ความเดิมตอนที่แล้ว (สำหรับสมาชิกใหม่ที่เพิ่งเข้ามาเปิดอ่านครับ)
จาก link นี้ครับ
กระทู้แรก เกริ่นนำเรื่อง :
http://ppantip.com/topic/33108342
ตอนที่ 1..อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา :
http://ppantip.com/topic/33113437
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร :
http://ppantip.com/topic/33117448
ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33119147
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2)
http://ppantip.com/topic/33119204
หมายเหตุ ชื่อเรื่องตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2) ข้างบนนี้ พิมพ์ผิดครับ ต้องเป็นชื่อ ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (2/2) ซึ่งเป็นภาคต่อจาก ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2) ขออภัยมา ณ. ที่นี้ครับ
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33124369
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (2/2)
http://ppantip.com/topic/33125115
ตอนที่ 5..วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
http://ppantip.com/topic/33129722
ขออภัยแฟน ๆ มิตรรักนักเพลง ที่เมื่อวานจบไปดื้อ ๆ โดยไม่ได้บอกกล่าวถึงตอนหน้าว่าจะไปผจญภัยที่ไหนต่อ ผิดวิสัยคนไทยที่จะไปก็ลาจะมาก็ไหว้ (เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย) สาเหตุเพราะ โควต้า 10,000 ตัวอักษรที่จำกัดให้พิมพ์ได้หมดลงพอดี ดีใจจนเนื้อเต้นที่ไม่ต้องต่อภาคสอง ก็เลยกดกระทู้ส่งเข้าเว็ปเลย ขออภัย ขออภัย
มาเข้ากระทู้เรื่องของวันนี้กันนะครับ
ตอนที่ 6..อุทยานแห่งชาติภูเรือ
กำหนดการเดินทางสำหรับวันพุธที่ 7 มกราคม 2558 อาหารเช้าที่โรงแรมที่พักเขาค้อทะเลหมอก (รวมในค่าที่พักแล้ว) ภาคเช้าไปเที่ยว Flora in the Mist อาหารเที่ยง บุญมีขนมจีน หล่มเก่า ภาคบ่ายไปเที่ยววัดเนรมิตวิปัสสนา พระธาตุศรีสองรัก ที่อำเภอด่านซ้าย แล้วตรงเข้าที่พักที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ ภาคเย็น ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ยอดภูเรือ อาหารค่ำ ร้านภูเรือโภชนา (ขออนุญาตเปลี่ยนคำจากอาหารเย็น เป็น อาหารค่ำ นะครับ เพราะอาหารเย็นมันไม่อร่อย (get มั๊ย?)
นี่ก็เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้วนะครับ เหลืออีก 5 วันเท่านั้น ก็จะกลับบ้านไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่กรุงเทพฯ แล้ว นึกแล้วเศร้า แต่ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ต้องปากกัดเท้าถีบ (ตีนไม่สุภาพอีกแล้ว) มีเวลาก็หาโอกาสได้พักผ่อนหย่อนใจบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ท่องเที่ยวกับคนที่รู้กาย รู้ใจ ยิ่งทำให้การเดินทางท่องเที่ยว สนุกสนานและมีความสุขมากกว่าเป็นทวีคูณ คุณเคยไม๊ละที่ไปเที่ยวกับคนที่จุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่เอา เรื่องมาก เด็กเขาเอาขวดน้ำมาวางก็ตวาดเขาว่าทำไมไม่รินให้ อาหารมาช้าเพราะคิวลูกค้าเยอะก็ไม่พอใจ ไปเอะอะกับเด็กในร้าน อะไรทำนองนั้น ก็โชคดีมากที่ทุกคนในสมาชิกที่ไปด้วย ไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักคน ต่างคนต่างนิ่งเงียบ ก้มหน้าก้มตาเล่นเน็ตกันอย่างเดียว..(ล้อเล่งนะตะเอง)
“ตื่น ตื่น ทะเลหมอก ทะเลหมอก” น้องสาวคนสวยร้องเสียงหลง เมื่อเปิดประตูระเบียงออกไปเพื่อสูกอากาศ ก็รู้อยู่แล้วว่ามาพัก “เขาค้อทะเลหมอก” แล้วมาปลุกเรียกทำไม นี่เพิ่งจะตี 5 กว่า ๆ เอง กำลังฝันว่าไปขูดหาเลขใต้ต้นผักกาดขาว (สงสัยจะทานผักกาดขาวเยอะไปหน่อยเมื่อคืน) จะได้เลข 2 ตัวอยู่แล้ว ดันมาปลุกเรียกอีก
“เร็ว ๆ ทะเลหมอกจริง ๆ” สมาชิกที่เหลือพร้อมใจกันโดยมิได้นัดหมาย โดดขึ้นจากเตียงในฉับพลัน กาโกงกาเกงหลุดก็ช่างมัน วิ่งตรงไปที่ประตูระเบียง “Oh my Buddha! What a wonderful world” ก็อุทานได้แค่นั้น ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าสะกดให้ทุกคนตะลึง นะจังงัง (ไม่ใช่เห็นที่กางเกงหลุดนะ ใส่กลับเข้าไปแล้ว) ขนตั้งขนพอง ลุกซู่ ซู่ ภาพเบื้องหน้าคือทะเลหมอกจริง ๆ เชิญชมภาพครับ :
ช่างสวยงามจับใจจริง ๆ แถมยังมีพระจันทร์ดวงกลมโต ลอยเด่นล้อกับขอบฟ้าสีหม่น:
สักครู่ใหญ่ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น สว่างขึ้น จนแสงของพระจันทร์มิอาจต้านทานได้ และเริ่มโรยราลง:
ภาพนี้ตั้งใจถ่ายภาพนกบินมา 4 ตัว กลับติดพระจันทร์หมองหม่นมา 1 ดวง เขาเรียกยิง (ภาพ) นัดเดียวได้นก 4 ตัว แถมจันทร์ 1 ดวง:
นี่คือภาพที่ใฝ่ฝันมานานที่จะได้เห็นเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเหตุว่า มาเขาค้อครั้งที่แล้ว ประมาณต้นเดือนธันวาคม อากาศหนาวกว่านี้แต่ไม่มีหมอกให้เห็นซักกะแหมะ ฟ้าโปร่งใสปิ๊ง มาคราวนี้สมใจอยาก นี่ก็เหมือนอยู่บนสวงสวรรค์ชั้น 2 เลยทีเดียว (พักอยู่ชั้น 2 ของโรงแรม) หลังจากเก็บภาพจนเป็นที่หนำใจแล้ว ก็ไปนั่งทานอาหารเช้าชมทะเลหมอกกันต่อที่ห้องอาหาร ซึ่งก็มีข้ามต้มหมู ข้าวผัด ผัดหมี่และขนมปังปิ้ง กับชา กาแฟ เชิญชมภาพครับ :
แอบถ่ายลูกบ้านหน้าเด็ก (เพื่อน ๆ เขาบอก) กำลังหามุมกล้องเพื่อถ่ายภาพทะเลหมอก
ภาพ Panorama เครดิตจากกล้องปัจจัย 6+ ของแม่บ้าน
เดินถ่ายทั่ว ๆ ว่าได้มาถึงเขาค้อทะเลหมอกอีกครั้ง เพื่อดูความเปลี่ยนแปลง
อิ่มกันแล้ว ก็กลับมาห้อง เก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป ประมาณ 9 โมงเศษ ล้อเริ่มหมุน บ๊าย บาย เขาค้อ โอกาสหน้าจะมาสูดอากาศอีกครั้ง จะได้มีอายุยืนรวมอีก 30 ปี ดูเข็มไมล์ อยู่ที่ 1,075 กิโลเมตร ออกจากเขาค้อทะเลหมอกผ่านไปทางที่ชมวิวหน้าอำเภอ เลยไปอีกหน่อยเดียวทางขวามือ แวะไหว้พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เสร็จแล้วก็ลงมาทางเดิมเพื่อจะไปแยกแค้มป์สน ก่อนถึงทางแยก มีไร่บีเอ็นอยู่ซ้ายมือ ทางขวามือตรงข้ามไร่ เขาจัดให้มีงานชื่อว่า “Flora in the Mist” ซึ่งจริง ๆ ไม่ได้ใส่ไว้ในโปรแกรมตอนต้น เพิ่งมาอ่านข่าวเจอประมาณต้น ๆ เดือนธันวาคม ว่าเขามีงานดอกไม้กันที่นี่ ก็เลยยกเลิกโปรแกรมไป Route 12 และ Kho in Love ร้านกาแฟชื่อดัง เพราะเคยแวะไปมาแล้วเมื่อครั้งก่อน (รวมทั้งวัดผาซ่อนแก้วด้วย) เชิญชมภาพครับ :

งานจัดอยู่ตรงข้ามไร่ บีเอ็น เห็นได้ยินว่างานจัดถึงเดือนกุมภาพันธ์ อันนี้ไม่แน่ใจครับ:
ออกจาก Flora in the Mist ก็ขับไปแยกแค้มป์สน เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 12 วิ่งตรงไปยังแยกไฟแดงหน้า ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 7015 ที่สามารถตรงไปยังหล่มเก่า ไม่ต้องตรงไปจนถึงแยกอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง
โอกาสนี้ ก็ขอแทรกเกร็ดความรู้เล็กนิดเดียว เผื่อใครยังไม่รู้ ว่า เวลาเราไปเที่ยวเขาค้อหรือภูหินร่องกล้าหรือภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์ เราต้องวิ่งผ่านถนนเส้นนี้ คือถนนทางหลวงสาย 12 หรือที่ใคร ๆ ชอบเรียกติดปากว่า Route 12 เพราะว่าช่วงใกล้ ๆ แยกแค้มป์สนที่จะขึ้นเขาค้อ มีร้านกาแฟชื่อดัง ชื่อ Route 12 อยู่ ซึ่งเส้นทางนี้ เป็นแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของสาย 12 ทั้งสายซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ซึ่งมีความยาวทั้งสิ้น 793.391 กิโลเมตร สายทางเริ่มต้นที่สะพานมิตรภาพ ไทย-พม่า (ที่ไปยืนเก๊กท่าถ่ายรูปมาแล้วเมื่อวานก่อน) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และไปสิ้นสุดที่อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร (ยังไม่เคยไป) คือเชื่อมระหว่างภาคเหนือทางทิศตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย รัฐบาลได้วางแผนไว้ว่า เส้นทางสายนี้จะเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจสำคัญที่เชื่อมตะวันออกกับตะวันตก (East-West Economic Corridor หรือ EWEC) ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองเมาะลำเลิง ประเทศพม่า และ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม เส้นทางสายนี้ได้ก่อสร้างมาหลายปีแล้ว และน่าจะเสร็จรับ AEC ในอนาคต เส้นทางสายนี้จะเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการเชื่อมต่อระหว่างกัน 4 ประเทศ คือ ไทย พม่า ลาวและเวียดนาม เป็นไงครับ เกร็ดความรู้เล็กนิดเดียวจริง ๆ แหะ แหะ
พอออกจากแยกแค้มป์สนไปได้ไม่ไกล นรกกำลังจะมาเยือน ที่กลัวนักกลัวหนาว่าถนนช่วงพิษณุโลกมาแค้มป์สนกำลังก่อสร้าง คิดผิด กลับกลายเป็นช่วงแยกแค้มป์สนไปหล่มสัก โชคดีอยู่นิดนึงที่ว่าเป็นหน้าหนาว ถ้าเมื่อไรฝนตกละก็ หนาวแน่ ดริฟท์กันขาสั่นเลยละ ก็ขับไปเรื่อย ๆ ฝุ่นบ้าง ก้อนหินระหว่างทางบ้าง ค่อย ๆ เลื้อยกันไป (ที่บอกว่าเลื้อยเพราะทางกำลังก่อสร้างบนไหล่เขา ก็อิมเมจิ้นกันเอาเอง อธิบายไม่ถูกจริง ๆ ว่ามันเสียวไข่ เอ้ย เสียวใส้แค่ไหน) จากแยกแค้มป์สนมาถึงแยกไฟแดง ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร จากที่ประมาณการว่าใช้เวลาชิว ๆ แค่ 30 นาที ก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมง ก็ปุเลง ปุเลงกันจนถึงแยก เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 7015 อย่างที่บอก สาย 7015 นี้ขับสบาย ๆ เส้นทางไม่ใหญ่แต่ดีพอสมควร ออกจากสาย 7015 ตรงไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร ก็ถึงร้านเป้าหมายที่จะฝากท้องสำหรับอาหารเที่ยงวันนี้ เชิญชมภาพครับ :
ค่าขนมจีนทั้งหมด 400 บาท แพงเนอะ แต่ก็อร่อย แต่อีกที แพงเนอะ แค่นั้นแหละ จริง ๆ ถนนทั้งเส้นบริเวณนี้ มีร้านขนมจีนมากมาย (น่าจะเหมือนที่หล่มสัก คนแถวนี้ขยันทานขนมจีนจริง ๆ) ก็เลือกตามอัทธยาศัย แต่ที่เลือกร้านนี้ เพราะเป็น OTOP ครับ..จบ ออกจากร้านก็วิ่งตรงไปอำเภอด่านซ้ายด้วยเส้นทางสาย 2014 ระยะทางอีกประมาณ 50 กว่ากิโลเมตร ก็ขึ้นเขาลงห้วย กำลังโงกเงก โงกเงกอยู่ พอโผล่พ้นยอดเขาเท่านั้นแหละ ตะลึงเลย ทิวทัศน์เบื้องหน้าสวยงามมาก เชิญชมภาพครับ :
จากตรงนี้ก็ใกล้ถึงอำเภอด่านซ้ายแล้ว อีกไม่ไกล พอถึงเขตอำเภอ ทางซ้ายมือ มีป้ายบอกทางไปวัดเนรมิตวิปัสสนา ก็เลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวก็เจอทางขึ้นวัด ลังเล ลังเลอยู่อึดใจนึงว่าจะแวะดีไม๊น้า เพราะว่าต้องทำเวลาให้ไปถึงอุทยานแห่งชาติภูเรือก่อนบ่าย 4 โมงครึ่ง เพราะสำนักงานอุทยานฯ จะปิดทำการเวลานั้น เนื่องจากไม่ค่อยมีคนพูดถึงวัดนี้เท่าไร อาจจะเป็นเพราะเป็นวัดแบบ niche market คือทำการตลาดแบบเลือกกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่มานั่งวิปัสสนา (จึงมีชื่อตามนั้น) และตัวอำเภอก็ไม่ใหญ่ จะมีวัดอะไรใหญ่โตมาสร้างที่นี่ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แวะแป๊ปนึงคงไม่เสียเวลามาก ก็เลยขับวนเข้าไป Oh my Buddha! What a wonderful WAT? งงละซิ เอาเป็นว่าถ้าภาษาชาวบ้านต้องร้องว่า อกอีแป้นแตก! วัดอะไรช่างสวยงามเหมือนอยู่ในเทพวิมานเช่นนี้ (แหะ แหะ ตัวอักษรหมดโควต้า ต้องไปอ่านต่อ ภาค 2 (2/2) นะจ๊ะ)
[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 6. การเดินทางวันที่ 6..อุทยานแห่งชาติภูเรือ
จาก link นี้ครับ
กระทู้แรก เกริ่นนำเรื่อง :
http://ppantip.com/topic/33108342
ตอนที่ 1..อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา :
http://ppantip.com/topic/33113437
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร :
http://ppantip.com/topic/33117448
ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33119147
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2)
http://ppantip.com/topic/33119204
หมายเหตุ ชื่อเรื่องตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2) ข้างบนนี้ พิมพ์ผิดครับ ต้องเป็นชื่อ ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (2/2) ซึ่งเป็นภาคต่อจาก ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2) ขออภัยมา ณ. ที่นี้ครับ
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33124369
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (2/2)
http://ppantip.com/topic/33125115
ตอนที่ 5..วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
http://ppantip.com/topic/33129722
ขออภัยแฟน ๆ มิตรรักนักเพลง ที่เมื่อวานจบไปดื้อ ๆ โดยไม่ได้บอกกล่าวถึงตอนหน้าว่าจะไปผจญภัยที่ไหนต่อ ผิดวิสัยคนไทยที่จะไปก็ลาจะมาก็ไหว้ (เกี่ยวกันมั๊ยเนี่ย) สาเหตุเพราะ โควต้า 10,000 ตัวอักษรที่จำกัดให้พิมพ์ได้หมดลงพอดี ดีใจจนเนื้อเต้นที่ไม่ต้องต่อภาคสอง ก็เลยกดกระทู้ส่งเข้าเว็ปเลย ขออภัย ขออภัย
มาเข้ากระทู้เรื่องของวันนี้กันนะครับ
ตอนที่ 6..อุทยานแห่งชาติภูเรือ
กำหนดการเดินทางสำหรับวันพุธที่ 7 มกราคม 2558 อาหารเช้าที่โรงแรมที่พักเขาค้อทะเลหมอก (รวมในค่าที่พักแล้ว) ภาคเช้าไปเที่ยว Flora in the Mist อาหารเที่ยง บุญมีขนมจีน หล่มเก่า ภาคบ่ายไปเที่ยววัดเนรมิตวิปัสสนา พระธาตุศรีสองรัก ที่อำเภอด่านซ้าย แล้วตรงเข้าที่พักที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ ภาคเย็น ไปดูพระอาทิตย์ตกดินที่ยอดภูเรือ อาหารค่ำ ร้านภูเรือโภชนา (ขออนุญาตเปลี่ยนคำจากอาหารเย็น เป็น อาหารค่ำ นะครับ เพราะอาหารเย็นมันไม่อร่อย (get มั๊ย?)
นี่ก็เดินทางมาถึงครึ่งทางแล้วนะครับ เหลืออีก 5 วันเท่านั้น ก็จะกลับบ้านไปสู่โลกแห่งความเป็นจริงที่กรุงเทพฯ แล้ว นึกแล้วเศร้า แต่ชีวิตก็เป็นอย่างนี้แหละครับ ต้องปากกัดเท้าถีบ (ตีนไม่สุภาพอีกแล้ว) มีเวลาก็หาโอกาสได้พักผ่อนหย่อนใจบ้าง โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ได้ท่องเที่ยวกับคนที่รู้กาย รู้ใจ ยิ่งทำให้การเดินทางท่องเที่ยว สนุกสนานและมีความสุขมากกว่าเป็นทวีคูณ คุณเคยไม๊ละที่ไปเที่ยวกับคนที่จุกจิก จู้จี้ ขี้บ่น ไอ้นั่นก็ไม่ได้ ไอ้นี่ก็ไม่เอา เรื่องมาก เด็กเขาเอาขวดน้ำมาวางก็ตวาดเขาว่าทำไมไม่รินให้ อาหารมาช้าเพราะคิวลูกค้าเยอะก็ไม่พอใจ ไปเอะอะกับเด็กในร้าน อะไรทำนองนั้น ก็โชคดีมากที่ทุกคนในสมาชิกที่ไปด้วย ไม่ได้เป็นอย่างนั้นซักคน ต่างคนต่างนิ่งเงียบ ก้มหน้าก้มตาเล่นเน็ตกันอย่างเดียว..(ล้อเล่งนะตะเอง)
“ตื่น ตื่น ทะเลหมอก ทะเลหมอก” น้องสาวคนสวยร้องเสียงหลง เมื่อเปิดประตูระเบียงออกไปเพื่อสูกอากาศ ก็รู้อยู่แล้วว่ามาพัก “เขาค้อทะเลหมอก” แล้วมาปลุกเรียกทำไม นี่เพิ่งจะตี 5 กว่า ๆ เอง กำลังฝันว่าไปขูดหาเลขใต้ต้นผักกาดขาว (สงสัยจะทานผักกาดขาวเยอะไปหน่อยเมื่อคืน) จะได้เลข 2 ตัวอยู่แล้ว ดันมาปลุกเรียกอีก
“เร็ว ๆ ทะเลหมอกจริง ๆ” สมาชิกที่เหลือพร้อมใจกันโดยมิได้นัดหมาย โดดขึ้นจากเตียงในฉับพลัน กาโกงกาเกงหลุดก็ช่างมัน วิ่งตรงไปที่ประตูระเบียง “Oh my Buddha! What a wonderful world” ก็อุทานได้แค่นั้น ภาพที่เห็นอยู่เบื้องหน้าสะกดให้ทุกคนตะลึง นะจังงัง (ไม่ใช่เห็นที่กางเกงหลุดนะ ใส่กลับเข้าไปแล้ว) ขนตั้งขนพอง ลุกซู่ ซู่ ภาพเบื้องหน้าคือทะเลหมอกจริง ๆ เชิญชมภาพครับ :
ช่างสวยงามจับใจจริง ๆ แถมยังมีพระจันทร์ดวงกลมโต ลอยเด่นล้อกับขอบฟ้าสีหม่น:
สักครู่ใหญ่ ท้องฟ้าก็เริ่มสว่างขึ้น สว่างขึ้น จนแสงของพระจันทร์มิอาจต้านทานได้ และเริ่มโรยราลง:
ภาพนี้ตั้งใจถ่ายภาพนกบินมา 4 ตัว กลับติดพระจันทร์หมองหม่นมา 1 ดวง เขาเรียกยิง (ภาพ) นัดเดียวได้นก 4 ตัว แถมจันทร์ 1 ดวง:
นี่คือภาพที่ใฝ่ฝันมานานที่จะได้เห็นเป็นขวัญตาสักครั้งหนึ่งในชีวิต เพราะเหตุว่า มาเขาค้อครั้งที่แล้ว ประมาณต้นเดือนธันวาคม อากาศหนาวกว่านี้แต่ไม่มีหมอกให้เห็นซักกะแหมะ ฟ้าโปร่งใสปิ๊ง มาคราวนี้สมใจอยาก นี่ก็เหมือนอยู่บนสวงสวรรค์ชั้น 2 เลยทีเดียว (พักอยู่ชั้น 2 ของโรงแรม) หลังจากเก็บภาพจนเป็นที่หนำใจแล้ว ก็ไปนั่งทานอาหารเช้าชมทะเลหมอกกันต่อที่ห้องอาหาร ซึ่งก็มีข้ามต้มหมู ข้าวผัด ผัดหมี่และขนมปังปิ้ง กับชา กาแฟ เชิญชมภาพครับ :
แอบถ่ายลูกบ้านหน้าเด็ก (เพื่อน ๆ เขาบอก) กำลังหามุมกล้องเพื่อถ่ายภาพทะเลหมอก
ภาพ Panorama เครดิตจากกล้องปัจจัย 6+ ของแม่บ้าน
เดินถ่ายทั่ว ๆ ว่าได้มาถึงเขาค้อทะเลหมอกอีกครั้ง เพื่อดูความเปลี่ยนแปลง
อิ่มกันแล้ว ก็กลับมาห้อง เก็บสัมภาระเพื่อเตรียมตัวออกเดินทางต่อไป ประมาณ 9 โมงเศษ ล้อเริ่มหมุน บ๊าย บาย เขาค้อ โอกาสหน้าจะมาสูดอากาศอีกครั้ง จะได้มีอายุยืนรวมอีก 30 ปี ดูเข็มไมล์ อยู่ที่ 1,075 กิโลเมตร ออกจากเขาค้อทะเลหมอกผ่านไปทางที่ชมวิวหน้าอำเภอ เลยไปอีกหน่อยเดียวทางขวามือ แวะไหว้พระบรมธาตุเจดีย์กาญจนาภิเษก เสร็จแล้วก็ลงมาทางเดิมเพื่อจะไปแยกแค้มป์สน ก่อนถึงทางแยก มีไร่บีเอ็นอยู่ซ้ายมือ ทางขวามือตรงข้ามไร่ เขาจัดให้มีงานชื่อว่า “Flora in the Mist” ซึ่งจริง ๆ ไม่ได้ใส่ไว้ในโปรแกรมตอนต้น เพิ่งมาอ่านข่าวเจอประมาณต้น ๆ เดือนธันวาคม ว่าเขามีงานดอกไม้กันที่นี่ ก็เลยยกเลิกโปรแกรมไป Route 12 และ Kho in Love ร้านกาแฟชื่อดัง เพราะเคยแวะไปมาแล้วเมื่อครั้งก่อน (รวมทั้งวัดผาซ่อนแก้วด้วย) เชิญชมภาพครับ :
งานจัดอยู่ตรงข้ามไร่ บีเอ็น เห็นได้ยินว่างานจัดถึงเดือนกุมภาพันธ์ อันนี้ไม่แน่ใจครับ:
ออกจาก Flora in the Mist ก็ขับไปแยกแค้มป์สน เลี้ยวขวาเข้าถนนสาย 12 วิ่งตรงไปยังแยกไฟแดงหน้า ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร เพื่อเลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 7015 ที่สามารถตรงไปยังหล่มเก่า ไม่ต้องตรงไปจนถึงแยกอนุสาวรีย์พ่อขุนผาเมือง
โอกาสนี้ ก็ขอแทรกเกร็ดความรู้เล็กนิดเดียว เผื่อใครยังไม่รู้ ว่า เวลาเราไปเที่ยวเขาค้อหรือภูหินร่องกล้าหรือภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์ เราต้องวิ่งผ่านถนนเส้นนี้ คือถนนทางหลวงสาย 12 หรือที่ใคร ๆ ชอบเรียกติดปากว่า Route 12 เพราะว่าช่วงใกล้ ๆ แยกแค้มป์สนที่จะขึ้นเขาค้อ มีร้านกาแฟชื่อดัง ชื่อ Route 12 อยู่ ซึ่งเส้นทางนี้ เป็นแค่ส่วนเสี้ยวหนึ่งของสาย 12 ทั้งสายซึ่งมีชื่อเรียกเป็นทางการว่า ทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 12 ซึ่งมีความยาวทั้งสิ้น 793.391 กิโลเมตร สายทางเริ่มต้นที่สะพานมิตรภาพ ไทย-พม่า (ที่ไปยืนเก๊กท่าถ่ายรูปมาแล้วเมื่อวานก่อน) อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก และไปสิ้นสุดที่อำเภอเมือง จังหวัดมุกดาหาร (ยังไม่เคยไป) คือเชื่อมระหว่างภาคเหนือทางทิศตะวันตกและภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย รัฐบาลได้วางแผนไว้ว่า เส้นทางสายนี้จะเป็นเส้นทางสายเศรษฐกิจสำคัญที่เชื่อมตะวันออกกับตะวันตก (East-West Economic Corridor หรือ EWEC) ซึ่งเชื่อมระหว่างเมืองเมาะลำเลิง ประเทศพม่า และ เมืองดานัง ประเทศเวียดนาม เส้นทางสายนี้ได้ก่อสร้างมาหลายปีแล้ว และน่าจะเสร็จรับ AEC ในอนาคต เส้นทางสายนี้จะเป็นเส้นเลือดใหญ่ในการเชื่อมต่อระหว่างกัน 4 ประเทศ คือ ไทย พม่า ลาวและเวียดนาม เป็นไงครับ เกร็ดความรู้เล็กนิดเดียวจริง ๆ แหะ แหะ
พอออกจากแยกแค้มป์สนไปได้ไม่ไกล นรกกำลังจะมาเยือน ที่กลัวนักกลัวหนาว่าถนนช่วงพิษณุโลกมาแค้มป์สนกำลังก่อสร้าง คิดผิด กลับกลายเป็นช่วงแยกแค้มป์สนไปหล่มสัก โชคดีอยู่นิดนึงที่ว่าเป็นหน้าหนาว ถ้าเมื่อไรฝนตกละก็ หนาวแน่ ดริฟท์กันขาสั่นเลยละ ก็ขับไปเรื่อย ๆ ฝุ่นบ้าง ก้อนหินระหว่างทางบ้าง ค่อย ๆ เลื้อยกันไป (ที่บอกว่าเลื้อยเพราะทางกำลังก่อสร้างบนไหล่เขา ก็อิมเมจิ้นกันเอาเอง อธิบายไม่ถูกจริง ๆ ว่ามันเสียวไข่ เอ้ย เสียวใส้แค่ไหน) จากแยกแค้มป์สนมาถึงแยกไฟแดง ระยะทางประมาณ 21 กิโลเมตร จากที่ประมาณการว่าใช้เวลาชิว ๆ แค่ 30 นาที ก็ปาเข้าไปเป็นชั่วโมง ก็ปุเลง ปุเลงกันจนถึงแยก เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 7015 อย่างที่บอก สาย 7015 นี้ขับสบาย ๆ เส้นทางไม่ใหญ่แต่ดีพอสมควร ออกจากสาย 7015 ตรงไปอีกประมาณ 20 กิโลเมตร ก็ถึงร้านเป้าหมายที่จะฝากท้องสำหรับอาหารเที่ยงวันนี้ เชิญชมภาพครับ :
ค่าขนมจีนทั้งหมด 400 บาท แพงเนอะ แต่ก็อร่อย แต่อีกที แพงเนอะ แค่นั้นแหละ จริง ๆ ถนนทั้งเส้นบริเวณนี้ มีร้านขนมจีนมากมาย (น่าจะเหมือนที่หล่มสัก คนแถวนี้ขยันทานขนมจีนจริง ๆ) ก็เลือกตามอัทธยาศัย แต่ที่เลือกร้านนี้ เพราะเป็น OTOP ครับ..จบ ออกจากร้านก็วิ่งตรงไปอำเภอด่านซ้ายด้วยเส้นทางสาย 2014 ระยะทางอีกประมาณ 50 กว่ากิโลเมตร ก็ขึ้นเขาลงห้วย กำลังโงกเงก โงกเงกอยู่ พอโผล่พ้นยอดเขาเท่านั้นแหละ ตะลึงเลย ทิวทัศน์เบื้องหน้าสวยงามมาก เชิญชมภาพครับ :
จากตรงนี้ก็ใกล้ถึงอำเภอด่านซ้ายแล้ว อีกไม่ไกล พอถึงเขตอำเภอ ทางซ้ายมือ มีป้ายบอกทางไปวัดเนรมิตวิปัสสนา ก็เลี้ยวซ้ายไปนิดเดียวก็เจอทางขึ้นวัด ลังเล ลังเลอยู่อึดใจนึงว่าจะแวะดีไม๊น้า เพราะว่าต้องทำเวลาให้ไปถึงอุทยานแห่งชาติภูเรือก่อนบ่าย 4 โมงครึ่ง เพราะสำนักงานอุทยานฯ จะปิดทำการเวลานั้น เนื่องจากไม่ค่อยมีคนพูดถึงวัดนี้เท่าไร อาจจะเป็นเพราะเป็นวัดแบบ niche market คือทำการตลาดแบบเลือกกลุ่มลูกค้าเฉพาะที่มานั่งวิปัสสนา (จึงมีชื่อตามนั้น) และตัวอำเภอก็ไม่ใหญ่ จะมีวัดอะไรใหญ่โตมาสร้างที่นี่ แต่ไหน ๆ ก็ไหน ๆ แล้ว แวะแป๊ปนึงคงไม่เสียเวลามาก ก็เลยขับวนเข้าไป Oh my Buddha! What a wonderful WAT? งงละซิ เอาเป็นว่าถ้าภาษาชาวบ้านต้องร้องว่า อกอีแป้นแตก! วัดอะไรช่างสวยงามเหมือนอยู่ในเทพวิมานเช่นนี้ (แหะ แหะ ตัวอักษรหมดโควต้า ต้องไปอ่านต่อ ภาค 2 (2/2) นะจ๊ะ)