ความเดิมตอนที่แล้ว
จาก link นี้ครับ
กระทู้แรก เกริ่นนำเรื่อง :
http://ppantip.com/topic/33108342
ตอนที่ 1..อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา :
http://ppantip.com/topic/33113437
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร :
http://ppantip.com/topic/33117448
ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33119147
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2)
http://ppantip.com/topic/33119204
หมายเหตุ ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2) ข้างบนนี้ พิมพ์ผิดครับ ต้องเป็นชื่อ ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (2/2) ซึ่งเป็นภาคต่อจาก ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2) ขออภัยมา ณ. ที่นี้ครับ
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33124369
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (2/2)
http://ppantip.com/topic/33125115
เข้ากระทู้เรื่องของวันนี้นะครับ
ตอนที่ 5..วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
กำหนดการสำหรับวันอังคารที่ 6 มกราคม 2558 ไปทานอาหารเช้าร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยต้นกะจี้ ภาคเช้าไปสักกระพระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อาหารเที่ยงที่แพภูฟ้าไทย ภาคบ่ายไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวที่วัดราชคีรีหิรัญยาราม อาหารเย็น ไร่จันทร์แรม
เช้านี้ก็เป็นอีกวันนึงที่ไม่ได้กำหนดเวลาตื่น เนื่องจากว่า โปรแกรมการท่องเที่ยวในวันนี้ทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย เป็นการไหว้พระซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ที่ละหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะพอ ส่วนตอนบ่ายต้องเผื่อเวลาขับรถจากพิษณุโลกไปเขาค้อหน่อย ระยะทางไม่มากนัก น่าจะประมาณ 120 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ เป็นการเดินทางขึ้นเขาลงเขาหลายลูกหลายโค้ง และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ เมื่อตอนหาข้อมูลเส้นทางการเดินทางถนนสาย 12 ระหว่างพิษณุโลกกับเขาค้อเมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคมที่แล้ว คลิปที่เห็นใน youtube คือ ถนนกำลังก่อสร้างอยู่เละไปหมด (นึกสภาพทางที่เป็นเลนโคลนสีแดงส้ม เละ ๆ ไว้) รถกระบะต้องวิ่งดริฟท์ขึ้นเขา หมายความว่า ปกติถ้าเราวิ่งบนถนนทางเรียบที่กำลังก่อสร้าง มันจะรู้สึกล้อหมุนฟรีในบางช่วงที่ไปเจอโคลนเละ ๆ เข้า แต่เมื่อไหร่ที่เป็นทางขึ้นเขา เราไม่สามารถวิ่งรถไปตรง ๆ ได้ เพราะล้อจะหมุนฟรีและรถจะวิ่งถอยหลัง ต้องประคองให้รถขับเฉียง ๆ ขึ้นเขาไป (เหมือนที่ดูในหนังเวลาเขาแข่งรถ เวลาที่พระเอกจะเข้าโค้ง ต้องหักพวงมาลัย ดึงเบรกมือเพื่อให้รถไถลไปข้าง ๆ ตามทางที่ต้องการ) แล้วก่อนเดินทางจริง ก็ยังมีข่าวอุบัติเหตุรถชนกันแถว ๆ นั้นอีก ก็เลยคิดว่าต้องเผื่อเวลาให้เส้นทางนี้มาก ๆ หน่อย จริง ๆ แล้วก่อนออกเดินทางอีกไม่กี่วัน ก็สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม แต่ไม่มีข้อมูลที่เป็น update เลย ดังนั้น ภาพถนนที่กำลังก่อสร้างและโคลนเละ ๆ ก็เลยฝังใจ ไม่กล้าบอกสมาชิกที่ร่วมเดินทาง เดี๋ยวพลอยจะกังวลไปด้วย จะเที่ยวไม่สนุกกัน
เช้านี้ก็ไม่รีบร้อนเหมือนเคย ค่อย ๆ อ้อยอิ่งลุกจากเตียงนอนที่มีผ้าห่มนวมนุ่มหนาห่มถึงคอ (เปิดแอร์ไว้ที่ 21 องศาเหมือนเดิม) ก็ต้องให้อธิบายกันนิดนึงก่อนว่า ทำไมถึงเปิดแอร์ไว้อย่างนี้ ไม่ประหยัดไฟช่วยชาติเลย คือเมื่ออากาศภายนอกห้องตอนกลางคืนเย็น ตัวคอมเพรสเซอร์แอร์ด้านนอกจะไม่ทำงานถ้าเราตั้งอุณหภูมิในห้องไว้ให้สูงกว่าอุณหภูมิภายนอกห้อง ตัวเราจะรู้สึกร้อนอบอ้าว สุดท้ายเราก็จะถีบผ้าห่มนวมนุ่มหนาที่ห่มตัวออก เผลอ ๆ ดันไปถีบคนข้าง ๆ ด้วย จบเห่กัน คือแทนที่จะประหยัด กลับต้องเสียค่าหยูกค่ายา มารักษาโรคถีบตกเตียง ตกลงเหตุผลที่ให้มาฟังขึ้นมั๊ยเนี่ย
หลังจาก check out ก็ไปทานอาหารเช้ากันข้างนอก (ก็จองโรงแรมมาไม่ได้รวมอาหารเช้าด้วย ตั้งใจจะไปซัดก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยต้นตำรับให้เต็มหนำ) ดูจากแผนที่ ร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยต้นกะจี้ ไม่น่าจะอยู่ห่างไปมากนักไม่ถึงแยกไฟแดง พอเลี้ยวออกนอกถนนใหญ่ไปอีกไม่ไกลก็น่าจะเจอ ขับหาไปเรื่อย ๆ เฮ้ย นี่จะเลยสี่แยกไฟแดงแล้ว เอ้ากลับรถ วิ่งวกลับมาทางเดิม ก็ไม่เห็นมี ลองเปิดกระจกถามลุงที่ยืนอยู่ข้างทาง เขาบอกว่า “ไม่รู้จัก ขอเชิญไปข้างหน้า” หง่าวเลยตู คงหมายถึงไปถามคนข้างหน้า ก็ขับไปถึงไกล้เท้าสะพาน (มีเพื่อนสมาชิกในพันทิปคนนึงบอกว่าจะสุภาพไปถึงไหน เรียก ตีนสะพานก็ได้) ก็กลับรถมาใหม่ ขับมาเรื่อย ๆ ก็แวะถามลุงอีกคนนึง (คนละคนนะครับ คงไม่อุตส่าห์วิ่งข้ามถนนมาเพื่อมาบอกว่า ขอเชิญไปข้างหน้าอีก) แกก็บอกว่า โอ้ย โน่นไง อยู่นั่น แต่วันนี้เขาปิด (มิน่าเล่า ถึงหาไม่เจอ) ทำไมไม่ไปกินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูในซอยลึกลับล่ะ อร่อยนะ แล้วลุงก็บอกทางไปให้ ก็ขับตามที่ลุงบอกคือร้านอยู่ในซอยซ้ายมือข้างปั๊มเชลล์ เลยร้านต้นกะจี้ไปไม่ไกลก่อนถึงแยกไฟแดง เข้าไปในซอยไม่ลึกมากก็ถึงร้าน มีที่จอดรถกว้างขวาง (แต่ถ้าไม่รู้จัก ก็ลึกลับจริง ๆ เพราะอยู่ในซอยนิดเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยในซอยนี้) ก็สั่งก๋วยเตี๋ยวทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เชิญชมภาพ :
ที่จอดรถหน้าร้าน จะเห็นว่ามาเป็นลูกค้ารายแรกเลย:
ร้านเป็นเพิงข้างซอย:
ขนมก็อร่อย ทำใหม่ ๆ ร้อน ๆ:
อิ่มแล้วก็เรียกเก็บตัง ทั้งหมด 210 บาท ราคาน่าคบสำหรับเนื้อหมูนุ่ม ๆ น้ำแกงร้อน ๆ เชง ๆ (ไม่ใช่น้ำป้าเชงนะ เชง ๆ หมายถึง ใส ๆ) ออกจากร้านก็วกกลับมาข้ามสะพานข้ามแม่น้ำยม ดูเข็มไมล์อยู่ที่ 870 กิโลเมตร ก็ขับตรงไปเพื่อเข้าเส้นทางสาย 12 ระยะทางจากสุโขทัยไปพิษณุโลกประมาณ 60 กิโลเมตร ระหว่างทาง สมาชิกอยากซื้อของฝากที่ใคร ๆ ก็ถามหาเมื่อมาถึงสุโขทัย ให้ทายซิว่าเป็นอะไร ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ.....ขนมผิงแง้มประตูขาย (แม่ติ๋ม) อำเภอกงไกรลาส เอาละซิ ไปยังไง ก็จอดถามทางจากคุณลุง (ดูว่าเป็นคนเดิมหรือเปล่าก่อน อ้อ ไม่ใช่) เขาบอกให้ไปทางพิษณุโลกประมาณ 20 กิโลเมตรก็ถึง อุต๊ะ ช่างบังเอิญดีแท้ กำลังจะไปธุระที่พิษณุโลกพอดี ก็รีบจรลี เดินทางไป ทางเส้นนี้ดีครับ ขับสบาย ไปเรื่อย ๆ จนถึงอำเภอกงไกรลาส มีแยกไฟแดงเลี้ยวขวา (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถึงแยกไฟเขียวเลี้ยวขวามากกว่า) เข้าไปสักประมาณ 5 กิโลเมตรมั๊ง ก็ถึงร้านแม่ติ๋มแง้มฝาโลง เอ้ย ไม่ใช่ แง้มประตูขาย ก็จอดรถหน้าร้าน บุกเข้าไปในร้านร้องโหวกเหวกเรียกหาแม่ติ๋ม สักครู่แม่ติ๋ม (มั๊ง) เดินออกมา ก็ใช้เวลาสักพักนึงซื้อของฝากกันนัวเนีย คนนี้เอายี่สิบถุง คนนั้นเอาสามสิบถุง สุดท้ายก็ได้จำนวนถุงตามที่ได้โทรมาสั่งเมื่อวานนี้ ไม่สามารถเพิ่มจำนวนถุงมากกว่านี้ได้ เขาไม่ขายถ้าไม่โทรมาสั่งล่วงหน้า (หยิ่งซะด้วย) เชิญชมภาพครับ :
มีหลายสื่อมาการันตีความอร่อยให้:
ออกจากร้านแง้มประตูใช้เวลาไม่นานก็ขับถึงตัวเมืองพิษณุโลก ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำน่าน แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในเขตวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หาที่จอดรถได้บริเวณวัด ก็เข้าไปสักการะพระพุทธชินราช องค์พระคงมีความสวยงามและยิ้มแย้มเช่นเดิม ไม่แก่เลย (ก็เคยมาสักการะครั้งนึงเมื่อสองปีก่อนและได้ขอจิตอธิฐานบางอย่างจนสำเร็จผล ก็เป็นเหตุผลนึงที่มาหาท่านอีกในครั้งนี้) เชิญชมภาพครับ :
ออกจากวัดก็เดินทางไปร้านภูฟ้าไทยที่ครัวคุณต๋อยแนะนำ (เห็นมั๊ย แฟนครัวคุณต๋อยตัวยงเลยนะเนี่ย) ก็อีกนั่นแหละ ทางรายการครัวคุณต๋อยบอกทางไว้อย่างละเอียด แต่จำผิดเอง ก็พาหลงทางไปพักใหญ่ (จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไป นี่เป็นกุศโลบาย ในการฆ่าเวลา เพราะของเก่าเมื่อเช้ายังย่อยไม่หมดเลย) สุดท้ายก็มาถึงร้านภูฟ้าไทยจนได้ พอดิบพอดีกับเจอทัวร์สัมมนาลง 3 คันรถ ก็เดินตามเขาเข้าไป เขาคงนึกว่าเป็นอาจารย์ที่ไปร่วมสัมมนาด้วยเพราะหน้าตาให้ แต่สีเสื้อที่พวกเขาใส่เป็นยูนิฟอร์มไม่เหมือนกับพวกเราและการแต่งตัวคงไม่เหมือนอาจารย์ ก็เลยแยกวงออกมาก่อนที่เขาจะไล่ตะเพิดออกมา (พูดเล่น เดี๋ยวหาว่างกกิน) ก็สั่งอาหารตามที่ครัวคุณต๋อยแนะนำ เชิญชมภาพ :
หลังจากอิ่มหนำแล้ว ก็ให้แม่บ้านโทรไปจองโต้ะสำหรับมื้อเย็นที่ไร่จันทร์แรมที่เขาค้อ สมาชิกก็ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า อั่ยหยา ไม่ไหวแล้วหวา พักกระเพาะบ้างเถอะ ที่เดินทางมาตั้งแต่ต้น อาหารอร่อยทุกมื้อเลยจนฉุดพุงไม่อยู่แล้ว ขอพักบ้างเถอะ ก็เลยออกเสียงกัน (เห็นไหมว่าเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน) ได้ข้อสรุปว่าจะทานกันที่ระเบียงของที่พักเย็นนี้ก็แล้วกัน ก็เลยสั่งอาหารทางร้านอีก 2 อย่าง ให้ใส่ห่อไป รวมค่าอาหารทั้งหมด 1,190 บาท ออกจากร้านก็แวะตลาดสดใกล้สถานีรถไฟ ซื้อผักกาดขาวกับถั่วพู ไว้กินกับน้ำพริกที่ซื้อมาจากร้านชิดชลที่จังหวัดตาก เสร็จสรรพ ก็เดินทางออกจากตัวเมืองพิษณุโลกไปประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร เลี้ยวซ้าย ขึ้นเขาไปนิดเดียวไม่สูงชันนัก ก็ถึงวัดราชคีรีหิรัญยาราม เชิญชมภาพครับ :
ออกจากวัดก็วิ่งตรงไปแยกแค้มป์สน นี่แหล่ะเป็นเส้นทางที่หนักใจ แต่ แต่ แต่ กลับพลิกความคาดหมาย เส้นทางนี้สร้างเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว (หมายถึงช่วงพิษณุโลกไปแยกแค้มป์สน) ส่วนใหญ่เป็นทางแยกกัน 4-6 เลน ถนนลาดยางสีน้ำเงินเข้มมีเส้นแบ่งทางสีเหลืองชัดเจน ถนนเรียบขึ้นเขาลงเขาบ้างแต่มีป้ายเตือนบอกให้ระวังตลอดทาง ภูมิทัศน์สวยงามเป็นภาพภูเขาและป่าไม้ข้างทาง มีบางช่วงบ้างที่พอเข้าเขตเมืองก็ชะลอความเร็วลง เพราะฉะนั้น นี่คือข้อมูล update ที่ต้องการบอกกับเพื่อน ๆ ที่เข้ามาเก็บข้อมูลว่า เส้นทางสายนี้ช่วง พิษณุโลก-แยกแค้มป์สน เสร็จสวยงามแล้วจ้า
ถึงแยกแค้มป์สน เลี้ยวขวาขึ้นเขาค้อ ไปสุดทางที่ที่พักที่จองไว้ นั่นคือ เขาค้อทะเลหมอก (จริง ๆ แล้ว กะจะไปพักอีกที่นึงที่เมื่อครั้งที่แล้วมาเขาค้อ ได้ไปเห็นภาพที่ประทับใจเมื่อตอนพระอาทิตย์ตก แต่ราคาไม่ประทับใจด้วย ก็เลยมาพักที่เดิม เดี๋ยวก็รู้ว่าที่ไหนเมื่อดูจากภาพ ถ้าคนเคยไปเขาค้อมาแล้ว) Check in เอาสัมภาระออกมาแล้วก็พักผ่อนเดินเล่น สูดอากาศเขาค้อ ที่ใครบางคนกล่าวไว้ว่า มาสูดอากาศเขาค้อหนึ่งครั้ง อายุยืน 10 ปี นี่มาครั้งที่สองแล้ว น่าจะอายุยืนไปอีก 20 ปีเป็นแน่ ส่วนมื้อเย็น ก็อย่างที่ได้ทำประชาพิจารณ์ แกะถุงอาหาร ใส่จาน ล้างผัก แล้วมานั่งล้อมวงตรงระเบียงห้องที่พัก สัมผัสกับบรรยากาศ ยามพระอาทิตย์ตกเขา ช่างสวยงามจับใจยิ่งนัก เชิญชมภาพครับ :
ห้องพักเป็นแบบ 2 เตียงใหญ่ นอน 4 คน:
หลังห้องพักมีระเบียงนั่งเล่น:
อันนี้ละที่จะไปพัก แต่ราคาแพงไปหน่อย ก็เลยกลับมาพักที่นี่:
ฟ้าตอนดวงอาทิตย์ตกเขา:
ที่เห็นเป็นจุดขาว ๆ ไม่ใช่ Dead pixel ของกล้องนะ เป็นแสงดวงดาวน่ะ:
มื้อเย็นที่ระเบียงห้องพัก
รวมพระเอกของงานด้วย อิอิ:
หลังอาหารเย็น (น่าจะเรียกว่าอาหารค่ำมากกว่า) ทุกคนต่างก็จับจองที่นอนของตัวเอง และทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบงันเหมือนไม่มีใครอยู่ในห้อง (ก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเน็ตกันใหญ่) ไม่นานนัก.....ก็มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นสอดแทรกความเงียบในยามค่ำคืนนี้ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกว่า เสียงอันไพเราะจับใจนั้น ไม่ใช่เสียงของตัวเอง เป็นเสียงกรนของข้าพเจ้าเองครับ นอนหลับฝันดี
ปล. ครั้งนี้ พิมพ์ได้ 9998 ตัวอักษร เกือบต้องทำ ภาคหนึ่ง (1/2) ต่อ ภาคสอง (2/2) แน่ะ
[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 5. การเดินทางวันที่ 5..วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
จาก link นี้ครับ
กระทู้แรก เกริ่นนำเรื่อง :
http://ppantip.com/topic/33108342
ตอนที่ 1..อุทยานประวัติศาสตร์อยุธยา :
http://ppantip.com/topic/33113437
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร :
http://ppantip.com/topic/33117448
ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33119147
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2)
http://ppantip.com/topic/33119204
หมายเหตุ ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2) ข้างบนนี้ พิมพ์ผิดครับ ต้องเป็นชื่อ ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (2/2) ซึ่งเป็นภาคต่อจาก ตอนที่ 3..สุดประจิมที่ริมเมย (1/2) ขออภัยมา ณ. ที่นี้ครับ
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (1/2)
http://ppantip.com/topic/33124369
ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย (2/2)
http://ppantip.com/topic/33125115
เข้ากระทู้เรื่องของวันนี้นะครับ
ตอนที่ 5..วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร
กำหนดการสำหรับวันอังคารที่ 6 มกราคม 2558 ไปทานอาหารเช้าร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยต้นกะจี้ ภาคเช้าไปสักกระพระพุทธชินราชที่วัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร อาหารเที่ยงที่แพภูฟ้าไทย ภาคบ่ายไปสักการะเจ้าแม่กวนอิมหยกขาวที่วัดราชคีรีหิรัญยาราม อาหารเย็น ไร่จันทร์แรม
เช้านี้ก็เป็นอีกวันนึงที่ไม่ได้กำหนดเวลาตื่น เนื่องจากว่า โปรแกรมการท่องเที่ยวในวันนี้ทั้งภาคเช้าและภาคบ่าย เป็นการไหว้พระซึ่งใช้เวลาไม่นานนัก ที่ละหนึ่งชั่วโมงก็น่าจะพอ ส่วนตอนบ่ายต้องเผื่อเวลาขับรถจากพิษณุโลกไปเขาค้อหน่อย ระยะทางไม่มากนัก น่าจะประมาณ 120 กิโลเมตรเท่านั้น แต่ เป็นการเดินทางขึ้นเขาลงเขาหลายลูกหลายโค้ง และอีกเหตุผลหนึ่งที่สำคัญคือ เมื่อตอนหาข้อมูลเส้นทางการเดินทางถนนสาย 12 ระหว่างพิษณุโลกกับเขาค้อเมื่อประมาณปลายเดือนตุลาคมที่แล้ว คลิปที่เห็นใน youtube คือ ถนนกำลังก่อสร้างอยู่เละไปหมด (นึกสภาพทางที่เป็นเลนโคลนสีแดงส้ม เละ ๆ ไว้) รถกระบะต้องวิ่งดริฟท์ขึ้นเขา หมายความว่า ปกติถ้าเราวิ่งบนถนนทางเรียบที่กำลังก่อสร้าง มันจะรู้สึกล้อหมุนฟรีในบางช่วงที่ไปเจอโคลนเละ ๆ เข้า แต่เมื่อไหร่ที่เป็นทางขึ้นเขา เราไม่สามารถวิ่งรถไปตรง ๆ ได้ เพราะล้อจะหมุนฟรีและรถจะวิ่งถอยหลัง ต้องประคองให้รถขับเฉียง ๆ ขึ้นเขาไป (เหมือนที่ดูในหนังเวลาเขาแข่งรถ เวลาที่พระเอกจะเข้าโค้ง ต้องหักพวงมาลัย ดึงเบรกมือเพื่อให้รถไถลไปข้าง ๆ ตามทางที่ต้องการ) แล้วก่อนเดินทางจริง ก็ยังมีข่าวอุบัติเหตุรถชนกันแถว ๆ นั้นอีก ก็เลยคิดว่าต้องเผื่อเวลาให้เส้นทางนี้มาก ๆ หน่อย จริง ๆ แล้วก่อนออกเดินทางอีกไม่กี่วัน ก็สืบค้นข้อมูลเพิ่มเติม แต่ไม่มีข้อมูลที่เป็น update เลย ดังนั้น ภาพถนนที่กำลังก่อสร้างและโคลนเละ ๆ ก็เลยฝังใจ ไม่กล้าบอกสมาชิกที่ร่วมเดินทาง เดี๋ยวพลอยจะกังวลไปด้วย จะเที่ยวไม่สนุกกัน
เช้านี้ก็ไม่รีบร้อนเหมือนเคย ค่อย ๆ อ้อยอิ่งลุกจากเตียงนอนที่มีผ้าห่มนวมนุ่มหนาห่มถึงคอ (เปิดแอร์ไว้ที่ 21 องศาเหมือนเดิม) ก็ต้องให้อธิบายกันนิดนึงก่อนว่า ทำไมถึงเปิดแอร์ไว้อย่างนี้ ไม่ประหยัดไฟช่วยชาติเลย คือเมื่ออากาศภายนอกห้องตอนกลางคืนเย็น ตัวคอมเพรสเซอร์แอร์ด้านนอกจะไม่ทำงานถ้าเราตั้งอุณหภูมิในห้องไว้ให้สูงกว่าอุณหภูมิภายนอกห้อง ตัวเราจะรู้สึกร้อนอบอ้าว สุดท้ายเราก็จะถีบผ้าห่มนวมนุ่มหนาที่ห่มตัวออก เผลอ ๆ ดันไปถีบคนข้าง ๆ ด้วย จบเห่กัน คือแทนที่จะประหยัด กลับต้องเสียค่าหยูกค่ายา มารักษาโรคถีบตกเตียง ตกลงเหตุผลที่ให้มาฟังขึ้นมั๊ยเนี่ย
หลังจาก check out ก็ไปทานอาหารเช้ากันข้างนอก (ก็จองโรงแรมมาไม่ได้รวมอาหารเช้าด้วย ตั้งใจจะไปซัดก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยต้นตำรับให้เต็มหนำ) ดูจากแผนที่ ร้านก๋วยเตี๋ยวสุโขทัยต้นกะจี้ ไม่น่าจะอยู่ห่างไปมากนักไม่ถึงแยกไฟแดง พอเลี้ยวออกนอกถนนใหญ่ไปอีกไม่ไกลก็น่าจะเจอ ขับหาไปเรื่อย ๆ เฮ้ย นี่จะเลยสี่แยกไฟแดงแล้ว เอ้ากลับรถ วิ่งวกลับมาทางเดิม ก็ไม่เห็นมี ลองเปิดกระจกถามลุงที่ยืนอยู่ข้างทาง เขาบอกว่า “ไม่รู้จัก ขอเชิญไปข้างหน้า” หง่าวเลยตู คงหมายถึงไปถามคนข้างหน้า ก็ขับไปถึงไกล้เท้าสะพาน (มีเพื่อนสมาชิกในพันทิปคนนึงบอกว่าจะสุภาพไปถึงไหน เรียก ตีนสะพานก็ได้) ก็กลับรถมาใหม่ ขับมาเรื่อย ๆ ก็แวะถามลุงอีกคนนึง (คนละคนนะครับ คงไม่อุตส่าห์วิ่งข้ามถนนมาเพื่อมาบอกว่า ขอเชิญไปข้างหน้าอีก) แกก็บอกว่า โอ้ย โน่นไง อยู่นั่น แต่วันนี้เขาปิด (มิน่าเล่า ถึงหาไม่เจอ) ทำไมไม่ไปกินที่ร้านก๋วยเตี๋ยวหมูในซอยลึกลับล่ะ อร่อยนะ แล้วลุงก็บอกทางไปให้ ก็ขับตามที่ลุงบอกคือร้านอยู่ในซอยซ้ายมือข้างปั๊มเชลล์ เลยร้านต้นกะจี้ไปไม่ไกลก่อนถึงแยกไฟแดง เข้าไปในซอยไม่ลึกมากก็ถึงร้าน มีที่จอดรถกว้างขวาง (แต่ถ้าไม่รู้จัก ก็ลึกลับจริง ๆ เพราะอยู่ในซอยนิดเดียว ไม่น่าเชื่อว่าจะมีร้านก๋วยเตี๋ยวอร่อยในซอยนี้) ก็สั่งก๋วยเตี๋ยวทานกันอย่างเอร็ดอร่อย เชิญชมภาพ :
ที่จอดรถหน้าร้าน จะเห็นว่ามาเป็นลูกค้ารายแรกเลย:
ร้านเป็นเพิงข้างซอย:
ขนมก็อร่อย ทำใหม่ ๆ ร้อน ๆ:
อิ่มแล้วก็เรียกเก็บตัง ทั้งหมด 210 บาท ราคาน่าคบสำหรับเนื้อหมูนุ่ม ๆ น้ำแกงร้อน ๆ เชง ๆ (ไม่ใช่น้ำป้าเชงนะ เชง ๆ หมายถึง ใส ๆ) ออกจากร้านก็วกกลับมาข้ามสะพานข้ามแม่น้ำยม ดูเข็มไมล์อยู่ที่ 870 กิโลเมตร ก็ขับตรงไปเพื่อเข้าเส้นทางสาย 12 ระยะทางจากสุโขทัยไปพิษณุโลกประมาณ 60 กิโลเมตร ระหว่างทาง สมาชิกอยากซื้อของฝากที่ใคร ๆ ก็ถามหาเมื่อมาถึงสุโขทัย ให้ทายซิว่าเป็นอะไร ถูกต้องแล้วคร้าบบบบ.....ขนมผิงแง้มประตูขาย (แม่ติ๋ม) อำเภอกงไกรลาส เอาละซิ ไปยังไง ก็จอดถามทางจากคุณลุง (ดูว่าเป็นคนเดิมหรือเปล่าก่อน อ้อ ไม่ใช่) เขาบอกให้ไปทางพิษณุโลกประมาณ 20 กิโลเมตรก็ถึง อุต๊ะ ช่างบังเอิญดีแท้ กำลังจะไปธุระที่พิษณุโลกพอดี ก็รีบจรลี เดินทางไป ทางเส้นนี้ดีครับ ขับสบาย ไปเรื่อย ๆ จนถึงอำเภอกงไกรลาส มีแยกไฟแดงเลี้ยวขวา (อันที่จริงน่าจะบอกว่าถึงแยกไฟเขียวเลี้ยวขวามากกว่า) เข้าไปสักประมาณ 5 กิโลเมตรมั๊ง ก็ถึงร้านแม่ติ๋มแง้มฝาโลง เอ้ย ไม่ใช่ แง้มประตูขาย ก็จอดรถหน้าร้าน บุกเข้าไปในร้านร้องโหวกเหวกเรียกหาแม่ติ๋ม สักครู่แม่ติ๋ม (มั๊ง) เดินออกมา ก็ใช้เวลาสักพักนึงซื้อของฝากกันนัวเนีย คนนี้เอายี่สิบถุง คนนั้นเอาสามสิบถุง สุดท้ายก็ได้จำนวนถุงตามที่ได้โทรมาสั่งเมื่อวานนี้ ไม่สามารถเพิ่มจำนวนถุงมากกว่านี้ได้ เขาไม่ขายถ้าไม่โทรมาสั่งล่วงหน้า (หยิ่งซะด้วย) เชิญชมภาพครับ :
มีหลายสื่อมาการันตีความอร่อยให้:
ออกจากร้านแง้มประตูใช้เวลาไม่นานก็ขับถึงตัวเมืองพิษณุโลก ข้ามสะพานข้ามแม่น้ำน่าน แล้วเลี้ยวซ้ายเข้าไปในเขตวัดพระศรีรัตนมหาธาตุวรมหาวิหาร หาที่จอดรถได้บริเวณวัด ก็เข้าไปสักการะพระพุทธชินราช องค์พระคงมีความสวยงามและยิ้มแย้มเช่นเดิม ไม่แก่เลย (ก็เคยมาสักการะครั้งนึงเมื่อสองปีก่อนและได้ขอจิตอธิฐานบางอย่างจนสำเร็จผล ก็เป็นเหตุผลนึงที่มาหาท่านอีกในครั้งนี้) เชิญชมภาพครับ :
ออกจากวัดก็เดินทางไปร้านภูฟ้าไทยที่ครัวคุณต๋อยแนะนำ (เห็นมั๊ย แฟนครัวคุณต๋อยตัวยงเลยนะเนี่ย) ก็อีกนั่นแหละ ทางรายการครัวคุณต๋อยบอกทางไว้อย่างละเอียด แต่จำผิดเอง ก็พาหลงทางไปพักใหญ่ (จุ๊ ๆ อย่าเอ็ดไป นี่เป็นกุศโลบาย ในการฆ่าเวลา เพราะของเก่าเมื่อเช้ายังย่อยไม่หมดเลย) สุดท้ายก็มาถึงร้านภูฟ้าไทยจนได้ พอดิบพอดีกับเจอทัวร์สัมมนาลง 3 คันรถ ก็เดินตามเขาเข้าไป เขาคงนึกว่าเป็นอาจารย์ที่ไปร่วมสัมมนาด้วยเพราะหน้าตาให้ แต่สีเสื้อที่พวกเขาใส่เป็นยูนิฟอร์มไม่เหมือนกับพวกเราและการแต่งตัวคงไม่เหมือนอาจารย์ ก็เลยแยกวงออกมาก่อนที่เขาจะไล่ตะเพิดออกมา (พูดเล่น เดี๋ยวหาว่างกกิน) ก็สั่งอาหารตามที่ครัวคุณต๋อยแนะนำ เชิญชมภาพ :
หลังจากอิ่มหนำแล้ว ก็ให้แม่บ้านโทรไปจองโต้ะสำหรับมื้อเย็นที่ไร่จันทร์แรมที่เขาค้อ สมาชิกก็ร้องเป็นเสียงเดียวกันว่า อั่ยหยา ไม่ไหวแล้วหวา พักกระเพาะบ้างเถอะ ที่เดินทางมาตั้งแต่ต้น อาหารอร่อยทุกมื้อเลยจนฉุดพุงไม่อยู่แล้ว ขอพักบ้างเถอะ ก็เลยออกเสียงกัน (เห็นไหมว่าเป็นประชาธิปไตยแค่ไหน) ได้ข้อสรุปว่าจะทานกันที่ระเบียงของที่พักเย็นนี้ก็แล้วกัน ก็เลยสั่งอาหารทางร้านอีก 2 อย่าง ให้ใส่ห่อไป รวมค่าอาหารทั้งหมด 1,190 บาท ออกจากร้านก็แวะตลาดสดใกล้สถานีรถไฟ ซื้อผักกาดขาวกับถั่วพู ไว้กินกับน้ำพริกที่ซื้อมาจากร้านชิดชลที่จังหวัดตาก เสร็จสรรพ ก็เดินทางออกจากตัวเมืองพิษณุโลกไปประมาณ 10 กว่ากิโลเมตร เลี้ยวซ้าย ขึ้นเขาไปนิดเดียวไม่สูงชันนัก ก็ถึงวัดราชคีรีหิรัญยาราม เชิญชมภาพครับ :
ออกจากวัดก็วิ่งตรงไปแยกแค้มป์สน นี่แหล่ะเป็นเส้นทางที่หนักใจ แต่ แต่ แต่ กลับพลิกความคาดหมาย เส้นทางนี้สร้างเสร็จเกือบสมบูรณ์แล้ว (หมายถึงช่วงพิษณุโลกไปแยกแค้มป์สน) ส่วนใหญ่เป็นทางแยกกัน 4-6 เลน ถนนลาดยางสีน้ำเงินเข้มมีเส้นแบ่งทางสีเหลืองชัดเจน ถนนเรียบขึ้นเขาลงเขาบ้างแต่มีป้ายเตือนบอกให้ระวังตลอดทาง ภูมิทัศน์สวยงามเป็นภาพภูเขาและป่าไม้ข้างทาง มีบางช่วงบ้างที่พอเข้าเขตเมืองก็ชะลอความเร็วลง เพราะฉะนั้น นี่คือข้อมูล update ที่ต้องการบอกกับเพื่อน ๆ ที่เข้ามาเก็บข้อมูลว่า เส้นทางสายนี้ช่วง พิษณุโลก-แยกแค้มป์สน เสร็จสวยงามแล้วจ้า
ถึงแยกแค้มป์สน เลี้ยวขวาขึ้นเขาค้อ ไปสุดทางที่ที่พักที่จองไว้ นั่นคือ เขาค้อทะเลหมอก (จริง ๆ แล้ว กะจะไปพักอีกที่นึงที่เมื่อครั้งที่แล้วมาเขาค้อ ได้ไปเห็นภาพที่ประทับใจเมื่อตอนพระอาทิตย์ตก แต่ราคาไม่ประทับใจด้วย ก็เลยมาพักที่เดิม เดี๋ยวก็รู้ว่าที่ไหนเมื่อดูจากภาพ ถ้าคนเคยไปเขาค้อมาแล้ว) Check in เอาสัมภาระออกมาแล้วก็พักผ่อนเดินเล่น สูดอากาศเขาค้อ ที่ใครบางคนกล่าวไว้ว่า มาสูดอากาศเขาค้อหนึ่งครั้ง อายุยืน 10 ปี นี่มาครั้งที่สองแล้ว น่าจะอายุยืนไปอีก 20 ปีเป็นแน่ ส่วนมื้อเย็น ก็อย่างที่ได้ทำประชาพิจารณ์ แกะถุงอาหาร ใส่จาน ล้างผัก แล้วมานั่งล้อมวงตรงระเบียงห้องที่พัก สัมผัสกับบรรยากาศ ยามพระอาทิตย์ตกเขา ช่างสวยงามจับใจยิ่งนัก เชิญชมภาพครับ :
ห้องพักเป็นแบบ 2 เตียงใหญ่ นอน 4 คน:
หลังห้องพักมีระเบียงนั่งเล่น:
อันนี้ละที่จะไปพัก แต่ราคาแพงไปหน่อย ก็เลยกลับมาพักที่นี่:
ฟ้าตอนดวงอาทิตย์ตกเขา:
ที่เห็นเป็นจุดขาว ๆ ไม่ใช่ Dead pixel ของกล้องนะ เป็นแสงดวงดาวน่ะ:
มื้อเย็นที่ระเบียงห้องพัก
รวมพระเอกของงานด้วย อิอิ:
หลังอาหารเย็น (น่าจะเรียกว่าอาหารค่ำมากกว่า) ทุกคนต่างก็จับจองที่นอนของตัวเอง และทุกอย่างก็อยู่ในความเงียบงันเหมือนไม่มีใครอยู่ในห้อง (ก็ก้มหน้าก้มตาเล่นเน็ตกันใหญ่) ไม่นานนัก.....ก็มีเสียงแปลกประหลาดดังขึ้นสอดแทรกความเงียบในยามค่ำคืนนี้ ทุกคนถอนหายใจอย่างโล่งอกว่า เสียงอันไพเราะจับใจนั้น ไม่ใช่เสียงของตัวเอง เป็นเสียงกรนของข้าพเจ้าเองครับ นอนหลับฝันดี
ปล. ครั้งนี้ พิมพ์ได้ 9998 ตัวอักษร เกือบต้องทำ ภาคหนึ่ง (1/2) ต่อ ภาคสอง (2/2) แน่ะ