++ จวนจะหมดหนาวในอีกไม่ช้า นกอีก๋อยเลยอยากชวนไปเที่ยวชมหมอกที่อุทยานแห่งชาติภูเรือ จ.เลย ++
++ จำได้ว่าแม่นว่านกอีก๋อยเคยไปเที่ยวอุทยานแห่งชาติภูเรือครั้งแรกเมื่อตอนเรียนมหาวิทยาลัยปี 2 ซึ่งมันผ่านมาสามสิบปีแล้ว..ตอนนั้นค่ายอนุรักษ์ธรรมชาติรับสมัครสมาชิกขึ้นภูเรือ เราก็เอ๊ะ! ภูเรือนี่มันคือที่ไหนเหรอ? แต่ก็ลงชื่อไปกับเค้าด้วย เพราะความที่เราไม่ค่อยมีโอกาสได้ไปเที่ยวกับเพื่อนบ่อยครั้งล่าสุดคือไปเที่ยวพัทยากับเพื่อนสมัยมัธยมฯ 6 ++
++ พูดถึงภูเรือในสมัยโน้น..เทคโนโลยีการพยากรณ์อากาศที่ยังไม่ทันสมัยแถมคนก็ยังเข้าถึงข้อมูลได้ช้า จึงมีแค่เพียงการบอกเล่าในกลุ่มรุ่นพี่ว่าที่ภูเรือหนาวอย่างงั้นนะ เย็นอย่างงี้นะ อ่อ! แล้วงัย..ก็ไม่ได้จะรู้สึกว่าหนาวต่างกันตรงไหนเลยนี่นา..และนั่นเป็นที่มาให้การเตรียมตัวของนกอีก๋อยน้อยมากๆ สรุปกลางคืนคืนนั้นไม่ได้นอนเพราะอากาศที่หนาวจัดจนปวดกระดูก ทรมานชนิดที่ว่าขดตัวกอดตัวเองแน่นขนาดไหนก็เอาไม่อยู่..ที๊สุด! ++
++ และถ้าหากได้กลับไปอีกครั้งนึงความรู้สึกที่ยังคงฝังใจน่าจะเป็นภูเรือคือสถานที่ที่หนาวมากที่สุดในชีวิตของนกอีก๋อยนั่นเอง ++
++ ว่าแต่อุทยานแห่งชาติภูเรือในวันนี้เปลี่ยนแปลงไปยังงัยบ้าง บอกตามตรงว่านึกภาพเก่าของช่วงเวลานั้นไม่ออกด้วยซ้ำ เพราะความที่เป็นวัยรุ่นเราจึงสนุกกับการพูดคุยและเล่นกับเพื่อนในระหว่างการเดินทางซะมากกว่า ++
++ วันนี้เมื่อไปถึงภูเรือ ท้าดาาา..สิ่งที่เปลี่ยนแปลงแน่ๆ คือความเจริญในแบบที่ทุกๆ อุทยานเป็น คือการเตรียมการด้านสถานที่เพื่อให้สามารถบริการนักท่องเที่ยวได้อย่างสะดวกและครบครัน ทั้งเรื่องการพักแรมและอาหารการกิน เพราะสมัยนั้นกระทั่งอาหารยังจำเป็นต้องเตรียมไปเองไม่ได้มีร้านค้าสวัสดิการที่เพียบพร้อมไปซะทุกอย่างแบบปัจจุบัน ++
++ และแบบนี้เองนกอีก๋อยกับอ้ายกากเลือกที่จะเช่าเต๊นท์ของอุทยานเพราะขี้เกียจกางเอง เน้นว่าเราไปถึงตอนกี่โมงก็ได้ เพราะยังงัยก็มีเต๊นท์ที่กางรอไว้ให้แล้ว เหลือแค่ว่าเราจะไปเลือกจุดว่าจะนอนกันตรงไหน ++
++ เมื่อไปถึงที่ทำการอุทยานฯ ลงทะเบียนการเข้าพัก ยืนยันการจองเต๊นท์เสร็จเรียบร้อย เจ้าหน้าที่ก็ให้เราเลือกเต๊นท์ได้ตามชอบ..เดินสำรวจตามจุดต่างๆ อยู่พักหนึ่งก่อนตกลงกันเลือกโซนที่คิดว่าคนเดินผ่านน้อยที่สุด คือโซนที่ฉีกออกไปจากแนวหน้าผาซึ่งเป็นพื้นที่มหาชน ++
++ อย่างที่บอกว่าผ่านมาสามสิบปี ความทรงจำเรื่องเดียวที่เหลือคือความหนาวเย็นของภูเรือ..จนเมื่อได้กลับมาอีกครั้ง เหมือนกับเราได้ reset ความรู้สึกนั้นใหม่ และเพิ่มเติมคือจุดที่เรามาพักมันดูสวยอย่างน่าประหลาด ++
++ การเดินทางมายัง อช. ภูเรือ จากพิษณุโลก ถือว่าใกล้และสะดวกมาก..ใช้เวลาประมาณ 3-3.5 ชม. เท่านั้น ++
++ นี่คือทางขึ้นจากปากทางเข้า..ถนนช่วงแรกๆ ก็ดีอยู่นะ แต่ช่วงก่อนถึงลานกางเต๊นท์เท่านั้นแหละ กระเด้งกระดอนกันจนอดสงสารรถไม่ได้..ขากลับถึงกลับต้องลงมาดมกลิ่นผ้าเบรคกันเลยทีเดียว ++
++ เป็นธรรมเนียมการไปกางเต๊นท์ของเราคือ ต้องกางทาร์ปเพื่อจัดโซนให้ได้นั่งเล่นกับนั่งทำอะไรกินกันได้ ++
++ อาหารมื้อเย็นง่ายๆ ไม่พ้นหมูกะทะ แถมด้วยผักต่างๆ เพื่อเพิ่มไฟเบอร์ (แลดูใส่ใจสุขภาพ 555)..คีบกินกับน้ำจิ้มปิ้งย่างในบรรยากาศที่ไม่ถึงกับเย็นจัดถือว่าโอเคทีเดียว สรุปว่าคืนนั้นอากาศกำลังดีหนาวประมาณ 19-20 องศาในตอนหัวค่ำ และน่าจะลดต่ำลงที่ไม่เกิน 10-12 องศาในช่วงพีคสุดในตอนกลางดึก (ส่วนข้าวที่เห็นนั้นจากร้านสวัสดิการที่ได้เก็บมากินในมื้อเช้าของอีกวัน โบโลน่าและไข่นำมาเองจ้า) ++
++ ต้องถือว่าการเตรียมตัวครั้งนี้ของนกอีก๋อยดีมาก จนคิดว่าความทรงจำเกี่ยวกับความหนาวเย็นของภูเรือในครั้งก่อนได้กลายเป็นอดีตที่จะไม่มีวันย้อนกลับมาอีก..ภูเรือรอบสองผ่านไปด้วยดีภายใต้ถุงนอนหนานุ่มอบอุ่นจาย ++
++ ผ่านพ้นคืนเหน็บหนาวไปได้อย่างสวยงาม และแล้วก็ถึงเวลาขึ้นชมยอดภูเรือ..แต่การขึ้นยอดภูเรือไม่ใช่ว่าจะนำรถขึ้นไปเองได้ แต่ก็ไม่ต้องกังวลไปนะจ๊ะเพราะทางอุทยานฯ เค้าจัดรถไว้ให้บริการในสนนราคาคนละ 20 บาท (ราคารวมไป-กลับ) หรือถ้าไม่อยากเสียสตางค์ก็เดินไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติผาโหล่นน้อยไปยังยอดภูเรือได้เช่นกัน..++
++ ภาพบรรยากาศบนยอดภูเรือที่นกอีก๋อยเอามาฝาก..เชิญทัศนาตามอัธยาสัย บอกเลยว่าเลิฟเลยแหละเพราะเหมือนว่าเราอยู่ในที่ที่ไม่มีอยู่จริง แต่ความจริงมันดันมีอยู่ ++
++ ขากลับลองเดินเล่นไปตามเส้นทางศึกษาธรรมชาติดูซิว่าจะไกลขนาดไหน..ความจริงคือเดินได้สบายมาก ระยะทางไม่ไกลไม่ชันและไม่ลื่น สภาพอากาศที่ฟุ้งไปด้วยละอองน้ำค้างยามเช้าแบบนี้มันฟินจริงๆ ++
++ เดินจนมาถึงบริเวณลานจอดรถ ก็พบกับส้มภูเรือของทางอุทยานฯ จัดไป 1 โล หวานประทับใจมาก และ ณ จุดจุดนี้ใครกำลังมองหามื้อเช้าก็สามารถเลือกหาได้ตามต้องการเลยจ้า ++
- ยังไม่จบง่ายๆ ไปต่อกันอีกนิดนะ -
เที่ยวอุทยานแห่งชาติภูเรือ (อยากไปก็ไปเลย)