภิกษุ 20 รูปขึ้นไป สวดอัพภานระงับอาบัติสังฆาทิเสสได้
อริย + สงฺฆ = อริยสงฺฆ > อริยสงฆ์ แปลตามประสงค์ว่า “ภิกษุผู้เป็นพระอริยะ”
คำว่า “อริยสงฆ์” :
(1) หมายถึง “สาวกสงฆ์” คือหมู่สาวกของพระพุทธเจ้าที่บรรลุธรรม 8 ระดับ คือระดับโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล หรือนับตัวบุคคลก็มี 4 คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
ผู้บรรลุธรรมดังกล่าวนี้อาจเป็นบรรพชิตหรือเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ ย่อมได้รับสิทธิ์เป็น “อริยสงฆ์” โดยอัตโนมัติ
อริยสงฆ์ในความหมายนี้ก็คือที่ตรงกันข้ามหรือคู่กับ “สมมติสงฆ์” คือหมู่ภิกษุที่ยังเป็นปุถุชน
(2) หมายถึง “ภิกษุผู้เป็นอริยบุคคล” คือผู้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ดังที่เรียกกันว่า “อริยสงฆ์” หรือ “พระอริยะ”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้ใครจะรับรองว่าใครเป็นอริยสงฆ์ :
สมัยพุทธกาล คือเมื่อครั้งพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จดับขันธปรินิพพาน เมื่อมีใครเอ่ยอ้างว่าใคร (หรือแม้ตัวเอง) ได้บรรลุธรรมเป็นอริยสงฆ์ พระพุทธเจ้าจะทรงเป็นผู้วินิจฉัยว่าผู้นั้นเป็นอริยสงฆ์คือได้บรรลุธรรมจริงหรือไม่
การอ้างว่าได้บรรลุธรรมดังกล่าวนี้เป็นเรื่องละเอียดอ่อนและระมัดระวังกันมาก แม้แต่คำพูดว่า “ข้าพเจ้าหมดความกังวลแล้ว” หรือ “ข้าพเจ้ารู้สึกสงบสุขอย่างยิ่ง” เพียงแค่นี้ก็จะถูกตีความว่า “อวดอ้างเป็นอริยสงฆ์” ทันที
หลักที่รับรองกันก็คือ การจะรู้ว่าใครเป็นอริยสงฆ์ระดับไหน ผู้นั้นจะต้องบรรลุธรรมในระดับเดียวกันหรือสูงกว่าเท่านั้นจึงจะรู้ได้
ที่มา
https://www.facebook.com/hashtag/บาลีวันละคำ?source=feed_text&story_id=772081436218929&pnref=story
อ้างอิง
1 [๗๑๓] ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มี
ผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะ
สงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น ดูกรอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น
เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่า
มีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=9161&Z=9310&pagebreak=0
☆ บาลีวันละคำ ... สมมุติสงฆ์ vs. อริยสงฆ์ ☆
อ่านว่า สม-มุด-ติ-สง
บาลีเป็น “สมฺมุติสงฺฆ” อ่านว่า สำ-มุ-ติ-สัง-คะ
ประกอบด้วย สมฺมุติ + สงฺฆ
(๑) “สมฺมุติ”
รากศัพท์มาจาก สํ (พร้อมกัน, ร่วมกัน) + มุติ
“มุติ” มาจาก มุ (ธาตุ = รู้) + ติ ปัจจัย : มุ + ติ = มุติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้” หมายถึง ญาณ, ปัญญา, ความรู้, ความเข้าใจ, สติปัญญา, การกำหนดรู้โดยทางประสาท, ประสบการณ์
สํ + มุติ แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น มฺ : สํ > สมฺ + มุติ = สมฺมุติ แปลตามศัพท์ว่า “การรู้พร้อมกัน” คือ รับรู้ร่วมกัน, ยอมรับร่วมกัน
คำว่า “สมฺมุติ” อาจมีรูปคำเป็น “สมฺมต” (สำ-มะ-ตะ) หรือ “สมฺมติ” (สำ-มะ-ติ) ได้อีก มีความหมายในทำนองเดียวกัน
ภาษาไทยใช้เป็น -
: สมมต อ่านว่า สม-มด
: สมมติ อ่านว่า สม-มด ถ้ามีคำอื่นมาสมาสท้าย อ่านว่า สม-มด-ติ-
: สมมุติ อ่านว่า สม-มุด ถ้ามีคำอื่นมาสมาสท้าย อ่านว่า สม-มุด-ติ-
อย่างไรก็ตาม เสียงที่ได้ยินพูดกันมากที่สุดคือ สม-มุด = สมมุติ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
(๒) “สงฆ์” บาลีเป็น “สงฺฆ” อ่านว่า สัง-คะ
“สงฺฆ” รากศัพท์มาจาก สํ (พร้อมกัน, ร่วมกัน) + หนฺ (ธาตุ = ไป, เป็นไป) + อ ปัจจัย, แปลงนิคหิตที่ สํ เป็น ง, แปลง หนฺ เป็น ฆ
: สํ > สงฺ + หนฺ > ฆ + อ = สงฺฆ แปลตามศัพท์ว่า
(1) “หมู่เป็นที่ไปรวมกันแห่งส่วนย่อยโดยไม่แปลกกัน”
(2) “หมู่ที่รวมกันโดยมีความเห็นและศีลเสมอกัน”
สมมุติ + สงฺฆ = สมมุติสงฺฆ > สมมุติสงฆ์ แปลตามประสงค์ว่า “ผู้เป็นสงฆ์โดยสมมุติ”
หมายความว่า เป็นผู้ที่สังคมยอมรับตกลงกันเองโดยปริยายว่าเป็น “สงฆ์” โดยไม่คํานึงถึงสภาพที่แท้จริง
“สมมุติสงฆ์” มักใช้เมื่อกล่าวเทียบกับ “อริยสงฆ์” ทั้งนี้แสดงนัยว่า
“สงฆ์” ที่แท้จริงในพระพุทธศาสนานั้นคือพระอริยบุคล (ผู้บรรลุภูมิธรรมตั้งแต่โสดาบันขึ้นไป)
หรือ “สาวกสงฆ์” นั่นคือหมายถึงสงฆ์อันเป็น 1 ในรัตนะ 3 คือ พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์
แต่ขณะเดียวกันก็ยอมรับว่า แม้ภิกษุผู้ยังเป็นปุถุชนก็มีสถานะเป็น “สงฆ์” ได้ด้วย โดยเป็น “สมมุติสงฆ์” คือ “ผู้เป็นสงฆ์โดยสมมุติ”
การเคารพในสมมุติสงฆ์โดยตั้งจิตระลึกถึงอริยสงฆ์ ท่านว่ามีผลเท่ากับได้ปฏิบัติเช่นนั้นต่ออริยสงฆ์โดยตรง
ดังพระพุทธพจน์ในทักขิณาวิภังคสูตร1ว่า
“ดูก่อนอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีความชั่วช้าเป็นปกติ
คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะสงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น
ดูก่อนอานนท์ ทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้นเราก็กล่าวว่ามีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้
แต่ว่าเราไม่กล่าวว่าปาฏิบุคลิกทานมีผลมากกว่าทักขิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไร ๆ เลย”
คำว่า “ภิกษุโคตรภู มีผ้ากาสาวะพันคอ” นี่เองคือเราพูดถึงกันว่า เป็นสงฆ์ชนิด “ผ้าเหลืองน้อยห้อยหู” อันเป็นชั้นต่ำสุดของสมมุติสงฆ์
แม้ถึงเช่นนั้นก็ยังตรัสว่า ทานที่ถวายแก่สงฆ์ชนิดนั้นโดยระลึกถึงอริยสงฆ์ยังมีผลมากกว่าที่ถวายเฉพาะเจาะจงแม้แก่พระพุทธเจ้า
อริยสงฆ์ (หรือพระอริยะ)
(๑) “อริย” อ่านว่า อะ-ริ-ยะ รากศัพท์มาจาก -
(1) อรห = “ผู้ฆ่าข้าศึกคือกิเลส”, แปลง อ ที่ ร และ ห เป็น อิย
: (อร + อห = ) อรห : อห > อิย : อร + อิย = อริย แปลเท่ากับคำว่า “อรห” คือ “ผู้ฆ่าข้าศึกคือกิเลส”
(2) อรฺ (ธาตุ = ถึง, บรรลุ) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ, ลง อิ อาคม
: อรฺ + อิ = อริ + ณฺย > ย = อริย แปลว่า “ผู้บรรลุธรรมคือมรรคและผล”
(3) อารก = “ผู้ไกลจากกิเลส”, แปลง อารก เป็น อริย แปลเท่ากับคำว่า “อารก” คือ “ผู้ไกลจากกิเลส”
(4) อรฺ (ธาตุ = ถึง, บรรลุ) + ณฺย ปัจจัย, ลบ ณฺ, ลง อิ อาคม [เหมือน (2)] แปลว่า “ผู้อันชาวโลกพึงเข้าถึง”
(5) อริย = “ผลอันประเสริฐ” + ณ ปัจจัย, ลบ ณ
: อริย + ณ = อริย แปลว่า “ผู้ยังชาวโลกให้ได้รับผลอันประเสริฐ”
สรุปว่า “อริย” แปลว่า -
(1) ผู้ฆ่าข้าศึกคือกิเลส
(2) ผู้บรรลุธรรมคือมรรคและผล
(3) ผู้ไกลจากกิเลส
(4) ผู้อันชาวโลกพึงเข้าไปใกล้
(5) ผู้ยังชาวโลกให้ได้รับผลอันประเสริฐ
“สงฆ์” ในพระพุทธศาสนามีความหมาย 2 อย่าง คือ -
(1) “สาวกสงฆ์” หมายถึงหมู่สาวกของพระพุทธเจ้า ที่ได้บรรลุธรรมในภูมิอริยบุคคลคือเป็นพระโสดาบันขึ้นไป
ดังคำสวดในสังฆคุณที่ว่า สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ
(2) “ภิกขุสงฆ์” หมายถึงชุมนุมภิกษุหมู่หนึ่งตั้งแต่ 4 รูปขึ้นไป ซึ่งสามารถประกอบสังฆกรรมได้ตามกำหนดทางพระวินัย
บางทีเรียกอย่างแรกว่า “อริยสงฆ์” อย่างหลังว่า “สมมติสงฆ์”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
อริย + สงฺฆ = อริยสงฺฆ > อริยสงฆ์ แปลตามประสงค์ว่า “ภิกษุผู้เป็นพระอริยะ”
คำว่า “อริยสงฆ์” :
(1) หมายถึง “สาวกสงฆ์” คือหมู่สาวกของพระพุทธเจ้าที่บรรลุธรรม 8 ระดับ คือระดับโสดาปัตติมรรค โสดาปัตติผล สกทาคามิมรรค สกทาคามิผล อนาคามิมรรค อนาคามิผล อรหัตมรรค อรหัตผล หรือนับตัวบุคคลก็มี 4 คือ พระโสดาบัน พระสกทาคามี พระอนาคามี พระอรหันต์
ผู้บรรลุธรรมดังกล่าวนี้อาจเป็นบรรพชิตหรือเป็นคฤหัสถ์ก็ได้ ย่อมได้รับสิทธิ์เป็น “อริยสงฆ์” โดยอัตโนมัติ
อริยสงฆ์ในความหมายนี้ก็คือที่ตรงกันข้ามหรือคู่กับ “สมมติสงฆ์” คือหมู่ภิกษุที่ยังเป็นปุถุชน
(2) หมายถึง “ภิกษุผู้เป็นอริยบุคคล” คือผู้บรรลุธรรมเป็นพระโสดาบันขึ้นไป ดังที่เรียกกันว่า “อริยสงฆ์” หรือ “พระอริยะ”
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ที่มา
https://www.facebook.com/hashtag/บาลีวันละคำ?source=feed_text&story_id=772081436218929&pnref=story
อ้างอิง
1 [๗๑๓] ดูกรอานนท์ ก็ในอนาคตกาล จักมีแต่เหล่าภิกษุโคตรภู มี
ผ้ากาสาวะพันคอ เป็นคนทุศีล มีธรรมลามก คนทั้งหลายจักถวายทานเฉพาะ
สงฆ์ได้ในเหล่าภิกษุทุศีลนั้น ดูกรอานนท์ ทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์แม้ในเวลานั้น
เราก็กล่าวว่า มีผลนับไม่ได้ ประมาณไม่ได้ แต่ว่าเราไม่กล่าวปาฏิปุคคลิกทานว่า
มีผลมากกว่าทักษิณาที่ถึงแล้วในสงฆ์โดยปริยายไรๆ เลย ฯ
http://84000.org/tipitaka/pitaka_item/v.php?B=14&A=9161&Z=9310&pagebreak=0