จาก (1/2) มาต่อกันที่ (2/2) จริง ๆ แล้ว เว็ปพันทิปน่าจะขยายเพิ่มตัวอักษรเป็น 20000 ตัวอักษรได้แล้วน๊า จะได้เขียนได้ต่อเนื่อง มันสะดุด ๆ ยังไงก็ไม่รู้
เอาละ ไม่ว่ากัน ถึงไหนแล้ว อ้อ รูปภาพวัดจรเข้ เชิญชมครับ :
ตรงกลางหลังจรเข้ มีโบสถ์เล็ก ๆ ตั้งอยู่ ลองเข้าไปดู ต้องร้อง ว้าวว ว้าวว ว้าวว แบบชิงร้อยชิงล้าน ข้างในเรียบเนียน ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากเลย มีพระประธาน 1 องค์อยู่ด้านใน เป็นพระพุทธรูปทองทั้งองค์สวยแบบเรียบ ๆ (คล้ายองค์พระไทยมากกว่า) ไม่เหมือนองค์พระที่เห็นมาทั้ง 3 วัด ที่ดูมีสีสรรสวยงาม ก็ถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึก แต่ไม่เอามาลงให้ชมกัน ไม่รู้มีลิขสิทธิ์พม่าหรือเปล่า เพราะเขาห้ามผู้หญิงเข้า (มีป้ายบอกชัดเจน) ในเว็ปพันทิปนี้มีสมาชิกที่เป็นผู้หญิงเยอะด้วย เอาเป็นว่าอยากรู้ว่าสวยแค่ไหน ให้แฟนพาไปดู แล้วออกมาอธิบายให้ฟังเองแล้วกัน:
โบสถ์ที่อยู่บนหลังจรเข้:

ทางเดินเข้าโบสถ์ ห้ามผู้หญิงเข้า (อดดู อิอิ):
อ้อ เขามีแผ่นศิลาจารึกตั้งตระหง่านอยู่ข้างในวัดรูปตัว U ที่เล่าประวัติที่มาที่ไปของวัดแห่งนี้ ว่าทำไมถึงเป็นวัดจรเข้ ก็เข้าไปหาอ่านได้ทั้งภาษาไทย พม่าและอังกฤษ:
ออกจากวัดสุดท้าย คนขับรถตู้ก็แวะไปตลาดบุเรงนอง และบอกว่าวันนี้ วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม เป็นวันพระ ตลาดปิด เราร้องไชโย (อย่างเงียบ ๆ ในใจ) ไม่ต้องเสียตังค่าช็อปปิ้ง คนขับรถตู้ก็ขับกลับทางเดิม ผ่านเท้าสะพาน ลงเดินดุ่ย ๆ ออกไป กลับมา ขับข้ามสะพานไป ออกไป กลับมา แล้วกลับมาที่สำนักงานทำใบผ่านแดน จ่ายตังเรียบร้อย ก็ขับรถกลับไปที่ด่าน
ที่ใต้สะพานหน้าด่าน จะมีลานจอดรถอยู่ซ้ายมือก่อนเลี้ยววกใต้สะพาน พอดีมีรถกะบะออกหนึ่งคัน ก็เสียบเข้าซองแทน จากตรงนี้ มองไปใต้สะพานอีกด้าน เป็นตลาดริมเมย ก็เดินตรงไปทางนั้น แล้วเดินบนทางเท้าเลียบสะพานไปอีกไม่กี่ก้าว ก็ถึงร้านกระเพาะปลาริมเมย ที่ร้านนี้เขาขายเครื่องประดับพวกจิวเวลรี่ด้วย บางครั้งจึงเรียกร้านนี้ว่า ร้านกระเพาะปลาจิวเวลรี่ ร้านนี้ 9 ใน 10 คน บอกมาริมเมย ต้องร้านนี้เท่านั้น เป็นคนเชื่อคนง่าย ก็เลยฝากท้องมื้อเที่ยงกับร้านนี้ ก็พูดกันตามตรงนะ กระเพาะปลาก็งั้น ๆ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ก็เพราะเคยทานกระเพาะปลาที่อร่อยกว่านี้ และเป็นเนื้อกระเพาะปลามากกว่านี้ นี่ใช้เศษกระเพาะปลาชิ้นเล็ก ๆ และใส่หน่อไม้ด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้ว กระเพาะปลาแท้ ๆ เขาไม่ใส่หน่อไม้กัน น่าจะเป็น option หรือทางเลือกสำหรับลูกค้ามากกว่า การใส่หน่อไม้น่าจะทำให้กำไรดี เพราะแถวบ้าน ถ้าใส่หน่อไม้ 35 บาท ถ้าไม่ใส่หน่อไม้ กระเพาะล้วน 40 บาท นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่บอกว่า ก็งั้น ๆ ทั้งคุณภาพและปริมาณ แต่...ในวิกฤตก็มีโอกาส เพราะไม่ได้สั่งแต่กระเพาะปลาอย่างเดียว (สั่งมาชามนึงชิมก่อน) สั่งอาหารกับข้าวมาด้วย และในจานที่สั่ง มีเพชรเม็ดงามอยู่ในนั้น นั่นคือ ปลาแม่น้ำเมยนึ่งซีอิ๊ว เนื้อปลานุ่มชุ่มลิ้นได้ใจ คล้าย ๆ ปลาหิมะ น้ำราดซีอิ๊วก็ไม่เค็มมาก กำลังดี และอีกจากคือ ผัดเผ็ดหมูป่า สุดยอดจริง ๆ เข้ม สะใจ ถึงรสเครื่องแกง เนื้อหนังหมูป่าชิ้นบาง ๆ ก็กรุบกรอบเหนียวกำลังดี เชิญชมครับ :

อาหารจานอื่น ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ค่าอาหารรวม 930 บาท ราคาใช้ได้กับรสชาดอาหารขนาดนี้
ดูเอาก็แล้วกันว่า ร้านดังขนาดไหน ขนาดซอยข้างร้าน ยังชื่อซอยว่า ซอยกระเพาะปลา (ป้ายบอกชื่อซอยสีน้ำเงินด้านบน) บอกได้คำเดียวว่า นายแน่มาก:
ออกจากร้านกระเพาะปลา ก็ไปเดินย่อยอาหารในตลาดริมเมย ตรงนั้น จะมีป้ายขนาดใหญ่ที่ทุกคนไปต้องไปแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันว่า มาถึงแล้ว นั่นคือ ป้ายสุดประจิมที่ริมเมย ในตลาดริมเมยมีของใช้และอาหารแห้งทั่วไปที่หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป เว้นแต่ของที่ระลึกเช่น พวงกุญแจ เสื้อปักลายต่าง ๆ ที่เขียนว่ามาถึงริมเมยแล้วเท่านั้นที่น่าสนใจ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก

ภาพด้านหน้าตัวตลาดริมเมย:
ออกจากตลาด ขับรถไปแยกไฟแดงเมื่อวานที่ไปพระธาตุหินกิ่ว พอเลี้ยวซ้ายยังไม่ท้นกระพริบตาก็เลี้ยวขวาเข้าไปในเขตวัดไทย ชื่อว่า วัดไทยวัฒนาราม เป็นวัดที่สวยงามมาก เป็นทองเหลืองอร่าม สวยจริง ๆ ก็เข้าไปไหว้พระแล้วออกมาชื่นชมบรรยากาศรอบวัด พอได้เวลาอันควรก็ออกจากวัด วิ่งมุ่งหน้าสู่จังหวัดตาก เชิญชมภาพวัดไทยฯ ครับ:
ขับไปได้สักพักใหญ่ ข้างทางฝั่งซ้ายมือของถนนจากแม่สอดไปตาก มีร้านและเพิงขายของมากมาย เรียกว่าตลาดมูเซอ ก็คือ เป็นพวกชาวเขาเอาสินค้าเกษตรมาตั้งวางขายกัน ช่วงมกราคมที่ไป ก็จะมีพวกพุทธรา สตรอเบอรี่ และพืชผักใบเขียวต่าง ๆ เช่น บล็อกเคอรี่ เป็นต้น ก็แค่แวะดู ไม่ได้ซื้ออะไรมากเพราะเป็นพืชเน่าเสียง่าย ยังต้องไปต่ออีกหลายวัน
เข้าตัวเมืองตากได้ก็เลี้ยวเข้าที่พักโรงแรมสวนสิน2 อยู่ตรง 3 แยกพอดี ที่ตั้งทำเลดีจริง ๆ ถ้าเล่นซ่อนหา โดนจับแพ้ตลอด เพราะหาง่าย Check in ขอกุญแจห้องพัก พอเปิดประตูเข้าไป ตกใจนึกว่าเขาให้กุญแจมาผิดห้องหรือเปล่า ห้องอย่างกับโรงแรม 5 ดาว (เช็คราคากันเองนะครับ แต่บอกได้คำเดียวว่าราคาแบบยาจก) คิดดูว่า แอร์ในห้อง ใช้แอร์ไดร์กิ้นส์ (เย็นฉ่ำเงียบสนิท หนาวโคตร ๆ) มีโรงแรมราคาขนาดนี้ที่ไหนเขาติดกัน ห้องกว้างใช้ได้ ห้องน้ำก็แยกเป็นสัดส่วนดี ทีวีจอ LCD มีเครื่อง DVD ให้เล่นด้วย จริง ๆ โรงแรมน่าจะทุ่มโฆษณานะว่ามีเครื่องเล่น DVD ในห้องให้ด้วย จะได้เอาแผ่นหนัง...มาดู อิอิ
อ้อ ลืมไป ตอนบ่ายให้แม่บ้านโทรไปจองโต้ะตอนเย็นที่ร้านชิดชล คุณป้าที่รับสายทางโน้นก็บอกว่า เปิดค่า เข้ามาได้เลยค่า พอตกเย็น ก็ขับรถไปที่ร้าน เป็นร้านอาหารที่ เรียกว่า โรแมนติกมาก ๆ อยู่ริมแม่น้ำปิง มองเห็นสะพานกิตติขจรอยู่เยื้องออกไป เชิญชมภาพ :
ภาพนี้ ไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นบ้านพักของเจ้าของร้าน ด้านหน้าของตัวบ้านเป็นที่จอดรถ เดินเข้าไปอีกหน่อยก็จะเจอร้านอยู่ริมแม่น้ำ:
ในร้านมีลูกค้าอยู่ 1 โต้ะ ขณะที่อีกโต้ะเพิ่งลุกออกไป ยังไม่ได้เก็บโต้ะ นั่งซักพัก ก็มีคุณป้า (จะเรียกคุณยายก็ดูแก่ไป) น่าตาดีหุ่นสะโอดสะอง มารับออเดอร์ และขอโทษขอโพยว่า รับลูกค้าจำกัด ทำให้ไม่ทัน ต้องใช้เวลาหน่อยนะ แล้วก็จดออเดอร์ไป (จริง ๆ ไม่ได้จดหรอก คุณป้าก็แนะนำโน่น แนะนำนี่ พวกเราก็เออ ๆ ออ ๆ เอาก็เอา) สุดท้าย นั่งรอสักพัก ก็ได้กับข้าวมา 3-4 อย่าง โอ้โฮ ขอโทษ อร่อยทุกอย่าง ไม่เชื่อว่าปลาช่อนโบราณที่ชอบสั่งทานกันทั่วๆ ไป ที่นี่อร่อยมาก เนื้อปลาด้านนอกกรอบ เนื้อด้านในนุ่มละลายในปาก แล้วยังมีกระดูกอ่อนผัดเครื่องแกงแนมด้วยไข่เค็มจิ๋ว โอ้ (จะบอกว่าสวรรค์ เดี๋ยวเบื่อแย่) โออิชิเนะ อร่อยมาก ๆ มีน้ำพริกดำอีก 1 ถ้วยกินกับผักแนม สุดยอดน้ำพริกเลยที่เดียว ขนาดขอซื้อเพิ่มเขากลับมากินระหว่างเดินทางต่อด้วย เชิญชมภาพครับ :
ขออภัยจริง ๆ อร่อยจนลืมถ่ายรูป จนอาหารหมดไปตั้งเยอะ ค่าอาหารมื้อนี้ ตก 1,120 บาท รวมน้ำพริกดำกับแคบหมูอีก 1 ถุงใหญ่ เจ้าของร้านเขาใส่ใจในการทำอาหารจริง ๆ นับถือ นับถือ
จบภาระกิจการท่องเที่ยวและการทานอาหารในวันนี้อย่างมีความสุข ก็ขับรถกลับโรงแรม นอนหลับฝันดี
ตอนหน้า ชื่อเรื่อง ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ปล. พอดีวันนี้ (วันอาทิตย์) ต้องไปทำธุระทั้งวันกลับค่ำ กลัวมาเขียนเล่าเรื่องไม่ทัน ก็เลยตื่นแต่เช้ามาเขียนเรื่องให้เสร็จ จะไปนอนต่อละ Goodnight.
[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 2. เดินทางวันที่2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร (2/2)
เอาละ ไม่ว่ากัน ถึงไหนแล้ว อ้อ รูปภาพวัดจรเข้ เชิญชมครับ :
ตรงกลางหลังจรเข้ มีโบสถ์เล็ก ๆ ตั้งอยู่ ลองเข้าไปดู ต้องร้อง ว้าวว ว้าวว ว้าวว แบบชิงร้อยชิงล้าน ข้างในเรียบเนียน ไม่ได้ตกแต่งอะไรมากเลย มีพระประธาน 1 องค์อยู่ด้านใน เป็นพระพุทธรูปทองทั้งองค์สวยแบบเรียบ ๆ (คล้ายองค์พระไทยมากกว่า) ไม่เหมือนองค์พระที่เห็นมาทั้ง 3 วัด ที่ดูมีสีสรรสวยงาม ก็ถ่ายรูปมาเป็นที่ระลึก แต่ไม่เอามาลงให้ชมกัน ไม่รู้มีลิขสิทธิ์พม่าหรือเปล่า เพราะเขาห้ามผู้หญิงเข้า (มีป้ายบอกชัดเจน) ในเว็ปพันทิปนี้มีสมาชิกที่เป็นผู้หญิงเยอะด้วย เอาเป็นว่าอยากรู้ว่าสวยแค่ไหน ให้แฟนพาไปดู แล้วออกมาอธิบายให้ฟังเองแล้วกัน:
โบสถ์ที่อยู่บนหลังจรเข้:
ทางเดินเข้าโบสถ์ ห้ามผู้หญิงเข้า (อดดู อิอิ):
อ้อ เขามีแผ่นศิลาจารึกตั้งตระหง่านอยู่ข้างในวัดรูปตัว U ที่เล่าประวัติที่มาที่ไปของวัดแห่งนี้ ว่าทำไมถึงเป็นวัดจรเข้ ก็เข้าไปหาอ่านได้ทั้งภาษาไทย พม่าและอังกฤษ:
ออกจากวัดสุดท้าย คนขับรถตู้ก็แวะไปตลาดบุเรงนอง และบอกว่าวันนี้ วันอาทิตย์ที่ 4 มกราคม เป็นวันพระ ตลาดปิด เราร้องไชโย (อย่างเงียบ ๆ ในใจ) ไม่ต้องเสียตังค่าช็อปปิ้ง คนขับรถตู้ก็ขับกลับทางเดิม ผ่านเท้าสะพาน ลงเดินดุ่ย ๆ ออกไป กลับมา ขับข้ามสะพานไป ออกไป กลับมา แล้วกลับมาที่สำนักงานทำใบผ่านแดน จ่ายตังเรียบร้อย ก็ขับรถกลับไปที่ด่าน
ที่ใต้สะพานหน้าด่าน จะมีลานจอดรถอยู่ซ้ายมือก่อนเลี้ยววกใต้สะพาน พอดีมีรถกะบะออกหนึ่งคัน ก็เสียบเข้าซองแทน จากตรงนี้ มองไปใต้สะพานอีกด้าน เป็นตลาดริมเมย ก็เดินตรงไปทางนั้น แล้วเดินบนทางเท้าเลียบสะพานไปอีกไม่กี่ก้าว ก็ถึงร้านกระเพาะปลาริมเมย ที่ร้านนี้เขาขายเครื่องประดับพวกจิวเวลรี่ด้วย บางครั้งจึงเรียกร้านนี้ว่า ร้านกระเพาะปลาจิวเวลรี่ ร้านนี้ 9 ใน 10 คน บอกมาริมเมย ต้องร้านนี้เท่านั้น เป็นคนเชื่อคนง่าย ก็เลยฝากท้องมื้อเที่ยงกับร้านนี้ ก็พูดกันตามตรงนะ กระเพาะปลาก็งั้น ๆ ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ก็เพราะเคยทานกระเพาะปลาที่อร่อยกว่านี้ และเป็นเนื้อกระเพาะปลามากกว่านี้ นี่ใช้เศษกระเพาะปลาชิ้นเล็ก ๆ และใส่หน่อไม้ด้วย ซึ่งจริง ๆ แล้ว กระเพาะปลาแท้ ๆ เขาไม่ใส่หน่อไม้กัน น่าจะเป็น option หรือทางเลือกสำหรับลูกค้ามากกว่า การใส่หน่อไม้น่าจะทำให้กำไรดี เพราะแถวบ้าน ถ้าใส่หน่อไม้ 35 บาท ถ้าไม่ใส่หน่อไม้ กระเพาะล้วน 40 บาท นี่เป็นเหตุผลสำคัญที่บอกว่า ก็งั้น ๆ ทั้งคุณภาพและปริมาณ แต่...ในวิกฤตก็มีโอกาส เพราะไม่ได้สั่งแต่กระเพาะปลาอย่างเดียว (สั่งมาชามนึงชิมก่อน) สั่งอาหารกับข้าวมาด้วย และในจานที่สั่ง มีเพชรเม็ดงามอยู่ในนั้น นั่นคือ ปลาแม่น้ำเมยนึ่งซีอิ๊ว เนื้อปลานุ่มชุ่มลิ้นได้ใจ คล้าย ๆ ปลาหิมะ น้ำราดซีอิ๊วก็ไม่เค็มมาก กำลังดี และอีกจากคือ ผัดเผ็ดหมูป่า สุดยอดจริง ๆ เข้ม สะใจ ถึงรสเครื่องแกง เนื้อหนังหมูป่าชิ้นบาง ๆ ก็กรุบกรอบเหนียวกำลังดี เชิญชมครับ :
อาหารจานอื่น ก็ไม่มีอะไรพิเศษ ค่าอาหารรวม 930 บาท ราคาใช้ได้กับรสชาดอาหารขนาดนี้
ดูเอาก็แล้วกันว่า ร้านดังขนาดไหน ขนาดซอยข้างร้าน ยังชื่อซอยว่า ซอยกระเพาะปลา (ป้ายบอกชื่อซอยสีน้ำเงินด้านบน) บอกได้คำเดียวว่า นายแน่มาก:
ออกจากร้านกระเพาะปลา ก็ไปเดินย่อยอาหารในตลาดริมเมย ตรงนั้น จะมีป้ายขนาดใหญ่ที่ทุกคนไปต้องไปแวะถ่ายรูปเป็นที่ระลึกกันว่า มาถึงแล้ว นั่นคือ ป้ายสุดประจิมที่ริมเมย ในตลาดริมเมยมีของใช้และอาหารแห้งทั่วไปที่หาซื้อได้ตามตลาดทั่วไป เว้นแต่ของที่ระลึกเช่น พวงกุญแจ เสื้อปักลายต่าง ๆ ที่เขียนว่ามาถึงริมเมยแล้วเท่านั้นที่น่าสนใจ นอกนั้นก็ไม่มีอะไรมาก
ภาพด้านหน้าตัวตลาดริมเมย:
ออกจากตลาด ขับรถไปแยกไฟแดงเมื่อวานที่ไปพระธาตุหินกิ่ว พอเลี้ยวซ้ายยังไม่ท้นกระพริบตาก็เลี้ยวขวาเข้าไปในเขตวัดไทย ชื่อว่า วัดไทยวัฒนาราม เป็นวัดที่สวยงามมาก เป็นทองเหลืองอร่าม สวยจริง ๆ ก็เข้าไปไหว้พระแล้วออกมาชื่นชมบรรยากาศรอบวัด พอได้เวลาอันควรก็ออกจากวัด วิ่งมุ่งหน้าสู่จังหวัดตาก เชิญชมภาพวัดไทยฯ ครับ:
ขับไปได้สักพักใหญ่ ข้างทางฝั่งซ้ายมือของถนนจากแม่สอดไปตาก มีร้านและเพิงขายของมากมาย เรียกว่าตลาดมูเซอ ก็คือ เป็นพวกชาวเขาเอาสินค้าเกษตรมาตั้งวางขายกัน ช่วงมกราคมที่ไป ก็จะมีพวกพุทธรา สตรอเบอรี่ และพืชผักใบเขียวต่าง ๆ เช่น บล็อกเคอรี่ เป็นต้น ก็แค่แวะดู ไม่ได้ซื้ออะไรมากเพราะเป็นพืชเน่าเสียง่าย ยังต้องไปต่ออีกหลายวัน
เข้าตัวเมืองตากได้ก็เลี้ยวเข้าที่พักโรงแรมสวนสิน2 อยู่ตรง 3 แยกพอดี ที่ตั้งทำเลดีจริง ๆ ถ้าเล่นซ่อนหา โดนจับแพ้ตลอด เพราะหาง่าย Check in ขอกุญแจห้องพัก พอเปิดประตูเข้าไป ตกใจนึกว่าเขาให้กุญแจมาผิดห้องหรือเปล่า ห้องอย่างกับโรงแรม 5 ดาว (เช็คราคากันเองนะครับ แต่บอกได้คำเดียวว่าราคาแบบยาจก) คิดดูว่า แอร์ในห้อง ใช้แอร์ไดร์กิ้นส์ (เย็นฉ่ำเงียบสนิท หนาวโคตร ๆ) มีโรงแรมราคาขนาดนี้ที่ไหนเขาติดกัน ห้องกว้างใช้ได้ ห้องน้ำก็แยกเป็นสัดส่วนดี ทีวีจอ LCD มีเครื่อง DVD ให้เล่นด้วย จริง ๆ โรงแรมน่าจะทุ่มโฆษณานะว่ามีเครื่องเล่น DVD ในห้องให้ด้วย จะได้เอาแผ่นหนัง...มาดู อิอิ
อ้อ ลืมไป ตอนบ่ายให้แม่บ้านโทรไปจองโต้ะตอนเย็นที่ร้านชิดชล คุณป้าที่รับสายทางโน้นก็บอกว่า เปิดค่า เข้ามาได้เลยค่า พอตกเย็น ก็ขับรถไปที่ร้าน เป็นร้านอาหารที่ เรียกว่า โรแมนติกมาก ๆ อยู่ริมแม่น้ำปิง มองเห็นสะพานกิตติขจรอยู่เยื้องออกไป เชิญชมภาพ :
ภาพนี้ ไม่ใช่ร้านอาหาร แต่เป็นบ้านพักของเจ้าของร้าน ด้านหน้าของตัวบ้านเป็นที่จอดรถ เดินเข้าไปอีกหน่อยก็จะเจอร้านอยู่ริมแม่น้ำ:
ในร้านมีลูกค้าอยู่ 1 โต้ะ ขณะที่อีกโต้ะเพิ่งลุกออกไป ยังไม่ได้เก็บโต้ะ นั่งซักพัก ก็มีคุณป้า (จะเรียกคุณยายก็ดูแก่ไป) น่าตาดีหุ่นสะโอดสะอง มารับออเดอร์ และขอโทษขอโพยว่า รับลูกค้าจำกัด ทำให้ไม่ทัน ต้องใช้เวลาหน่อยนะ แล้วก็จดออเดอร์ไป (จริง ๆ ไม่ได้จดหรอก คุณป้าก็แนะนำโน่น แนะนำนี่ พวกเราก็เออ ๆ ออ ๆ เอาก็เอา) สุดท้าย นั่งรอสักพัก ก็ได้กับข้าวมา 3-4 อย่าง โอ้โฮ ขอโทษ อร่อยทุกอย่าง ไม่เชื่อว่าปลาช่อนโบราณที่ชอบสั่งทานกันทั่วๆ ไป ที่นี่อร่อยมาก เนื้อปลาด้านนอกกรอบ เนื้อด้านในนุ่มละลายในปาก แล้วยังมีกระดูกอ่อนผัดเครื่องแกงแนมด้วยไข่เค็มจิ๋ว โอ้ (จะบอกว่าสวรรค์ เดี๋ยวเบื่อแย่) โออิชิเนะ อร่อยมาก ๆ มีน้ำพริกดำอีก 1 ถ้วยกินกับผักแนม สุดยอดน้ำพริกเลยที่เดียว ขนาดขอซื้อเพิ่มเขากลับมากินระหว่างเดินทางต่อด้วย เชิญชมภาพครับ :
ขออภัยจริง ๆ อร่อยจนลืมถ่ายรูป จนอาหารหมดไปตั้งเยอะ ค่าอาหารมื้อนี้ ตก 1,120 บาท รวมน้ำพริกดำกับแคบหมูอีก 1 ถุงใหญ่ เจ้าของร้านเขาใส่ใจในการทำอาหารจริง ๆ นับถือ นับถือ
จบภาระกิจการท่องเที่ยวและการทานอาหารในวันนี้อย่างมีความสุข ก็ขับรถกลับโรงแรม นอนหลับฝันดี
ตอนหน้า ชื่อเรื่อง ตอนที่ 4..อุทยานประวัติศาสตร์สุโขทัย
ปล. พอดีวันนี้ (วันอาทิตย์) ต้องไปทำธุระทั้งวันกลับค่ำ กลัวมาเขียนเล่าเรื่องไม่ทัน ก็เลยตื่นแต่เช้ามาเขียนเรื่องให้เสร็จ จะไปนอนต่อละ Goodnight.