ความเดิมตอนที่แล้ว:
จาก link นี้ครับ :
http://ppantip.com/topic/33108342
เริ่มเข้ากระทู้ของวันนี้เลยนะครับ
ตอนที่ 1. เริ่มเดินทางวันแรก..อุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2558
ทุกคนถูกปลุกเวลา 6.00 น. ทำธุระกันเสร็จก็ทานไข่ต้มกับใส้กรอก เป็นมื้อเช้า ตรวจบ้านช่องห้องหับให้เรียบร้อย ทั้งฟืนไฟ น้ำท่า ประตูหน้าต่าง เตาแก๊ส ว่าปิดเรียบร้อยดี ก็ขนสัมภาระใส่ท้ายรถ เมื่อทุกอย่างพร้อม ตั้งเข็มไมล์รถไว้ที่ 0000 ล้อก็เริ่มหมุนเมื่อเวลา 8.00 น. ตามหมายกำหนดการ
ออกจากบ้านขึ้นทางด่วน ทางพิเศษอุดรรัถยา วิ่งตรงไปเรื่อยๆ อากาศด้านนอกตอนเช้าๆ กำลังเย็นสบาย ถนนหนทางหลังวันปีใหม่ "โล่ง" (นี่คือเหตุผลที่จัดทริปนี้หลังวันปีใหม่) จะมีรถบ้างบางช่วงแต่น้อยคัน จากด่านหัวลำโพงไปถึงแยกบางไทรใช้เวลาประมาณ 25 นาที ช่วงเวลานี้ก็เลยถือโอกาสทำตัวเป็นไกด์บริฟท์ตารางการท่องเที่ยวคร่าว ๆ ในวันนี้ (จริง ๆ แล้วบริฟท์รายการท่องเที่ยวให้ฟังทั้งรายการตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เพื่อความไม่เยิ่นเยื้อย ก็ขอเล่าเป็นวันต่อวันแล้วกัน) ให้กับสมาชิกได้ฟังกันว่า เช้านี้เราจะเข้าเมืองอยุธยา เที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยากันประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะออกเดินทางไปสิงห์บุรี ไปทานข้าวเที่ยงร้านเจริญทิพย์ ที่ครัวคุณต๋อยที่เพิ่งออกรายการไปเมื่อไม่นานมานี้ หลังอาหารเที่ยง เราจะวิ่งตรงเข้าตัวเมืองกำแพงเพชร ระยะทางไกล ต้องใข้เวลาในการขับรถพอสมควร น่าจะถึงตัวเมืองประมาณ ห้าโมงเย็น คืนนี้เราจะพักที่โรงแรมนวรัตน์เฮอริเทจ ส่วนอาหารมื้อเย็น เราจะไปทานผัดไทยร้านดังในตลาดนครชุมกัน สมาชิกทุกคนต่างก็ส่งเสียงฮือฮากันว่า ดี ดี
(รูปสมาชิกที่ร่วมเดินทาง แหะ ๆ น่ารักทุกคนเบย)
แป๊ปเดียว ก็ถึงด่านบางไทร จ่ายตังเลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 9 ไปอีกหน่อยเดียว ก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 347 วิ่งตรงไปเรื่อย ๆ ถนนสายนี้ดี วิ่งสบาย นั่งคุยกันอีกไม่นานจะมีทางแยกเลี้ยวขวาเข้าถนน 3263 ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงอยุธยาแล้ว (ระยะทางจากกรุงเทพถึงอยุธยาประมาณ 80 กิโลเมตร) จากถนนสาย 3263 ข้ามสะพานแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนน 2 เลนสวนกัน จริง ๆ แล้ว ได้พิมพ์แผนที่ไว้แล้ว แต่ทำไมเวลาขับรถไปจริง ๆ กลับหาสถานที่ที่จะไปไม่เจอ นี่คือสิ่งที่น่ากังวล ก็ขับไปเรื่อย ๆ จนเห็นวัด ๆ นึง ก็คิดว่า เอาวะ ขอแวะเข้าไปดูหน่อย ปรากฏว่า วัดนี้ชื่อวัดธรรมิกราช เปิดหาในแผนที่ที่พิมพ์มาก็ไม่มี ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ก็จอดแวะไหว้พระกันเป็นวัดแรกก็แล้วกัน ทุกคนพร้อมใจกันอนุโมธนาสาธุ (เพราะอั้นปัสสาวะมานาน) หลังจากเสร็จภาระกิจส่วนตัวแล้ว ก็มารวมตัวกันก้มกราบพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ ถวายสังฆทานและขอพรให้การเดินทางในครั้งนี้ ราบรื่น ประสบแต่ความปลอดภัย หลังจากนั้นก็เดินมาดูบริเวณวัด โอ้แม่เจ้า! เป็นวัดที่มีความสวยงามมากทีเดียว ลานกว้างหน้าวัดมีเศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์ซึ่งเป็นศิลปะสมัยอู่ทองประดิษฐานอยู่ให้กราบไหว้ ภายในโบสถ์ก็มีองค์พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) องค์ใหญ่ซึ่งตัวโบสถ์น่าจะใหญ่กว่านี้ เพราะทางเดินค่อนข้างแคบ เมื่อเดินออกไปด้านหลัง ว้าววว! มีโบราณสถานให้ชื่นชมอีกมากมาย เดินกันจนลืมเวลาไปเลย แค่เดินผ่านๆ ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงสำหรับวัดแรกนี้ แล้ววัดต่อไปหล่ะ สงสัยว่าไปถึงกำแพงเพชรเที่ยงคืนแน่ ว่าแล้ว ไม่ได้การ ต้องจรลี ออกจากวัดนี้โดยพลัน เตร่ง ตะ เล่งเต่งเตร้ง
ดูรูปแล้วกันว่าวัดนี้ อลังการขนาดไหน
หลังจากกราบลาท่านฤาษี เอ้ยไม่ใช่ ออกจากวัดธรรมิกราช ก็เลี้ยวขวาไปตามถนน ขับ ๆ ไป เอ! ชักไปกันใหญ่ นี่จะออกนอกตัวเมืองเป็นแน่แท้ ก็เลยให้แม่บ้านควักปัจจัย 6 ออกมา (ก็ iPhone 6+ นั่นแหละ) เปิด GPS หาทางกลับวัด แป๊ปเดียว รู้เรื่อง รู้งี้ ควักออกมาใช้ตั้งนานแล้ว
Tip : ข้อสำคัญในการเดินทางไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยไป ควรพกปัจจัย 6 (4, 4S, 5 หรือ 5C ก็ได้ ไม่ห้าม) ไว้เปิด GPS คลำทาง เวลาหลง แหะ ๆ
หลังจากที่หลงทางไปพักใหญ่ ก็ได้เจ้า GPS ช่วยนำทางมาวัดที่ตั้งใจไว้ นั่นก็คือ วิหารพระมงคลบพิตร
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ดูรูปเลยแล้วกัน (ก็มันอธิบายไม่ถูกอ่ะ) :
ต่อด้วยวัดพระนอน เชิญชมครับ :
และที่ไฮไลท์ที่สุดของวันนี้ก็คือ...วัดพระศรีสรรเพชญ์ ตะลึงกับความงดงามที่ธรรมชาติได้ปรุงแต่งให้กับพระเศียรจริง ๆ บริเวณตรงนี้ มีชาวต่างชาติจำนวนมากมารอยืนรอถ่ายรูปอยู่ มีทั้งฝรั่ง ไทย จีน ก็ขอแหวกพวกเขาถ่ายรูปสวยๆ มาให้ชม เชิญชมครับ :
ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์นี้ มีค่าเข้าชมสำหรับต่างชาติด้วยนะครับ สำหรับคนไทย ฟรี! เห็นเขาเล่าว่า ตอนที่น้ำท่วมหนักปี 54 น้ำทำให้ฐานเจดีย์ต่าง ๆ ทรุดเอียงลงไป ก็ลองกลับไปดูรูปสิครับว่า เจดีย์เอียงไหม เอ! หรือว่ากล้องมันเอียงหว่า?
ถ้าเป็นคนจีน ก็ต้องร้องว่า ซี้เลี่ยวอ๋า ซี้เลี่ยวอ๋า เพราะพวกเราใช้เวลาในการชมวัดแค่ 4 วัดก็เกือบเที่ยงแล้ว ยังมีอีกตั้งหลายวัดยังไม่ได้ดู ยังไง ๆ ก็ต้องทำใจละครับ ไว้วันหน้าโอกาสดี ๆ หาเวลาสัก 2 วัน มาเจาะลึกแต่ละวัดอีกที เห็นทีต้องพอแค่นี้ก่อน ว่าแล้วก็ออกเดินทางไปรับประทานอาหารเที่ยงที่สิงห์บุรี
จากอยุธยา วิ่งออกถนนสาย 309 พอพ้น 309 ก็เจอกับถนนสาย 32 ซึ่งเป็นถนนสายหลักในการเดินทางไปสิงห์บุรี ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร
ถนนวิ่งดีไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกับก็บอกแม่บ้านให้โทรไปที่ร้านเจริญทิพย์ สิงห์บุรี ขอสั่งจองต้มยำพุงไข่ปลาช่อน (รายการครัวคุณต๋อยแนะนำ) ไว้หนึ่งหม้อ เสียงทางโน้นบ่นมาว่า "โอีย ใคร ๆ ก็สั่งแต่พุงไข่ปลาช่อน ไม่รู้มีหรือเปล่า ให้รีบมา" เท่านั้นแหละ เหยียบเลย (เลย 100 นิดเดียวเอง) ถึงตัวเมืองสิงห์บุรีน่าจะบ่ายโมง
ร้านเจริญทิพย์หาไม่ยาก เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ปั๊ปเดียวเจอ มีที่จอดรถหน้าร้าน พอได้โต๊ะนั่งริมในสุดแล้ว (นี่ขนาดบ่ายโมงแล้ว ลูกค้าในร้านยังแน่นอยู่เลย ของเค้าแรงจริง ๆ) ต่างคนไม่มองหน้ากันเลย สั่ง สั่ง สั่ง สั่งและสั่ง อาหาร พอรู้ตัวอีกที อาหารที่สั่งนั้น เป็นปลาทั้งสิ้น ตกลงมื้อนี้ มี 5 ปลาส์ (มีปลาหลายตัวต้องเติม ส์ ) เชิญชมอาหารปลาส์ :
ตายละ ลืมชื่ออาหารไป จำได้แต่ ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน เชิงปลากรายชุบแป้งทอด ปลาม้าผัดคึ่นช่าย ยำอะไรซักอย่างแต่ใส่ปลาทาโรด้วย แล้วรู้สึกน้ำแกงจะเป็นต้มยำปลาคังมั๊ง ไม่รู้ละ พอข้าวสวยถูกยกมา เปิดฝาออก โอ! สวรรค์ ข้าวสวยเรียงเม็ดยาวหอมกรุ่น ร้อน ๆ น้ำลายแทบกระฉูด อร่อยจริง ๆ ตักฉู่ฉี่กับปลาเนื้ออ่อนมาคลุกกับข้าว..สวรรค์ ซดต้มยำร้อนๆ..นี่ก็สวรรค์ เชิงปลากรายชุบแป้งกรุบกรอบหอมมัน..นี่ก็สวรรค์อีก เกือบถึงสวรรค์ชั้น 7 (มีแค่ 5 อย่างเอง) และแล้วภายในพริบตา ปลาส์ก็เหลือแต่ก้างส์ เหล่าสมาชิกนั่งพุงอืดกัน อ้อ..ทางร้านมีของดีอีกอย่างที่ขายเฉพาะลูกค้า VIP อย่างพวกเรา (แหะ ๆ ยกหางตัวเอง) คือ เขามี กาแฟชะมด จริง ๆ แล้ว เขาซื้อมาชงกินเอง แต่ถ้าลูกค้าคนไหนอยากทาน ก็ทำให้ สนนราคาถ้วยละ 150 บาท ก็เลยสั่งมา 1 ถ้วยหลอด 4 (กะเอาให้คุ้ม) เห็นเขาบอกว่าเป็นเมล็ดกาแฟที่ชะมดกินเข้าไปแล้วถ่ายออกมา ทำให้มีกลิ่นหอม (โปรดใช้วิจารณญาณในการดื่ม) หายากมาก ราคาจึงแพง เชิญชมกาแฟชะมดครับ :
ค่าเสียหายมื้อนี้ ประมาณ 1,500 บาท ก็คิดว่าไม่แพง เพราะคงไม่กินปลาไปอีกหลายมื้อรวมทั้งกาแฟชะมดด้วย ถ้วยเดียวก็เกินพอ พออิ่มหนำสำราญใจดีแล้ว ก็ออกเดินทางมุ่งสู่กำแพงเพชร พอออกจากสิงห์บุรีได้ก็ใช้เส้นทาง ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านอุทัยธานี ออกซ้ายเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ (เส้น 122) กลับเข้าสาย 1 ตรงไปกำแพงเพชร ระยะทางประมาร 250 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่งโมงกว่า (ถนนวิ่งดี ค่อนข้างโล่ง ไม่ติด ขณะที่อีกฝากมีรถติดเป็นช่วง ๆ)
ถึงกำแพงเพชร ก็ check in ที่ พักเลย โรงแรมใช้ได้ ใหม่ดี เสียอย่างเดียว ยังมีห้องแบบสูบบุหรี่อยู่ พอเปิดห้องพักเข้าไป ผงะเลย เหม็นบุหรี่มาก ลองเปิดแอร์ เปิดหน้าต่างยังไงก็ไม่หาย เลยขอเปลี่ยนห้อง ทางพนักงานทีแรกก็บอกว่าเต็ม ก็ค่อย ๆ เจรจา สุดท้ายก็เปลี่ยนห้องให้ ไม่มีกลิ่นแล้ว จริง ๆ แล้ว ถ้าโรงแรมยังมีนโยบายให้แขกที่มาพักสูบบุหรี่ในห้องอยู่ ก็ควรถามแขกใหม่ที่ check in ว่าจะรับห้องแบบ smoking หรือ non-smoking แค่นี้ ก็ไม่ต้องมานั่งเขียนให้เสียความรู้สึก
ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็ชวนกันไปทานข้าวเย็น อย่างที่บอก มื้อเย็นเป็นผัดไทย ชื่อร้านสุภาพผัดไทยนครชุม เห็นหลายคนชมนักชมหนาว่าอร่อย ก็ต้องไปลองดูหน่อย ตอนนี้เวลา 6 โมงเศษแล้ว เริ่มมืด ก็ค่อย ๆ คลำทางไป เพราะตลาดนครชุมไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่อยู่ขึ้นไปทางเหนือน้ำไกลอีกสักหน่อย พอไปถึง ปรากฏว่า มีงานตลาดย้อนยุคนครชุม ก็เลยโชคดีได้เดินเที่ยว ทานอาหารและฟังดนตรีด้วย
เชิญชมบรรยากาศตลาดนครชุม
สำหรับผัดไทยก็อร่อยแบบงั้นๆ ครับ แล้วก็ซื้อโน่นนิดซื้อนี่หน่อยมาทานด้วย เสร็จแล้วก็เดินย่อยดูแม่ค้าหน้าแชล่มขายของ ก่อนเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ทุกคนเหน็ดเหนื่อยแต่ก็สนุกสนาน นอนหลับฝันดี
สำหรับชื่อเรื่องในตอนหน้า :
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
คอยติดตามอ่านนะครับ
ปล. ไม่น่าเชื่อนะครับว่า เว็ปพันทิป อนุญาติให้พิมพ์ข้อความได้ไม่เกิน 10000 ตัวอักษร นี้พิมพ์ไปได้ตั้ง 9926 ตัวอักษร อีกแค่ 74 ตัวอักษรก็ครบหมื่น เกือบผิดกฏพันทิปแน่ะ
[CR] เล่าเรื่องการเดินทาง 2,200 กิโลเมตร 3 แผ่นดิน ไทย-พม่า-ลาว ตอนที่ 1. เริ่มเดินทางวันแรก..อุทยานประวัติศาตร์กรุงศรีอยุธยา
จาก link นี้ครับ : http://ppantip.com/topic/33108342
เริ่มเข้ากระทู้ของวันนี้เลยนะครับ
ตอนที่ 1. เริ่มเดินทางวันแรก..อุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยา
วันศุกร์ที่ 2 มกราคม 2558
ทุกคนถูกปลุกเวลา 6.00 น. ทำธุระกันเสร็จก็ทานไข่ต้มกับใส้กรอก เป็นมื้อเช้า ตรวจบ้านช่องห้องหับให้เรียบร้อย ทั้งฟืนไฟ น้ำท่า ประตูหน้าต่าง เตาแก๊ส ว่าปิดเรียบร้อยดี ก็ขนสัมภาระใส่ท้ายรถ เมื่อทุกอย่างพร้อม ตั้งเข็มไมล์รถไว้ที่ 0000 ล้อก็เริ่มหมุนเมื่อเวลา 8.00 น. ตามหมายกำหนดการ
ออกจากบ้านขึ้นทางด่วน ทางพิเศษอุดรรัถยา วิ่งตรงไปเรื่อยๆ อากาศด้านนอกตอนเช้าๆ กำลังเย็นสบาย ถนนหนทางหลังวันปีใหม่ "โล่ง" (นี่คือเหตุผลที่จัดทริปนี้หลังวันปีใหม่) จะมีรถบ้างบางช่วงแต่น้อยคัน จากด่านหัวลำโพงไปถึงแยกบางไทรใช้เวลาประมาณ 25 นาที ช่วงเวลานี้ก็เลยถือโอกาสทำตัวเป็นไกด์บริฟท์ตารางการท่องเที่ยวคร่าว ๆ ในวันนี้ (จริง ๆ แล้วบริฟท์รายการท่องเที่ยวให้ฟังทั้งรายการตั้งแต่ต้นจนจบ แต่เพื่อความไม่เยิ่นเยื้อย ก็ขอเล่าเป็นวันต่อวันแล้วกัน) ให้กับสมาชิกได้ฟังกันว่า เช้านี้เราจะเข้าเมืองอยุธยา เที่ยวอุทยานประวัติศาสตร์กรุงศรีอยุธยากันประมาณ 2 ชั่วโมง หลังจากนั้นก็จะออกเดินทางไปสิงห์บุรี ไปทานข้าวเที่ยงร้านเจริญทิพย์ ที่ครัวคุณต๋อยที่เพิ่งออกรายการไปเมื่อไม่นานมานี้ หลังอาหารเที่ยง เราจะวิ่งตรงเข้าตัวเมืองกำแพงเพชร ระยะทางไกล ต้องใข้เวลาในการขับรถพอสมควร น่าจะถึงตัวเมืองประมาณ ห้าโมงเย็น คืนนี้เราจะพักที่โรงแรมนวรัตน์เฮอริเทจ ส่วนอาหารมื้อเย็น เราจะไปทานผัดไทยร้านดังในตลาดนครชุมกัน สมาชิกทุกคนต่างก็ส่งเสียงฮือฮากันว่า ดี ดี
(รูปสมาชิกที่ร่วมเดินทาง แหะ ๆ น่ารักทุกคนเบย)
แป๊ปเดียว ก็ถึงด่านบางไทร จ่ายตังเลี้ยวขวาเข้าถนนหมายเลข 9 ไปอีกหน่อยเดียว ก็เลี้ยวซ้ายเข้าถนนสาย 347 วิ่งตรงไปเรื่อย ๆ ถนนสายนี้ดี วิ่งสบาย นั่งคุยกันอีกไม่นานจะมีทางแยกเลี้ยวขวาเข้าถนน 3263 ใช้เวลาประมาณชั่วโมงเดียวก็ถึงอยุธยาแล้ว (ระยะทางจากกรุงเทพถึงอยุธยาประมาณ 80 กิโลเมตร) จากถนนสาย 3263 ข้ามสะพานแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วเลี้ยวซ้ายไปตามถนน 2 เลนสวนกัน จริง ๆ แล้ว ได้พิมพ์แผนที่ไว้แล้ว แต่ทำไมเวลาขับรถไปจริง ๆ กลับหาสถานที่ที่จะไปไม่เจอ นี่คือสิ่งที่น่ากังวล ก็ขับไปเรื่อย ๆ จนเห็นวัด ๆ นึง ก็คิดว่า เอาวะ ขอแวะเข้าไปดูหน่อย ปรากฏว่า วัดนี้ชื่อวัดธรรมิกราช เปิดหาในแผนที่ที่พิมพ์มาก็ไม่มี ไหน ๆ ก็ไหน ๆ ก็จอดแวะไหว้พระกันเป็นวัดแรกก็แล้วกัน ทุกคนพร้อมใจกันอนุโมธนาสาธุ (เพราะอั้นปัสสาวะมานาน) หลังจากเสร็จภาระกิจส่วนตัวแล้ว ก็มารวมตัวกันก้มกราบพระสงฆ์ที่นั่งอยู่ ถวายสังฆทานและขอพรให้การเดินทางในครั้งนี้ ราบรื่น ประสบแต่ความปลอดภัย หลังจากนั้นก็เดินมาดูบริเวณวัด โอ้แม่เจ้า! เป็นวัดที่มีความสวยงามมากทีเดียว ลานกว้างหน้าวัดมีเศียรพระพุทธรูปหล่อสำฤทธิ์ซึ่งเป็นศิลปะสมัยอู่ทองประดิษฐานอยู่ให้กราบไหว้ ภายในโบสถ์ก็มีองค์พระพุทธไสยาสน์ (พระนอน) องค์ใหญ่ซึ่งตัวโบสถ์น่าจะใหญ่กว่านี้ เพราะทางเดินค่อนข้างแคบ เมื่อเดินออกไปด้านหลัง ว้าววว! มีโบราณสถานให้ชื่นชมอีกมากมาย เดินกันจนลืมเวลาไปเลย แค่เดินผ่านๆ ก็ใช้เวลาเกือบชั่วโมงสำหรับวัดแรกนี้ แล้ววัดต่อไปหล่ะ สงสัยว่าไปถึงกำแพงเพชรเที่ยงคืนแน่ ว่าแล้ว ไม่ได้การ ต้องจรลี ออกจากวัดนี้โดยพลัน เตร่ง ตะ เล่งเต่งเตร้ง
ดูรูปแล้วกันว่าวัดนี้ อลังการขนาดไหน
หลังจากกราบลาท่านฤาษี เอ้ยไม่ใช่ ออกจากวัดธรรมิกราช ก็เลี้ยวขวาไปตามถนน ขับ ๆ ไป เอ! ชักไปกันใหญ่ นี่จะออกนอกตัวเมืองเป็นแน่แท้ ก็เลยให้แม่บ้านควักปัจจัย 6 ออกมา (ก็ iPhone 6+ นั่นแหละ) เปิด GPS หาทางกลับวัด แป๊ปเดียว รู้เรื่อง รู้งี้ ควักออกมาใช้ตั้งนานแล้ว
Tip : ข้อสำคัญในการเดินทางไปยังเส้นทางที่ไม่คุ้นเคยหรือไม่เคยไป ควรพกปัจจัย 6 (4, 4S, 5 หรือ 5C ก็ได้ ไม่ห้าม) ไว้เปิด GPS คลำทาง เวลาหลง แหะ ๆ
หลังจากที่หลงทางไปพักใหญ่ ก็ได้เจ้า GPS ช่วยนำทางมาวัดที่ตั้งใจไว้ นั่นก็คือ วิหารพระมงคลบพิตร
ไม่พูดพล่ามทำเพลง ดูรูปเลยแล้วกัน (ก็มันอธิบายไม่ถูกอ่ะ) :
ต่อด้วยวัดพระนอน เชิญชมครับ :
และที่ไฮไลท์ที่สุดของวันนี้ก็คือ...วัดพระศรีสรรเพชญ์ ตะลึงกับความงดงามที่ธรรมชาติได้ปรุงแต่งให้กับพระเศียรจริง ๆ บริเวณตรงนี้ มีชาวต่างชาติจำนวนมากมารอยืนรอถ่ายรูปอยู่ มีทั้งฝรั่ง ไทย จีน ก็ขอแหวกพวกเขาถ่ายรูปสวยๆ มาให้ชม เชิญชมครับ :
ที่วัดพระศรีสรรเพชญ์นี้ มีค่าเข้าชมสำหรับต่างชาติด้วยนะครับ สำหรับคนไทย ฟรี! เห็นเขาเล่าว่า ตอนที่น้ำท่วมหนักปี 54 น้ำทำให้ฐานเจดีย์ต่าง ๆ ทรุดเอียงลงไป ก็ลองกลับไปดูรูปสิครับว่า เจดีย์เอียงไหม เอ! หรือว่ากล้องมันเอียงหว่า?
ถ้าเป็นคนจีน ก็ต้องร้องว่า ซี้เลี่ยวอ๋า ซี้เลี่ยวอ๋า เพราะพวกเราใช้เวลาในการชมวัดแค่ 4 วัดก็เกือบเที่ยงแล้ว ยังมีอีกตั้งหลายวัดยังไม่ได้ดู ยังไง ๆ ก็ต้องทำใจละครับ ไว้วันหน้าโอกาสดี ๆ หาเวลาสัก 2 วัน มาเจาะลึกแต่ละวัดอีกที เห็นทีต้องพอแค่นี้ก่อน ว่าแล้วก็ออกเดินทางไปรับประทานอาหารเที่ยงที่สิงห์บุรี
จากอยุธยา วิ่งออกถนนสาย 309 พอพ้น 309 ก็เจอกับถนนสาย 32 ซึ่งเป็นถนนสายหลักในการเดินทางไปสิงห์บุรี ระยะทางประมาณ 70 กิโลเมตร
ถนนวิ่งดีไปเรื่อย ๆ ขณะเดียวกับก็บอกแม่บ้านให้โทรไปที่ร้านเจริญทิพย์ สิงห์บุรี ขอสั่งจองต้มยำพุงไข่ปลาช่อน (รายการครัวคุณต๋อยแนะนำ) ไว้หนึ่งหม้อ เสียงทางโน้นบ่นมาว่า "โอีย ใคร ๆ ก็สั่งแต่พุงไข่ปลาช่อน ไม่รู้มีหรือเปล่า ให้รีบมา" เท่านั้นแหละ เหยียบเลย (เลย 100 นิดเดียวเอง) ถึงตัวเมืองสิงห์บุรีน่าจะบ่ายโมง
ร้านเจริญทิพย์หาไม่ยาก เลี้ยวซ้ายเลี้ยวขวา ปั๊ปเดียวเจอ มีที่จอดรถหน้าร้าน พอได้โต๊ะนั่งริมในสุดแล้ว (นี่ขนาดบ่ายโมงแล้ว ลูกค้าในร้านยังแน่นอยู่เลย ของเค้าแรงจริง ๆ) ต่างคนไม่มองหน้ากันเลย สั่ง สั่ง สั่ง สั่งและสั่ง อาหาร พอรู้ตัวอีกที อาหารที่สั่งนั้น เป็นปลาทั้งสิ้น ตกลงมื้อนี้ มี 5 ปลาส์ (มีปลาหลายตัวต้องเติม ส์ ) เชิญชมอาหารปลาส์ :
ตายละ ลืมชื่ออาหารไป จำได้แต่ ฉู่ฉี่ปลาเนื้ออ่อน เชิงปลากรายชุบแป้งทอด ปลาม้าผัดคึ่นช่าย ยำอะไรซักอย่างแต่ใส่ปลาทาโรด้วย แล้วรู้สึกน้ำแกงจะเป็นต้มยำปลาคังมั๊ง ไม่รู้ละ พอข้าวสวยถูกยกมา เปิดฝาออก โอ! สวรรค์ ข้าวสวยเรียงเม็ดยาวหอมกรุ่น ร้อน ๆ น้ำลายแทบกระฉูด อร่อยจริง ๆ ตักฉู่ฉี่กับปลาเนื้ออ่อนมาคลุกกับข้าว..สวรรค์ ซดต้มยำร้อนๆ..นี่ก็สวรรค์ เชิงปลากรายชุบแป้งกรุบกรอบหอมมัน..นี่ก็สวรรค์อีก เกือบถึงสวรรค์ชั้น 7 (มีแค่ 5 อย่างเอง) และแล้วภายในพริบตา ปลาส์ก็เหลือแต่ก้างส์ เหล่าสมาชิกนั่งพุงอืดกัน อ้อ..ทางร้านมีของดีอีกอย่างที่ขายเฉพาะลูกค้า VIP อย่างพวกเรา (แหะ ๆ ยกหางตัวเอง) คือ เขามี กาแฟชะมด จริง ๆ แล้ว เขาซื้อมาชงกินเอง แต่ถ้าลูกค้าคนไหนอยากทาน ก็ทำให้ สนนราคาถ้วยละ 150 บาท ก็เลยสั่งมา 1 ถ้วยหลอด 4 (กะเอาให้คุ้ม) เห็นเขาบอกว่าเป็นเมล็ดกาแฟที่ชะมดกินเข้าไปแล้วถ่ายออกมา ทำให้มีกลิ่นหอม (โปรดใช้วิจารณญาณในการดื่ม) หายากมาก ราคาจึงแพง เชิญชมกาแฟชะมดครับ :
ค่าเสียหายมื้อนี้ ประมาณ 1,500 บาท ก็คิดว่าไม่แพง เพราะคงไม่กินปลาไปอีกหลายมื้อรวมทั้งกาแฟชะมดด้วย ถ้วยเดียวก็เกินพอ พออิ่มหนำสำราญใจดีแล้ว ก็ออกเดินทางมุ่งสู่กำแพงเพชร พอออกจากสิงห์บุรีได้ก็ใช้เส้นทาง ทางหลวงหมายเลข 1 ผ่านอุทัยธานี ออกซ้ายเลี่ยงเมืองนครสวรรค์ (เส้น 122) กลับเข้าสาย 1 ตรงไปกำแพงเพชร ระยะทางประมาร 250 กิโลเมตร ใช้เวลาเดินทางประมาณ 2 ชั่งโมงกว่า (ถนนวิ่งดี ค่อนข้างโล่ง ไม่ติด ขณะที่อีกฝากมีรถติดเป็นช่วง ๆ)
ถึงกำแพงเพชร ก็ check in ที่ พักเลย โรงแรมใช้ได้ ใหม่ดี เสียอย่างเดียว ยังมีห้องแบบสูบบุหรี่อยู่ พอเปิดห้องพักเข้าไป ผงะเลย เหม็นบุหรี่มาก ลองเปิดแอร์ เปิดหน้าต่างยังไงก็ไม่หาย เลยขอเปลี่ยนห้อง ทางพนักงานทีแรกก็บอกว่าเต็ม ก็ค่อย ๆ เจรจา สุดท้ายก็เปลี่ยนห้องให้ ไม่มีกลิ่นแล้ว จริง ๆ แล้ว ถ้าโรงแรมยังมีนโยบายให้แขกที่มาพักสูบบุหรี่ในห้องอยู่ ก็ควรถามแขกใหม่ที่ check in ว่าจะรับห้องแบบ smoking หรือ non-smoking แค่นี้ ก็ไม่ต้องมานั่งเขียนให้เสียความรู้สึก
ล้างหน้าล้างตาเสร็จ ก็ชวนกันไปทานข้าวเย็น อย่างที่บอก มื้อเย็นเป็นผัดไทย ชื่อร้านสุภาพผัดไทยนครชุม เห็นหลายคนชมนักชมหนาว่าอร่อย ก็ต้องไปลองดูหน่อย ตอนนี้เวลา 6 โมงเศษแล้ว เริ่มมืด ก็ค่อย ๆ คลำทางไป เพราะตลาดนครชุมไม่ได้อยู่ในตัวเมือง แต่อยู่ขึ้นไปทางเหนือน้ำไกลอีกสักหน่อย พอไปถึง ปรากฏว่า มีงานตลาดย้อนยุคนครชุม ก็เลยโชคดีได้เดินเที่ยว ทานอาหารและฟังดนตรีด้วย
เชิญชมบรรยากาศตลาดนครชุม
สำหรับผัดไทยก็อร่อยแบบงั้นๆ ครับ แล้วก็ซื้อโน่นนิดซื้อนี่หน่อยมาทานด้วย เสร็จแล้วก็เดินย่อยดูแม่ค้าหน้าแชล่มขายของ ก่อนเดินทางกลับโรงแรมที่พัก ทุกคนเหน็ดเหนื่อยแต่ก็สนุกสนาน นอนหลับฝันดี
สำหรับชื่อเรื่องในตอนหน้า :
ตอนที่ 2..อุทยานประวัติศาสตร์กำแพงเพชร
คอยติดตามอ่านนะครับ
ปล. ไม่น่าเชื่อนะครับว่า เว็ปพันทิป อนุญาติให้พิมพ์ข้อความได้ไม่เกิน 10000 ตัวอักษร นี้พิมพ์ไปได้ตั้ง 9926 ตัวอักษร อีกแค่ 74 ตัวอักษรก็ครบหมื่น เกือบผิดกฏพันทิปแน่ะ