[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 3. เดินทางวันที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2)

ความเดิมตอนที่แล้ว
จาก link นี้ครับ : http://ppantip.com/topic/33117448

ก่อนเริ่มเข้ากระทู้ของวันนี้ เราลืมลงรูปเด็ก ๆ ที่เปรียบเสมือนลมหายใจอันริบหรี่ที่ต้องการอากาศมาหล่อเลี้ยงให้มีลมหายใจต่อ ก็ต้องขอขอบใจเด็กๆ กลุ่มนี้ที่ทำให้เกิดพละกำลังเดินขึ้นบันไดไปถึงยอดพระธาตุหินกิ่วได้สำเร็จ เชิญชมครับ :
จะเห็นว่าเด็กๆ จะถึอเศษกล่องกระดาษเอาไว้พัดวีพวกเรา เวลาที่เหนื่อยแทบขาดใจ ช่างรู้งานจริงๆ:


เริ่มเข้ากระทู้ของวันนี้นะครับ

ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย

เช้าวันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม 2558 เวลา 6.00 น.
ขณะที่อ้าปากกำลังจะงับเจ้ากุ้งแม่น้ำเผาตัวโตๆ มันเยิ้มๆ อยู่นั้น พลันก็ตกใจตื่นจากเสียงเจ้าไก่ตัวเก่าที่ร้องปลุกได้ตรงเวลา 6.00 น. พอลุกขึ้นจากเตียงได้ ตายจริง น้ำลายไหลยืดเชียว ต้องมาจากเจ้ากุ้งแม่น้ำนั่นแน่ๆ เลย

จะสังเกตุเห็นว่า เราตั้งนาฬิกาปลุกไว้เวลา 6.00 น. ทุกวัน นี่ก็เป็นกำหนดการ (จะพิมพ์เป็นหมายกำหนดการอีกและ) ของทุกวัน คือ หกเจ็ดแปด (เหมือนเวลาไปเที่ยวทัวร์) คือ ตื่น 6 โมง ทานข้าว 7 โมง ล้อหมุน 8 โมง เพื่อให้สมาชิกทุกคนเกิดความคุ้นเคย จะได้ไม่ต้องรอกัน ซึ่งทุกคนเข้าใจจุดนี้กันดี พอ 7 โมงปั๊ป 8 โมงปุ๊ป ทุกคนก็พร้อมหน้ากันทันที ยกเว้นวันไหนที่ไม่รีบเร่ง ก็จะบอกเวลา เป็น เจ็ดแปดเก้า แทน

สำหรับโรงแรมที่พักนี้ ก็ได้เลือกโรงแรมเฟิร์ทส (First Hotel) ที่ระบุว่าเป็นโรงแรมแห่งแรก ๆ และเก่าแก่ในตัวเมืองแม่สอด ปรากฏว่า ไม่เชื่ออย่าลบหลู่ เก่าแก่จริง ๆ อาคารข้างนอกก็เก๊าเก่า การตกแต่งภายในและเฟอร์นิเจอร์ในห้องพักใช้ไม้ล้วนๆ ดูยิ่งขลังเข้าไปใหญ่ เชิญชมภาพครับ :
แหงนหน้ามองข้างบนในโถงทางเดินไปห้องพัก เหมือนเดินอยู่ในเรื่อง Adam's family:

เฟอร์นิเจอร์ที่ใช้ตกแต่งในห้องพักก็สุดๆ ละครับ:



ดูหัวเตียงนอนซิครับ ไม้ทั้งดุ้นมาแกะสลัก งามแต๊ ๆ:


ส่วนที่ Lobby ไม่ได้ถ่ายมาให้ดูครับ เพราะมีแต่พนักงานชาวพม่านั่งดูทีวีกันหน้าสลอน ถามอะไรก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง พนักงานเคาน์เตอร์ก็ยังไม่มา ก็เอาเหอะ แค่มาอาศัยนอน ถึงเวลาก็ขอกราบลาแค่นี้  

สำหรับกำหนดการในวันนี้ เนื่องจากโรงแรมไม่มีอาหารเช้า (และไม่น่าจะมี เพราะไม่เห็นมีห้องอาหารอยู่ตรงไหน) ก็จะเป็น ไปทานอาหารเช้า โรตีโอ่ง ภาคเช้า ไปเที่ยวสุดประจิมที่ริมเมย ไหว้พระสองแผ่นดิน เที่ยง ทานข้าวที่ร้านกระเพาะปลา ภาคบ่าย ตลาดมูเซอ เย็น ทานข้าวที่ร้านชิดชล

ออกจากโรงแรมได้ ก็ดูตามแผนที่ คลำทางไปจนเจอร้านโรตีโอ่ง โอ้ สะลาม อีนี่ สะลาม คนแน่นร้านเลย เหลืออยู่โต้ะเดียว นั่งเสร็จก็สั่งโรตีกับเครื่องดื่มร้อน ก็มีน้ำชา กาแฟ โอวัลติน อึดใจเดียว เจ้าแผ่นโรตีร้อน ๆ (ร้อนจริง ๆ  เพราะเพิ่งแงะออกจากโอ่ง ควันฉุย) บวกกับจานนมข้นหวานก็มาวางอยู่ตรงหน้า นี่ขนาดร้อน ๆ ควันฉุย ก็ฉีกโรตีแบ่งกันคนละคำสองคำ แป๊ปเดียวจริง ๆ เกลี้ยงจาน สมาชิกบอกอร่อยมากถึงอร่อยที่สุด นี่ถ้าไปขายอยู่กรุงเทพ โอ่งแตกแน่ ขายไม่ทัน (ที่อร่อยก็น่าจะมาจากทำสดใหม่ และไม่ได้ใส่น้ำมันเนยทอดเหมือนโรตีแขกปากซอย โรตีแบบนี้ เขาเรียกว่า "นาน" แต่ไม่เห็นรอนานเลย) ก็สั่งเบิ้ลมาอีกจานนึง เชิญชมภาพครับ :


แม่ครัวอยู่หลังร้านชงกาแฟ:

ภาพบรรยายกาศในการทำโรตีโอ่ง


เสร็จสรรพ คิดตัง ทั้งหมด 160 บาท ไม่แพงกับรสชาดแปลกใหม่ที่เหล่าสมาชิกไม่เคยลิ้มลอง

ออกจากร้านก็วิ่งตรงไปหน้าด่าน ก่อนถึงหน้าด่านประมาณ 3 กิโลเมตร ทางซ้ายมือ (เห็นชัดเจน มีป้ายบอก) เป็นสำนักงานทำใบผ่านแดน ก็เลี้ยวเข้าไป ที่จอดรถสะดวก เข้าไปติดต่อขอทำใบผ่านแดน เนื่องจากยังเช้าอยู่ พวกเราเป็นรายแรก (มั๊ง) จึงใช้เวลาไม่มาก ใช้บัตรประชาชนใบเดียวและค่าทำคนละ 30 บาท (มั๊ง ไม่แน่ใจ แต่รวมแล้วค่าด่านไทย ด่านพม่ารวมกันแล้ว 4 คน 240 บาท) เสร็จทุกอย่างก็ได้ใบผ่านแดนเรียบร้อย เดินมาทางด้านนอก มีรถตู้จอดอยู่หลายคัน และด้านในมีโต้ะเล็ก ๆ อยู่ข้าง ๆ มีป้ายเขียนว่า พาเที่ยววัดพม่า 4 วัด+ตลาดบุเรงนอง ก็เข้าไปสอบถามราคา ได้ความว่า 1,000 บาท สำหรับ package 4 คน โอเคตามนั้น เกือบโดนพม่าหลอกไปขายแล้วมั้ยหล่ะเมื่อวาน เพราะฉะนั้น ขอบอกเพื่อนสมาชิกพันทิปไว้ในที่นี้เลยว่า อย่าไปติดต่อรถตู้ที่หน้าด่านเลย เสียเวลาและไม่น่าไว้ใจ ที่สำนักงานทำใบผ่านแดนมีรถตู้คอยบริการอยู่แล้ว พอพวกเราไปเที่ยวกลับมา เขาก็มารอลูกค้าชุดต่อไป มีคิวรถเรียบร้อย

ออกจากสำนักงานมุ่งตรงไปหน้าด่าน รถตู้จอดตรงเท้า (ใช้คำว่า ตีน ไม่สุภาพ) สะพาน คนขับก็เอาใบผ่านแดนของเรา เดินดุ่ย ๆ ไปทำเรื่อง ไม่นานก็กลับมาขับรถข้ามแม่น้ำเมียวดีเข้าเขตพม่า จอดรถเท้าสะพานอีกที คนขับเอาเอกสารไปยื่น เสร็จขึ้นรถ ขับมุ่งหน้าเข้าสู่ถนนโลกพระจันทร์ของพม่าทันที เหตุการณ์ทั้งหมดนี้ พวกเราไม่ต้องลงจากรถเลย คนขับจัดการให้เสร็จสรรพ
ภาพหน้าด่านฝั่งไทย คึกคักดี มีแต่ชาวพม่ามายืนรอ ไม่รู้ทำอะไรกัน:


หลังจากขับมาได้ซักพัก อ้อลืมไป ขับรถเลนขวานะครับ ที่นี่ก็แปลกดีนะ โดยปกติแบบสากล ถ้าขับเลนซ้าย (เมืองไทย) พวงมาลัยจะอยู่ด้านขวา ถ้าขัยเลนขวา (พม่า ลาว) พวงมาลัยจะอยู่ซ้าย รถตู้ที่เราใช้เป็นพวงมาลัยขวาคงไม่แปลก แต่ที่แปลกคือ รถส่วนใหญ่ในเมืองเมียวดี (ที่สังเกตุเห็น) ขับพวงมาลัยขวาเหมือนกัน สงสัย สงสัย?

อันที่จริง ก่อนจะมาพม่า ก็ศึกษาข้อมูลมาบ้างพอสมควร ว่าวัดทางพม่านี้อยู่ในตัวเมือง ไม่ไกลกันมากนัก แต่ละที่ห่างกันแค่ช่วงตึกหรืออย่างมากก็ไม่เกิน 2 กิโลเมตร แต่ระยะทางแค่นั้น ต้องใช้เวลาในการเดินทาง เพราะถนนหนทางเป็นหลุมเป็นบ่อ รถตู้ต้องค่อยๆ โยกเยก โยกเยก โขยกไป ช่วงแรกถนนในเมืองอาจดีหน่อย แต่ช่วงหลังเริ่มโยกเยกอย่างที่บอก แต่ก็ไม่ใช่สาระสำคัญอะไร สนุกดี ได้บริหารพุงกันไป เพียงแต่มีฝุ่นฟุ้งเท่านั้นเอง ดีที่นั่งรถตู้ ถ้าเป็นรถสองแถว แต่ละคนกลับไปคงเป็นแหม่มผมทองกันเป็นแถว

วัดแรกที่ไปถึง เป็นวัดเจดีย์ทอง (ต้องขออภัยนะครับ เรียกตามที่เห็น จำชื่อเรียกแบบพม่าไม่ได้จริง ๆ เรียกยาก ก็ถ้าอยากรู้ก็ลองค้น ๆ ดูจากอากู๋นะครับ มีแค่ 4 วัดเองที่เขาพาไปไหว้) เชิญชมภาพครับ :
ด้านหน้าทางเข้าวัด:

พระพุทธรูปในวัด:


ด้านข้างมีองค์เจ้าแม่อยู่ สวยงามดี:

ภาพ Panorama ภาพนี้ เครดิตภาพจาก ปัจจัย 6+ ของแม่บ้านครับ:

ภาพนี้ เครดิตภาพจาก 650D ของลูกบ้านครับ ถ่ายได้อารมณ์มาก จะเห็นว่ามีนกพิราบหิวโซหลายตัวบินอยู่:

พอออกมานอกวัดก็ถึงบางอ้อ มีชาวบ้านกับเด็กน้อยกำลังให้อาหารนกอยู่:

ตรงข้ามวัด มีร้านขายแตงโมงกับร้านอาหาร ไม่ได้แวะหรอกครับ ถ่ายมาให้ดูวิถีชาวบ้านพม่าเท่านั้นเอง:



ไปต่อกันวัดที่สอง น่าจะเป็นวัดหินก้อนใหญ่ (มั๊ง? อีกแล้ว) ที่เขาบอกว่าตัววัดตั้งอยู่บนหินก้อนใหญ่ (ก็ไม่รู้จะอธิบายกันยังไง ฟังดูเหมือนไม่ได้อธิบาย) ก็ไปชมภาพกันดีกว่า :
ทางขึ้นวัด:

องค์พระในวัด:

มีตู้ทำบุญอยู่ ก็บริจาคไปตามแต่ศรัทธา:

มีกระดานดำไว้ให้เขียนชื่อคนทำบุญด้วย:

ที่ศาลาด้านล่าง ชาวบ้านกำลังจะร่วมกันทำบุญเลี้ยงพระ มีสำรับกับข้าวเตรียมไว้แล้ว:

พระและชาวบ้านกำลังเดินทางมาที่ศาลากัน:


ต่อไป ไปวัดที่สาม เป็นวัดมอญ อ้อลืมบอกไป ทุกวัดในพม่า เขาให้ถอดรองเท้าก่อนเข้าวัดนะครับ และบางแห่ง มีป้ายบอกว่าผู้หญิงห้ามเข้าก็อย่าไปเข้านะครับ วัดมอญนี้ บนศาลา เขาได้อันเชิญพระบรมสารีริกธาตุ เป็นกระดูกต้นแขน ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า มาประดิษฐานไว้ด้วย เชิญชมภาพครับ :
ภาพภายในบริเวณวัด:

ภายในศาลาที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุ เครื่องประดับสวยงามเหลืองอร่าม:

เข้าไปดูพระบรมสารีริกธาตุกัน:

เข้าไปดูใกล้อีกนิด:

เข้าไปดูใกล้อีกนิดน่า:

อีกนิ๊ดดดด เอาให้ชัด ๆ:


จบจากส่องพระบรมสารีริกธาตุ ก็ออกมาข้างนอก แล้วเลี้ยวขวาเข้าไปภายในวัดที่มีพระพุทธรูปองค์ใหญ่ยืนตระหง่านอยู่ เชิญชมครับ :

ส่วนกำแพงด้านในของวัด มีภาพนูนต่ำเล่าเรื่องประวัติพระพุทธเจ้าไว้ เข้าใจง่ายและเป็นภาพที่มีความสวยงามมาก:





ข้าง ๆ วัด ชาวบ้านกำลังตั้งสำรับกับข้าว ก็เลยถือโอกาสไปเก็บภาพมา ใครมองทะลุฝาชีได้ ก็รู้ว่าเขาทานอะไรกันมื้อเที่ยง:


ออกจากวัดนี้ ก็ไปวัดที่ 4 วัดสุดท้าย วัดจรเข้ วัดเป็นรูปตัว U โดยแบ่งเป็นห้อง ๆ คล้าย ๆ ห้องแถว ที่บรรจุในห้องเหล่านี้เป็นประวัติเรื่องราวทั้งหมดของพระพุทธเจ้า เชิญชมครับ :





เอาแค่พอสังเขปนะครับ ที่เหลือไปดูเอาเอง พอเดินครบก็มาเจอปากจรเข้เข้าทันที เชิญชมครับ :


อ้าว ข้อความจะเกิน 10000 ตัวอักษรแล้วครับ ดูต่อภาค 2 นะครั
ชื่อสินค้า:   สุดประจิมที่ริมเมย ไหว้พระสองแผ่นดิน กระเพาะปลาริมเมย ตลาดมูเซอ ร้านชิดชล
คะแนน:     
**CR - Consumer Review : ผู้เขียนรีวิวนี้เป็นผู้ซื้อสินค้าหรือเสียค่าบริการเอง ไม่มีผู้สนับสนุนให้สินค้าหรือบริการฟรี และผู้เขียนรีวิวไม่ได้รับสิ่งตอบแทนในการเขียนรีวิว
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่