ผมเริ่มวิ่งครั้งแรกวิ่งได้ไม่ถึงกิโลเหนื่อยก่อนต้องหยุด
พอวิ่งไปได้ซักอาทิตย์นึง จะวิ่งได้ 5 กม.ต่อเนื่องไม่หยุด แต่จะเจ็บที่ข้างๆเข่า
ถ้าฝืนวิ่งไปอีกอาการเจ็บจะมากขึ้นและต้องหยุดวิ่งเพราะรู้สึกเจ็บ
ต่อมาวิ่งไปได้ 10 กม.ไม่เหนื่อยแต่เจ็บที่เดิม ไม่ยอมหยุดวิ่ง ผลคือเจ็บไปอีกหลายวัน
พอหายเจ็บมาวิ่งใหม่ ค่อยเป็นค่อยไปเจ็บก็หยุดยืดขา หรือหยุดไปเลย
ในที่สุดก็วิ่งได้ 10 กม.แบบไม่เจ็บวิ่งได้สบายๆ
ต่อมาวิ่ง 10 กม.ให้เร็วขึ้นเหลือ 50 นาที ผลคือเจ็บนิดๆพอใกล้ๆครบ 10 กม.
ซ้อมวิ่งไปเรื่อยๆ ต่อมาวิ่ง 10 กม.เร็ว 50 นาที ไม่เจ็บไม่เหนื่อย
ต่อมาวิ่ง 10 กม. เร็ว46 นาทีเหนื่อยแต่ไม่เจ็บ
หลังจากนั้นลองวิ่ง 20 กม.พอใกล้ๆ 20 กม.เริ่มเจ็บข้างเข่าอีก ก็หยุด
แล้วผมก็ซ้อมไปเรื่อยๆ 20 กม.ก็ไม่เจ็บไม่เหนื่อย
สรุปแล้ว ที่บางคนบอกว่าวิ่งผิดท่าทำให้เจ็บ แต่ผมกลับคิดว่าที่เจ็บเพราะร่างกายยังไม่พร้อมที่จะวิ่งความเร็วเท่านั้นหรือระยะเท่านั้น
เมื่อค่อยๆเพิ่มระยะกับความเร็ว ความเจ็บนั้นก็หายไป
ลองดูนะครับผมว่าดีกว่าวิ่งเท้าเปล่าให้เท้าดำด้าน หรือเกิดอุบัติเหตุไปเหยียบถูกเศษแก้วเศษเหล็ก พยาธิไชเท้า
หรือบางคนบอกให้เปลี่ยนท่าวิ่ง แต่ผมว่าท่าเดิมตามถนัดหนะดีแล้ว เพราะท่าวิ่งท่าเดินของเรา มันติดตัวเรามาแต่เกิดแล้ว ตามสรีระ ของเรา ซึ่งโค้งเว้าขาโก่งไม่โก่ง เท้าชี้ออกข้างหรืออื่นๆไม่เหมือนกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะไปเปลี่ยนทำไมถ้าเราวิ่งแล้วสบายของเรา
จะดัดแปลงให้มันดูสวยขึ้นเช่นไม่วิ่งไหล่ห่อ หลังค่อม แกว่งแขนให้สวยๆหน่อย นิดหน่อยๆพวกนี้โอเค เปลี่ยนให้มันดูสวยงามได้ แต่ท่าวิ่งช่วงขาที่เราใช้วิ่งไล่จับกับเพื่อนมาตั้งแต่เด็กๆมันคือสรีระของเราพาไปจะไปฝืนทำไม
ผมเห็นโอลิมปิคลอนดอน นักวิ่งมาราธอนหญิงท่านนึงวิ่งท่าประหลาดมาก ถ้าใครดูคงจำได้ เค้ายังมาลงรายการระดับโลกนี้ได้เลย
ลองดูครับ สูตรผม ค่อยๆเพิ่มระยะ กับความเร็วทีละน้อย ไม่ต้องหักโหม เจ็บก็หยุดหรือจะให้ดีรู้สึกตึงๆแปลกๆหยุดเลยพักก่อนพรุ่งนี้มาวิ่งใหม่
แล้วค่อยๆเพิ่ม ผลน่าจะออกมาแบบเดียวกันผม
ปัจจุบันผมวิ่งได้ 25 กม.แล้วครับไม่เห็นเจ็บเลยแต่ตึงๆขาผมหยุดก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยเพิ่มทีละน้อย
แล้วอีกอย่างนึง ที่เราเห็นท่านักวิ่งเคนย่าเวลาวิ่งมาราธอน ที่กล้องเค้าถ่ายทอดสดให้เราดู เห็นยกขาไปข้างหลังอย่างสูงเกือบโดนก้น นั่นเพราะเค้าวิ่งเร็วนะครับ คิดว่าคงต่ำกว่า 4 นาทีต่อ 1 กม.
ผมเพิ่งดูยูทูบตอนเค้าวิ่งช้าในสนามซ้อม ขาเค้าไม่ได้ขึ้นไปสูงๆแบบนั้น เพราะบางคนเข้าใจว่ายกขาไปข้างหลังสูงๆคือการวิ่งโพส ผมเคยลองวิ่งแบบนั้นแล้วเจ็บหลังเท้าครับ แต่พอผมวิ่งเร็วๆ ให้เพื่อนถ่ายคลิปไว้ขาหลังมันสูงขึ้นไปเหมือนนักวิ่งเคนย่าเลยครับ และเท้าก็ไม่ได้ลงส้นเท้าเองมันเป็นธรรมชาติของมันอย่างที่ผมบอกไป
ดังนั้น ลองดูครับอย่าไปฝืนวิ่งไปแบบสบายๆเจ็บก็หยุดพรุ่งนี้หายแล้วมาวิ่งใหม่ วิ่งให้ผ่อนคลายเพิ่มความเร็ว กับลดเวลาไปทีละน้อยๆ ผมทำแบบนี้นะครับ ใครอยากลองดูก็ได้
วิ่งแล้วเจ็บเข่า เพราะวิ่งผิดท่าจริงเหรอ ผมจะเล่าประสบการณ์จริงของผมให้ฟัง
พอวิ่งไปได้ซักอาทิตย์นึง จะวิ่งได้ 5 กม.ต่อเนื่องไม่หยุด แต่จะเจ็บที่ข้างๆเข่า
ถ้าฝืนวิ่งไปอีกอาการเจ็บจะมากขึ้นและต้องหยุดวิ่งเพราะรู้สึกเจ็บ
ต่อมาวิ่งไปได้ 10 กม.ไม่เหนื่อยแต่เจ็บที่เดิม ไม่ยอมหยุดวิ่ง ผลคือเจ็บไปอีกหลายวัน
พอหายเจ็บมาวิ่งใหม่ ค่อยเป็นค่อยไปเจ็บก็หยุดยืดขา หรือหยุดไปเลย
ในที่สุดก็วิ่งได้ 10 กม.แบบไม่เจ็บวิ่งได้สบายๆ
ต่อมาวิ่ง 10 กม.ให้เร็วขึ้นเหลือ 50 นาที ผลคือเจ็บนิดๆพอใกล้ๆครบ 10 กม.
ซ้อมวิ่งไปเรื่อยๆ ต่อมาวิ่ง 10 กม.เร็ว 50 นาที ไม่เจ็บไม่เหนื่อย
ต่อมาวิ่ง 10 กม. เร็ว46 นาทีเหนื่อยแต่ไม่เจ็บ
หลังจากนั้นลองวิ่ง 20 กม.พอใกล้ๆ 20 กม.เริ่มเจ็บข้างเข่าอีก ก็หยุด
แล้วผมก็ซ้อมไปเรื่อยๆ 20 กม.ก็ไม่เจ็บไม่เหนื่อย
สรุปแล้ว ที่บางคนบอกว่าวิ่งผิดท่าทำให้เจ็บ แต่ผมกลับคิดว่าที่เจ็บเพราะร่างกายยังไม่พร้อมที่จะวิ่งความเร็วเท่านั้นหรือระยะเท่านั้น
เมื่อค่อยๆเพิ่มระยะกับความเร็ว ความเจ็บนั้นก็หายไป
ลองดูนะครับผมว่าดีกว่าวิ่งเท้าเปล่าให้เท้าดำด้าน หรือเกิดอุบัติเหตุไปเหยียบถูกเศษแก้วเศษเหล็ก พยาธิไชเท้า
หรือบางคนบอกให้เปลี่ยนท่าวิ่ง แต่ผมว่าท่าเดิมตามถนัดหนะดีแล้ว เพราะท่าวิ่งท่าเดินของเรา มันติดตัวเรามาแต่เกิดแล้ว ตามสรีระ ของเรา ซึ่งโค้งเว้าขาโก่งไม่โก่ง เท้าชี้ออกข้างหรืออื่นๆไม่เหมือนกันเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว จะไปเปลี่ยนทำไมถ้าเราวิ่งแล้วสบายของเรา
จะดัดแปลงให้มันดูสวยขึ้นเช่นไม่วิ่งไหล่ห่อ หลังค่อม แกว่งแขนให้สวยๆหน่อย นิดหน่อยๆพวกนี้โอเค เปลี่ยนให้มันดูสวยงามได้ แต่ท่าวิ่งช่วงขาที่เราใช้วิ่งไล่จับกับเพื่อนมาตั้งแต่เด็กๆมันคือสรีระของเราพาไปจะไปฝืนทำไม
ผมเห็นโอลิมปิคลอนดอน นักวิ่งมาราธอนหญิงท่านนึงวิ่งท่าประหลาดมาก ถ้าใครดูคงจำได้ เค้ายังมาลงรายการระดับโลกนี้ได้เลย
ลองดูครับ สูตรผม ค่อยๆเพิ่มระยะ กับความเร็วทีละน้อย ไม่ต้องหักโหม เจ็บก็หยุดหรือจะให้ดีรู้สึกตึงๆแปลกๆหยุดเลยพักก่อนพรุ่งนี้มาวิ่งใหม่
แล้วค่อยๆเพิ่ม ผลน่าจะออกมาแบบเดียวกันผม
ปัจจุบันผมวิ่งได้ 25 กม.แล้วครับไม่เห็นเจ็บเลยแต่ตึงๆขาผมหยุดก่อนแล้วเดี๋ยวค่อยเพิ่มทีละน้อย
แล้วอีกอย่างนึง ที่เราเห็นท่านักวิ่งเคนย่าเวลาวิ่งมาราธอน ที่กล้องเค้าถ่ายทอดสดให้เราดู เห็นยกขาไปข้างหลังอย่างสูงเกือบโดนก้น นั่นเพราะเค้าวิ่งเร็วนะครับ คิดว่าคงต่ำกว่า 4 นาทีต่อ 1 กม.
ผมเพิ่งดูยูทูบตอนเค้าวิ่งช้าในสนามซ้อม ขาเค้าไม่ได้ขึ้นไปสูงๆแบบนั้น เพราะบางคนเข้าใจว่ายกขาไปข้างหลังสูงๆคือการวิ่งโพส ผมเคยลองวิ่งแบบนั้นแล้วเจ็บหลังเท้าครับ แต่พอผมวิ่งเร็วๆ ให้เพื่อนถ่ายคลิปไว้ขาหลังมันสูงขึ้นไปเหมือนนักวิ่งเคนย่าเลยครับ และเท้าก็ไม่ได้ลงส้นเท้าเองมันเป็นธรรมชาติของมันอย่างที่ผมบอกไป
ดังนั้น ลองดูครับอย่าไปฝืนวิ่งไปแบบสบายๆเจ็บก็หยุดพรุ่งนี้หายแล้วมาวิ่งใหม่ วิ่งให้ผ่อนคลายเพิ่มความเร็ว กับลดเวลาไปทีละน้อยๆ ผมทำแบบนี้นะครับ ใครอยากลองดูก็ได้