สวัสดีอีกครั้งค่า ฮ่าๆๆ
คราวก่อนต้องขออภัยด้วยจริงๆที่เขียนมาแบบประหลาดๆ เพราะตอนนั้น จขกท ง่วงนอนมากกกก และใช้มือถือในการอัพกระทู้ พอมาอ่านย้อนก็เลยแบบว่า นี่ตูเขียนอะไรไปเนี่ย ="= ลบกระทู้ก็ไม่เป็น ตะแหง่ววววววววววว ดังนั้น เนื้อหาบางส่วนอาจจะซ้ำนะคะ แต่รับรองว่ารายละเอียดมากขึ้นแน่นอนฮ่าาาาา
เอาใหม่ๆ เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อวันที 4-12มิถุนาที่ผ่านมา จขกทก็มีโอกาสไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ผ่านการสนับสนุนโดนหนุ่มสนูปี้บอยนั่นเองค่ะ เพราะเฮียแกมีแสดงบัลเล่ต์ของสตูดิโอ(ของแม่ฮี) ก็เลยชวน จขกท ไปดูซะหน่อย นับว่าเป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้ไปดูฮีออนสเตจ ถ้าไม่นับแสดงที่โรงเรียนสมัยที่อยู่นิวยอร์ค ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใตค่ะ ถ้า จขกท จะตื่นเต้นม้ากมาก และเมื่อเห็นฮีซ้อมหนัก วันละสิบกว่าชั่วโมงทุกวัน ก็เลยอดจะแอบปลื้มมิได้ ฮี่ๆๆๆ
โชคดีจริงๆที่วันที่ จขกท เดินทางไปถึง ฮีพอจะมีเวลามารับได้ เพราะถ้าจะให้ จขกท นั่งรถไฟไปเองโดยไม่รู้อะไรเลย มันก็ได้อยู่...แต่อาจจะมีรายการโดนกระเป๋าเดินทางทับตายก็เป็นได้ และบทเรียนจากการเดินทางคราวนี้คือ ต่อไปเก๊าจะบินตรงแล้ววววว การต่อเครื่องทำเอา จขกท รู้สึกเหมือนโดนดูดพลังงานให้แห้งตายคาสนามบินฮ่องกงอย่างบอกไม่ถูก ^^" เพราะเมื่อก่อนต้องต่อเครื่องเวลาไป หรือกลับจากอเมกา มันก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะไฟลท์มันใกล้ แต่พอเป็นไฟลท์ใกล้ๆแบบญี่ปุ่น ไอ้การจะมาเสียเวลาต่อเครื่อง แถมนั่งจริงๆก็ปาไปเจ็ดชั่วโมงกว่า แทนที่จะเป็นห้า ก็ทำให้รู้สึกเบื่อๆได้เหมือนกันนะคะ (คหสต เด้อออ)
เอาล่ะ เลิกบ่น แล้วกลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่า หึหึหึ
จขกท ไม่อยากทำให้กระทู้นี้กลายเป็นกระทู้นำเที่ยว หรือรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว(เพราะไอ้ที่ไปๆมามันน้อยมากซะจนไม่มีข้อมูละเขียน ฮ่าๆๆๆ) ดังนั้นก็จะขอเน้นไปที่มุมมองของตัวเราเองนะคะ
อย่างที่เขียนๆไปแล้ว ว่าไปถึงก็ลากกระเป๋าเข้าโรงแรม เปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่งหมักมาทั้งคืนบวกกับอีกครึ่งวัน เสร็จแล้วก็ไปกินข้าว แล้วก็เดินทางไปที่สตูดิโอของฮีค่ะ (จริงๆคือของแม่ฮีอะนะ)
ความรู้สึกแรกที่ไปถึงคือ เฮ้ย แล้วชั้นจะคุยกะใครยังไงอ้ะ ทุกคนกำลังซ้อมเต้นอยู่อย่างเมามันส์ นุปปี้บอยให้ จขกท รออยู่ด้านล่างก่อน (สตูอยู่ชั้นสองค่ะ ข้างล่างเป็นร้านค้า) สักพักก็เดินมาตามให้ขึ้นไปข้างบน
ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปข้างใน เราก็รับรู้ได้ถึงสายตาของทุกคนที่มองพุ่งมาที่เรา ซึ่งถ้ามันเป้นมีด อิแพนจังคนนี้คงพรุนไปทั้งตัวเรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆๆๆ คือไม่รู้ว่าเพราะเราแปลกหน้า หรือหน้าแปลก หรือเป้นเพราะเข้ามาพร้อมลูกชายอาจารย์(ซึ่งก็เป็นอาจารย์ด้วย) และหรือทุกคนจะรู้แล้วว่าเราเป็นแฟนฮี ก็เลยมองงงง ม้องงงง มองงงง แถมสะกิดกันซุบซิบ เออแฮะ รุ้สึกเปมือนเป้นคนดังได้ภายในสามวินาทีจริงๆ กร๊ากกกกกก
หลังจากเข้ามา เราก็หามุมเล็กๆนั่งซุกได้ตอนที่ทุกคนเริ่มซ้อมต่อค่ะ จนกระทั่งผ่านไปพักนึง ท่านแม่ก็เดินเข้ามาหา ทักทาย แล้วดึงไปกอด พร้อมกับทักหัวทรงเห็ดของเรา (จขกท เพิ่งตัดผมสั้นกุดเป็นทรงเห็ดผสมหมวกกันน๊อคฮ่ะ) แล้วก็ลากมายืนเกือบจะกลางห้อง พี่สาวเข้ามาทักทายต่อ ก่อนที่ท่านแม่จะจับเราหันไปทางทุกคนที่เตรียมตัวซ้อมฉากต่อไป แล้วก็บอกว่า "$_$@_ Pann chan ($@*($_!+#_!) Shohei @#$#($)%@#)_$)@#$(_%(*^#$)!+@$@_(^__(@*$!@)$" (เพื่ออรรถรสในการอ่านและเข้าใจฟีลลิ่งของยัยคนเขียน ขออนุญาตไม่แปลประโยคข้างบนนี้นะคะ) ก่อนที่พี่สาวจะปรบมือนำ แล้วทุกคนก็ปรบมือตาม ด้วยสีหน้าแบบ อ้ออออออ อย่างงี้นี่เองงงงงง (Shohei = ชื่อฮีค่ะ อุ๊บบบบบสฺ บอกจนได้ ฮ่าๆๆๆ) ส่วนยัยแพนจังของหม่ามี้ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก้มหัวหนึ่งทีอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ
ทริปนี้สงสัยงานจะเข้าเว้ยเฮ้ยยยยยยยย ช้านไม่กระดิกภาษาญี่ปุ่นเลยซักแอ๊ะ!!!!
วันนั้นกว่าจะเลิกซ้อมก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว คนอื่นก็ดูเหนื่อยๆธรรมดา แต่กับ จขกท ผู้เดินทางมาทั้งคืนโดยไม่ได้นอนเลยซักงีบเพราะโดนอาตี๋เบาะหลังโขกจอบนเบาะเพื่อเล่นเกมตลอดทั้งทริป ก็เริ่มมีอาการวิญญาณออกจากร่างเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่จะได้แวะไปที่บ้านของนุปปี้ เพื่อกินข้าวเย็น เป็นแกงกะหรี่เนื้อชิ้นเป้งๆ และได้เจอท่านพ่อของฮีเป้นครั้งแรกด้วย
บ้านนี้อารมณ์ดีกันจริงๆค่ะ ทุกคนดูลั้นลามากๆ ไม่ทำให้ จขกท รู้สึกเกร็งไว้จากที่จินตนาการเลย อาจเป็นเพราะว่าเรารู้จักกับแม่และพี่สาวเค้ามาก่อนแล้วก็ได้ ส่วนท่านพ่อก็ใจดี ยิ้มให้ตลอด และออกตัวก่อนเลยว่าผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เด้อ ดังนั้น เวลาท่านพ่อพุดกับเรา ก็จะเว้าญี่ปุ่นล้วน และทำสีหน้าประหนึ่งว่าเธอเข้าใจชัวร์ๆ ลงท้ายด้วยคำถาม และยิ้มรอคำตอบ...
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หันไปหาฮี ฮีก็แปลเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น ยิ่งช่วงหลังๆนี่ ฮีก็แปลญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นให้เราเสร็จสรรพ มีแม่และพี่สาวหัวเราะกันอย่างหนุกหนาน...ส่วนนังหนูแพน...เงิบไปเรียบร้อยฮ่ะ
...นี่ตูบินมาเปิดคาเฟ่ใช่มะ
วันถัดมา ฮีติดซ้อมทั้งสองวัน เพราะเป้นวันก่อนคอนเสิร์ต ซึ่งทุกคนต้องเตรียมความพร้อม มูฟเข้าโรงละคร รันเทคนิค ฉาก และพร้อพทั้งหมด จขกท ก็เลยได้สาวน้อยจากโกเบมาพาเที่ยวชมเมืองโอซาก้า พร้อมช้อปปิ้งซื้อของฝากกันจนหมดตูด...(จขกท พกเงินไปแค่ 30,000เยนเท่านั้นนะฮ้าาาาาา) เดินกันจนขาลาก ซึ่ง จขกท ก็สงสารน้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เค้าอยู่ของเค้าดีๆ ตูจะลากมาลำบากและเสียตังค์ทำไมฟะ แต่ไม่เป้นไร ถ้าน้องเต็มใจ พี่ก็ยินดีค่าาาาาา (ถามน้องรึยัง?!?!?!?)
จนกระทั่งมาถึงวันก่อนแสดง จขกท ไปที่บ้านฮีแต่เช้า พี่สาวและแม่ฮีนั่งมองนิ่งๆแบบใใช้ความคิดอยู่สักพัก มองหน้ากัน แล้วหันมามอง จขกท อีก
ท่านแม่ : แพนจัง หนูมีเดรสน่ารักๆมั่งมั้ยจ๊ะ
เรา : เอ่อ เดรสเหรอก๊ะ
ท่านแม่ : ใช่ ใส่พรุ่งนี้ไง
เรา : ง่าาาาา เดรสแบบไหนก๊ะ ถ้าเดรสแบบทางการเลย หนูไม่มีง่ะ
พี่สาว : เดรสแบบที่แพนจังใส่ที่นิวยอร์คก็ได้ ชุดธรรมดานี่แหละ แค่ไม่ใช่แบบอันนี้ (วันนั้นใส่สเวตเตอร์ตัวยาวไปค่ะ)
เรา : เอิ้บบบบบ มีแต่แบบนี้ก้ะ (คือข้างในมันเป็นเดรส ก็เลยจะบอกว่า เก๊ามีแต่เดรสธรรมดาแบบนี้เน้อ)
พี่สาว : งั้นมานี่เลย (ลากแขนเราเข้าไปในห้อง เปิดตู้ กวาดเสื้อผ้าออกมาสามสี่ชุดส่งให้) ไปลองเลย ชอบชุดไหนจัดเลย
เรา : เง้ออออออ เอางั้นเลยเหรอ
พี่สาว : เอางั้นแหละ เอ้าถอดๆๆๆๆๆ (จขกท ถอดสเวเตอร์ออก ท่านแม่ผ่านมาเห็นพอดี เลยร้องกรี๊ดกร๊าด)
ท่านแม่ : เอ้ยยยยย แพนจัง แบบนี้แหละที่ต้องการ อันนี้ได้เลย
ท่านพี่ : หมายถึงชุดแบบนี้แหละ ขอโทษๆ พอดีไม่รู้ว่าข้างในเป็นเดรส นึกว่าเธอใส่กระโปรงกับเสื้อสเวเตอร์
จบเรื่องชุดแบบสันติ...และแล้วก็มาถึงเรื่องรองเท้า เนื่องจากชีวิตนี้ จขกท มีร้องเท่าที่ใส่ได้ และมีอยู่จริงที่บ้านทั้งหมดสามคู่ถ้วน (ไม่นับบู๊ทหุ้มข้อซึ่งคงไม่น่าจะได้ใส่ในเมืองไทยล่ะนะ) โดยเป็นรองเท้าผ้าใบ(ที่ใส่ไปที่นู่นนั่นแล)หนึ่งคู่ คัชชูยางคู่ละ180บาทสีดำอีก1คู่ และรองเท้าที่ดูเหมือนจะเป็นรองเท้าผู้หญิงขึ้นมาหน่อย สีเงินๆ อีก1คู่ ทั้งนี้ จขกท ไม่มีรองเท้าแตะใช้ค่ะ 55555 มีแค่นี้จริงๆ ดังนั้น ต่อให้ใส่เดรสหวานแหววแค่ไหน แพนจังก็ยังคงใส่ผ้าใบเน่าอยู่นั่นเอง
ชะรอยท่านแม่คงรับสภาพไม่ไหวจริงๆ ก็เลยยัดตังค์มาให้หมื่นเยน ไล่ให้ไปซื้อรองเท้าใส่ซะ เพราะว่ามันจะมีอาฟเตอร์ปาร์ตี้(แอบรู้สึกว่ามันทำให้คิดถึงคำว่า อาฟเตอร์เชฟ อย่างบอกไม่ถูกสิน่า) ซึ่งถ้าจะกะโปโลคลับไปเลยก็คงจะดูไม่งามสินะ เอิ๊กกกกกกกกกกก
แต่สุดท้าย จขกท ก็พบว่าตังเองเอาไอ้เจ้ารองเท้าผู้หญิงสีเงินนั่นมาด้วย หมื่นเยนเลยคืนท่านแม่ไป มารู้ทีหลังว่าท่านแม่ไม่รับคืน บอกว่าให้เป้นของขวัญ ถ้าไม่ซื้อของก็ให้นุปปี้พาไปกินข้าวให้เปรมกันก็แล้วกัน โอ้วววววววว เยส!!!
วันนั้นทั้งวันเลยหมดไปกะการเดินเล่นอย่างหนุกหนานอีกแล้ว ก่อนที่จะมาเจอหนุ่มที่โรงละครก่อนสามทุ่ม ซึ่งฮีก็ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่าเขียนชื่อสถานที่ และชื่อสถานีมาให้ บอกว่าขึ้นจากสถานีนี้แล้วเดินไปอีกราวๆ10นาทีนะ ดังนั้น เมื่อมาถึงสถานี น้องออม น้องที่เป็นเหยื่อพาเที่ยวตลอดสองวันนี้ ก็บอกว่า หนูไปส่งดีกว่า ขืนปล่อยพี่เดินคนเดียวมีหลัวได้หลงทางอยู่แถวนี้แน่ และก็จริงๆค่ะ เพราะโรงละครที่ว่า มันดูเหมือนตึกหนึ่งในหลายๆตึกแถวนั้นเนี่ยแหละ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษกว่าที่อื่นเลย ซึ่งอันที่จริงเราสองคนก็เดินผ่านไปหน่อยนึงแล้ว แต่ จขกท ไม่แน่ใจ เลยเอากระดาศที่ฮีจดมายืนเทียบทีละตัวอักษร ก่อนจะค้นพบว่า ที่นี่นี่เองงงงงงงง
เดินเข้าไป ยามเดินมาถามเป็นภาษาญี่ปุ่นรัวๆ จขกท ทำหน้าเหวอ น้องออมเลยช่วยถามทางให้เป็นที่เรียบร้อย เพราะคุณยามพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งน้องก็ย้ำด้วยประโยคเดิมว่า ดีแล้วที่หนูตัดสินใจมาเป็นเพื่อนพี่อะ ซึ่งอิพี่ก็เห็นด้วยอย่างแรงค่ะน้องเอ๊ย TT^TT กลับไทยไปเรียนภาษาด่วน!!!!!!
ในที่สุดก็เข้ามาถึงหลังเวที ได้เจอท่านแม่ซึ่งก็รัวววววววภาษญี่ปุ่นถามมาอีก ก่อนจะนึกได้ และเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นว่าถ้าอยากดูหน้าเวที เดินอ้อมทางนี้ไปก็ได้ อยู่หลังเวทีตลอดเดี๋ยวจะเบื่อ อีกครึ่งชั่วโมงก็เลิกแล้วจ้าาาา
ซ้อมเสร็จ เราส่งน้องขึ้นรถไฟกลับบ้าน ไปกินข้าวเย็นกับท่านแม่ และก็โดนชวนไปออนเซ็นกัน ซึ่งเราก็ยิ้มแหยๆ ไปค่ะไป ไปก็ได้ค่ะ
รู้มาจากสนุปปี้ว่า ถ้าจะไปฮอทสปริงเนี่ย เธอต้องแก้ผ้าหมดนะ ซึ่งเราก็รีบบอก เฮ้ยยยย ไม่อาววววววว เธอรู้มั้ยว่าล่าสุดที่แม่เห็นชั้นแก้ผ้านี่คือตอนชั้นอยู่อนุบาลสามนะยะ แล้วนี่ชั้นต้องมานั่งแก้ผ้าต่อหน้าแม่และพี่สาวเธอเร้ออออออออออออออ!!!
สีหน้าของเด็กหญิงแพน ณ เวลานั้น...
แต่นั่นคือสองเรื่องที่ตานุปปี้ขอเอาไว้ บอกว่า เธอไม่จำเป็นต้องพยายามทำทุกอย่างก็ได้ แต่เราขอแค่สองเรื่องนะ คือหนึ่ง เธอหัดใช้ตะเกียบเถอะ (จขกท ใช้ไม่เป็นฮ่ะ กินราเมงยังต้องใช้ช้อนส้อมเลย แหะๆ) และสองคือ ไปฮอทสปริง!!!
อันที่จริง ไอ้โมเม้นท์แก้ผ้าต่อหน้าแม่แฟนนี่มันไม่อยู่ในทูดูลิสต์ชองชั้นเลยนะ!!!
ในที่สุด หญิงแพนก็ต้องจำใจโดนลากไปออนเซ็นจนได้ ซึ่งท่านแม่ก็เดินหัวเราะสีหน้า จขกท ไปตลอดทาง อนาถตัวเองเหลือเกิน
และ จขกท ก็ปล่อยไก่ตัวแรกตั้งแต่ยังไม่ทันทำอะไรเลยค่ะ คือว่าห้องอาบน้ำมันแบ่งเป้นสองฝั่ง ซึ่งก็เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น ไอ้เราก็มันแต่อาย เดินตามก้นนุปปี้ไปอย่างเดียว มารู้ตัวคือตอนเฮียแกเอามือยันหัวไว้ บอกว่า เธอไปฝั่งนู้น นี่มันห้องน้ำชาย!! หญิงแพนถึงเงยหน้าขึ้นไปเห็นว่าตัวเองกำลังเดินก้าวเข้าประตูห้องน้ำชายไปครึ่งก้าว ท่ามกลางสายตาประชาชีที่มีอยู่สิบกว่าคนแถวนั้น และท่านพี่ก็เลยรีบเดินมาจูงมือเข้าอีกประตูไปพร้อมกับตบๆไหล่ และท่านแม่ก็บอก เราไปอาบน้ำกันเต๊อะ!!! Pann chan's first time hot spring!!!!!!!
ดอกที่สอง เดินเข้าไปในห้องล๊อคเกอร์ จขกท ก็กำลังเปิดตู้ เอากระเป๋ายัดเข้าไป และหันมาหาท่านพี่ จะจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ท่านพี่ล่อนจ้อนไปแย้วววววว และเสียงจ๊ากของ จขกท นี่ไม่ใช่เบาๆนะคะ ที่สำคัญคือทุกคนล้วนบอกว่า จขกท เป้นคนที่แสดงอารมณ์ทุกสิ่งออกมาทางสีหน้าหมด T^T แน่นอนว่ามันคงออกมาดูชัดมากกกกกกกกกกกก ถ้านึกถึงหนังตลกญี่ปุ่นก็คงเป้นอารมณ์ที่เสียงว้ากดังสะเทือนออกมาถึงนอกห้องนั่นแหละค่ะ และเน่นอน เมือจ๊ากแล้ว ท่านแม่ก็ขำ แล้วถอดออกบ้าง
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ใครก็ได้ พาตูออกไปที พลีสสสสสสสสสสสสสสสสสส
ท่านแม่กะท่านพี่ก็คงเข้าใอารมณ์ของสาวน้อย เพราะเวลานั้น จขกท เอาหัวมุดเข้าไปในล๊อคเกอร์เป้นที่เรียบร้อยแล้ว และท่านแม่ก็ถามว่า แพนจังงงงง อาร์ยูโอเค้???
ไอ แอม น๊อททททททททททททททททททททททททททททททททททททททททททท!!!!!!!!!!
พูดจบก็มีป้าๆเดินโล่งโจ้งเข้ามาอีกกลุ่ม เชื่อเลยว่าตอนนั้นหน้า จขกท คงแดงเหมือนมะเขือเทศเน่าไปแล้ว (คือแดงด้วย เละด้วย) ท่านแม่เลยหัวเราะก๊าก แล้วตบๆไหล่ บอกว่า แพนจัง สู้ๆนะ เฟิร์สไทม์ฮอทสปริง!!
แวะมาแปโปสเตอร์คอนเสิร์ตบัลเล่ต์ให้ดูค่ะ
สำหรับภาค2 อ่านต่อได้ที่นี่ค่า
http://ppantip.com/topic/32193285
เรื่องเล่าจากสาวเอ๋อ :: Snoopy Boy ในที่สุดเราก็ได้เจอกัน (ฉบับเป็นเรื่องเป็นราว) ภาค1
คราวก่อนต้องขออภัยด้วยจริงๆที่เขียนมาแบบประหลาดๆ เพราะตอนนั้น จขกท ง่วงนอนมากกกก และใช้มือถือในการอัพกระทู้ พอมาอ่านย้อนก็เลยแบบว่า นี่ตูเขียนอะไรไปเนี่ย ="= ลบกระทู้ก็ไม่เป็น ตะแหง่ววววววววววว ดังนั้น เนื้อหาบางส่วนอาจจะซ้ำนะคะ แต่รับรองว่ารายละเอียดมากขึ้นแน่นอนฮ่าาาาา
เอาใหม่ๆ เรื่องของเรื่องก็คือเมื่อวันที 4-12มิถุนาที่ผ่านมา จขกทก็มีโอกาสไปญี่ปุ่นเป็นครั้งแรกในชีวิต ผ่านการสนับสนุนโดนหนุ่มสนูปี้บอยนั่นเองค่ะ เพราะเฮียแกมีแสดงบัลเล่ต์ของสตูดิโอ(ของแม่ฮี) ก็เลยชวน จขกท ไปดูซะหน่อย นับว่าเป็นครั้งแรกจริงๆที่ได้ไปดูฮีออนสเตจ ถ้าไม่นับแสดงที่โรงเรียนสมัยที่อยู่นิวยอร์ค ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใตค่ะ ถ้า จขกท จะตื่นเต้นม้ากมาก และเมื่อเห็นฮีซ้อมหนัก วันละสิบกว่าชั่วโมงทุกวัน ก็เลยอดจะแอบปลื้มมิได้ ฮี่ๆๆๆ
โชคดีจริงๆที่วันที่ จขกท เดินทางไปถึง ฮีพอจะมีเวลามารับได้ เพราะถ้าจะให้ จขกท นั่งรถไฟไปเองโดยไม่รู้อะไรเลย มันก็ได้อยู่...แต่อาจจะมีรายการโดนกระเป๋าเดินทางทับตายก็เป็นได้ และบทเรียนจากการเดินทางคราวนี้คือ ต่อไปเก๊าจะบินตรงแล้ววววว การต่อเครื่องทำเอา จขกท รู้สึกเหมือนโดนดูดพลังงานให้แห้งตายคาสนามบินฮ่องกงอย่างบอกไม่ถูก ^^" เพราะเมื่อก่อนต้องต่อเครื่องเวลาไป หรือกลับจากอเมกา มันก็ไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ เพราะไฟลท์มันใกล้ แต่พอเป็นไฟลท์ใกล้ๆแบบญี่ปุ่น ไอ้การจะมาเสียเวลาต่อเครื่อง แถมนั่งจริงๆก็ปาไปเจ็ดชั่วโมงกว่า แทนที่จะเป็นห้า ก็ทำให้รู้สึกเบื่อๆได้เหมือนกันนะคะ (คหสต เด้อออ)
เอาล่ะ เลิกบ่น แล้วกลับมาเข้าเรื่องต่อดีกว่า หึหึหึ
จขกท ไม่อยากทำให้กระทู้นี้กลายเป็นกระทู้นำเที่ยว หรือรีวิวสถานที่ท่องเที่ยว(เพราะไอ้ที่ไปๆมามันน้อยมากซะจนไม่มีข้อมูละเขียน ฮ่าๆๆๆ) ดังนั้นก็จะขอเน้นไปที่มุมมองของตัวเราเองนะคะ
อย่างที่เขียนๆไปแล้ว ว่าไปถึงก็ลากกระเป๋าเข้าโรงแรม เปลี่ยนเสื้อผ้าที่นั่งหมักมาทั้งคืนบวกกับอีกครึ่งวัน เสร็จแล้วก็ไปกินข้าว แล้วก็เดินทางไปที่สตูดิโอของฮีค่ะ (จริงๆคือของแม่ฮีอะนะ)
ความรู้สึกแรกที่ไปถึงคือ เฮ้ย แล้วชั้นจะคุยกะใครยังไงอ้ะ ทุกคนกำลังซ้อมเต้นอยู่อย่างเมามันส์ นุปปี้บอยให้ จขกท รออยู่ด้านล่างก่อน (สตูอยู่ชั้นสองค่ะ ข้างล่างเป็นร้านค้า) สักพักก็เดินมาตามให้ขึ้นไปข้างบน
ทันทีที่ผลักประตูเข้าไปข้างใน เราก็รับรู้ได้ถึงสายตาของทุกคนที่มองพุ่งมาที่เรา ซึ่งถ้ามันเป้นมีด อิแพนจังคนนี้คงพรุนไปทั้งตัวเรียบร้อยแล้ว ฮ่าๆๆๆ คือไม่รู้ว่าเพราะเราแปลกหน้า หรือหน้าแปลก หรือเป้นเพราะเข้ามาพร้อมลูกชายอาจารย์(ซึ่งก็เป็นอาจารย์ด้วย) และหรือทุกคนจะรู้แล้วว่าเราเป็นแฟนฮี ก็เลยมองงงง ม้องงงง มองงงง แถมสะกิดกันซุบซิบ เออแฮะ รุ้สึกเปมือนเป้นคนดังได้ภายในสามวินาทีจริงๆ กร๊ากกกกกก
หลังจากเข้ามา เราก็หามุมเล็กๆนั่งซุกได้ตอนที่ทุกคนเริ่มซ้อมต่อค่ะ จนกระทั่งผ่านไปพักนึง ท่านแม่ก็เดินเข้ามาหา ทักทาย แล้วดึงไปกอด พร้อมกับทักหัวทรงเห็ดของเรา (จขกท เพิ่งตัดผมสั้นกุดเป็นทรงเห็ดผสมหมวกกันน๊อคฮ่ะ) แล้วก็ลากมายืนเกือบจะกลางห้อง พี่สาวเข้ามาทักทายต่อ ก่อนที่ท่านแม่จะจับเราหันไปทางทุกคนที่เตรียมตัวซ้อมฉากต่อไป แล้วก็บอกว่า "$_$@_ Pann chan ($@*($_!+#_!) Shohei @#$#($)%@#)_$)@#$(_%(*^#$)!+@$@_(^__(@*$!@)$" (เพื่ออรรถรสในการอ่านและเข้าใจฟีลลิ่งของยัยคนเขียน ขออนุญาตไม่แปลประโยคข้างบนนี้นะคะ) ก่อนที่พี่สาวจะปรบมือนำ แล้วทุกคนก็ปรบมือตาม ด้วยสีหน้าแบบ อ้ออออออ อย่างงี้นี่เองงงงงง (Shohei = ชื่อฮีค่ะ อุ๊บบบบบสฺ บอกจนได้ ฮ่าๆๆๆ) ส่วนยัยแพนจังของหม่ามี้ก็ได้แต่ยิ้มแห้งๆ ก้มหัวหนึ่งทีอย่างไม่รู้จะทำอะไรได้มากกว่านี้จริงๆ
ทริปนี้สงสัยงานจะเข้าเว้ยเฮ้ยยยยยยยย ช้านไม่กระดิกภาษาญี่ปุ่นเลยซักแอ๊ะ!!!!
วันนั้นกว่าจะเลิกซ้อมก็ปาเข้าไปสี่ทุ่มแล้ว คนอื่นก็ดูเหนื่อยๆธรรมดา แต่กับ จขกท ผู้เดินทางมาทั้งคืนโดยไม่ได้นอนเลยซักงีบเพราะโดนอาตี๋เบาะหลังโขกจอบนเบาะเพื่อเล่นเกมตลอดทั้งทริป ก็เริ่มมีอาการวิญญาณออกจากร่างเป็นที่เรียบร้อย ก่อนที่จะได้แวะไปที่บ้านของนุปปี้ เพื่อกินข้าวเย็น เป็นแกงกะหรี่เนื้อชิ้นเป้งๆ และได้เจอท่านพ่อของฮีเป้นครั้งแรกด้วย
บ้านนี้อารมณ์ดีกันจริงๆค่ะ ทุกคนดูลั้นลามากๆ ไม่ทำให้ จขกท รู้สึกเกร็งไว้จากที่จินตนาการเลย อาจเป็นเพราะว่าเรารู้จักกับแม่และพี่สาวเค้ามาก่อนแล้วก็ได้ ส่วนท่านพ่อก็ใจดี ยิ้มให้ตลอด และออกตัวก่อนเลยว่าผมพูดภาษาอังกฤษไม่ค่อยได้เด้อ ดังนั้น เวลาท่านพ่อพุดกับเรา ก็จะเว้าญี่ปุ่นล้วน และทำสีหน้าประหนึ่งว่าเธอเข้าใจชัวร์ๆ ลงท้ายด้วยคำถาม และยิ้มรอคำตอบ...
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก หันไปหาฮี ฮีก็แปลเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่น ยิ่งช่วงหลังๆนี่ ฮีก็แปลญี่ปุ่นเป็นญี่ปุ่นให้เราเสร็จสรรพ มีแม่และพี่สาวหัวเราะกันอย่างหนุกหนาน...ส่วนนังหนูแพน...เงิบไปเรียบร้อยฮ่ะ
...นี่ตูบินมาเปิดคาเฟ่ใช่มะ
วันถัดมา ฮีติดซ้อมทั้งสองวัน เพราะเป้นวันก่อนคอนเสิร์ต ซึ่งทุกคนต้องเตรียมความพร้อม มูฟเข้าโรงละคร รันเทคนิค ฉาก และพร้อพทั้งหมด จขกท ก็เลยได้สาวน้อยจากโกเบมาพาเที่ยวชมเมืองโอซาก้า พร้อมช้อปปิ้งซื้อของฝากกันจนหมดตูด...(จขกท พกเงินไปแค่ 30,000เยนเท่านั้นนะฮ้าาาาาา) เดินกันจนขาลาก ซึ่ง จขกท ก็สงสารน้องขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ เค้าอยู่ของเค้าดีๆ ตูจะลากมาลำบากและเสียตังค์ทำไมฟะ แต่ไม่เป้นไร ถ้าน้องเต็มใจ พี่ก็ยินดีค่าาาาาา (ถามน้องรึยัง?!?!?!?)
จนกระทั่งมาถึงวันก่อนแสดง จขกท ไปที่บ้านฮีแต่เช้า พี่สาวและแม่ฮีนั่งมองนิ่งๆแบบใใช้ความคิดอยู่สักพัก มองหน้ากัน แล้วหันมามอง จขกท อีก
ท่านแม่ : แพนจัง หนูมีเดรสน่ารักๆมั่งมั้ยจ๊ะ
เรา : เอ่อ เดรสเหรอก๊ะ
ท่านแม่ : ใช่ ใส่พรุ่งนี้ไง
เรา : ง่าาาาา เดรสแบบไหนก๊ะ ถ้าเดรสแบบทางการเลย หนูไม่มีง่ะ
พี่สาว : เดรสแบบที่แพนจังใส่ที่นิวยอร์คก็ได้ ชุดธรรมดานี่แหละ แค่ไม่ใช่แบบอันนี้ (วันนั้นใส่สเวตเตอร์ตัวยาวไปค่ะ)
เรา : เอิ้บบบบบ มีแต่แบบนี้ก้ะ (คือข้างในมันเป็นเดรส ก็เลยจะบอกว่า เก๊ามีแต่เดรสธรรมดาแบบนี้เน้อ)
พี่สาว : งั้นมานี่เลย (ลากแขนเราเข้าไปในห้อง เปิดตู้ กวาดเสื้อผ้าออกมาสามสี่ชุดส่งให้) ไปลองเลย ชอบชุดไหนจัดเลย
เรา : เง้ออออออ เอางั้นเลยเหรอ
พี่สาว : เอางั้นแหละ เอ้าถอดๆๆๆๆๆ (จขกท ถอดสเวเตอร์ออก ท่านแม่ผ่านมาเห็นพอดี เลยร้องกรี๊ดกร๊าด)
ท่านแม่ : เอ้ยยยยย แพนจัง แบบนี้แหละที่ต้องการ อันนี้ได้เลย
ท่านพี่ : หมายถึงชุดแบบนี้แหละ ขอโทษๆ พอดีไม่รู้ว่าข้างในเป็นเดรส นึกว่าเธอใส่กระโปรงกับเสื้อสเวเตอร์
จบเรื่องชุดแบบสันติ...และแล้วก็มาถึงเรื่องรองเท้า เนื่องจากชีวิตนี้ จขกท มีร้องเท่าที่ใส่ได้ และมีอยู่จริงที่บ้านทั้งหมดสามคู่ถ้วน (ไม่นับบู๊ทหุ้มข้อซึ่งคงไม่น่าจะได้ใส่ในเมืองไทยล่ะนะ) โดยเป็นรองเท้าผ้าใบ(ที่ใส่ไปที่นู่นนั่นแล)หนึ่งคู่ คัชชูยางคู่ละ180บาทสีดำอีก1คู่ และรองเท้าที่ดูเหมือนจะเป็นรองเท้าผู้หญิงขึ้นมาหน่อย สีเงินๆ อีก1คู่ ทั้งนี้ จขกท ไม่มีรองเท้าแตะใช้ค่ะ 55555 มีแค่นี้จริงๆ ดังนั้น ต่อให้ใส่เดรสหวานแหววแค่ไหน แพนจังก็ยังคงใส่ผ้าใบเน่าอยู่นั่นเอง
ชะรอยท่านแม่คงรับสภาพไม่ไหวจริงๆ ก็เลยยัดตังค์มาให้หมื่นเยน ไล่ให้ไปซื้อรองเท้าใส่ซะ เพราะว่ามันจะมีอาฟเตอร์ปาร์ตี้(แอบรู้สึกว่ามันทำให้คิดถึงคำว่า อาฟเตอร์เชฟ อย่างบอกไม่ถูกสิน่า) ซึ่งถ้าจะกะโปโลคลับไปเลยก็คงจะดูไม่งามสินะ เอิ๊กกกกกกกกกกก
แต่สุดท้าย จขกท ก็พบว่าตังเองเอาไอ้เจ้ารองเท้าผู้หญิงสีเงินนั่นมาด้วย หมื่นเยนเลยคืนท่านแม่ไป มารู้ทีหลังว่าท่านแม่ไม่รับคืน บอกว่าให้เป้นของขวัญ ถ้าไม่ซื้อของก็ให้นุปปี้พาไปกินข้าวให้เปรมกันก็แล้วกัน โอ้วววววววว เยส!!!
วันนั้นทั้งวันเลยหมดไปกะการเดินเล่นอย่างหนุกหนานอีกแล้ว ก่อนที่จะมาเจอหนุ่มที่โรงละครก่อนสามทุ่ม ซึ่งฮีก็ไม่ได้บอกอะไรมากไปกว่าเขียนชื่อสถานที่ และชื่อสถานีมาให้ บอกว่าขึ้นจากสถานีนี้แล้วเดินไปอีกราวๆ10นาทีนะ ดังนั้น เมื่อมาถึงสถานี น้องออม น้องที่เป็นเหยื่อพาเที่ยวตลอดสองวันนี้ ก็บอกว่า หนูไปส่งดีกว่า ขืนปล่อยพี่เดินคนเดียวมีหลัวได้หลงทางอยู่แถวนี้แน่ และก็จริงๆค่ะ เพราะโรงละครที่ว่า มันดูเหมือนตึกหนึ่งในหลายๆตึกแถวนั้นเนี่ยแหละ ไม่ได้มีอะไรโดดเด่นเป็นพิเศษกว่าที่อื่นเลย ซึ่งอันที่จริงเราสองคนก็เดินผ่านไปหน่อยนึงแล้ว แต่ จขกท ไม่แน่ใจ เลยเอากระดาศที่ฮีจดมายืนเทียบทีละตัวอักษร ก่อนจะค้นพบว่า ที่นี่นี่เองงงงงงงง
เดินเข้าไป ยามเดินมาถามเป็นภาษาญี่ปุ่นรัวๆ จขกท ทำหน้าเหวอ น้องออมเลยช่วยถามทางให้เป็นที่เรียบร้อย เพราะคุณยามพูดภาษาอังกฤษไม่ได้ ซึ่งน้องก็ย้ำด้วยประโยคเดิมว่า ดีแล้วที่หนูตัดสินใจมาเป็นเพื่อนพี่อะ ซึ่งอิพี่ก็เห็นด้วยอย่างแรงค่ะน้องเอ๊ย TT^TT กลับไทยไปเรียนภาษาด่วน!!!!!!
ในที่สุดก็เข้ามาถึงหลังเวที ได้เจอท่านแม่ซึ่งก็รัวววววววภาษญี่ปุ่นถามมาอีก ก่อนจะนึกได้ และเปลี่ยนเป็นภาษาอังกฤษกระท่อนกระแท่นว่าถ้าอยากดูหน้าเวที เดินอ้อมทางนี้ไปก็ได้ อยู่หลังเวทีตลอดเดี๋ยวจะเบื่อ อีกครึ่งชั่วโมงก็เลิกแล้วจ้าาาา
ซ้อมเสร็จ เราส่งน้องขึ้นรถไฟกลับบ้าน ไปกินข้าวเย็นกับท่านแม่ และก็โดนชวนไปออนเซ็นกัน ซึ่งเราก็ยิ้มแหยๆ ไปค่ะไป ไปก็ได้ค่ะ
รู้มาจากสนุปปี้ว่า ถ้าจะไปฮอทสปริงเนี่ย เธอต้องแก้ผ้าหมดนะ ซึ่งเราก็รีบบอก เฮ้ยยยย ไม่อาววววววว เธอรู้มั้ยว่าล่าสุดที่แม่เห็นชั้นแก้ผ้านี่คือตอนชั้นอยู่อนุบาลสามนะยะ แล้วนี่ชั้นต้องมานั่งแก้ผ้าต่อหน้าแม่และพี่สาวเธอเร้ออออออออออออออ!!!
สีหน้าของเด็กหญิงแพน ณ เวลานั้น...
แต่นั่นคือสองเรื่องที่ตานุปปี้ขอเอาไว้ บอกว่า เธอไม่จำเป็นต้องพยายามทำทุกอย่างก็ได้ แต่เราขอแค่สองเรื่องนะ คือหนึ่ง เธอหัดใช้ตะเกียบเถอะ (จขกท ใช้ไม่เป็นฮ่ะ กินราเมงยังต้องใช้ช้อนส้อมเลย แหะๆ) และสองคือ ไปฮอทสปริง!!!
อันที่จริง ไอ้โมเม้นท์แก้ผ้าต่อหน้าแม่แฟนนี่มันไม่อยู่ในทูดูลิสต์ชองชั้นเลยนะ!!!
ในที่สุด หญิงแพนก็ต้องจำใจโดนลากไปออนเซ็นจนได้ ซึ่งท่านแม่ก็เดินหัวเราะสีหน้า จขกท ไปตลอดทาง อนาถตัวเองเหลือเกิน
และ จขกท ก็ปล่อยไก่ตัวแรกตั้งแต่ยังไม่ทันทำอะไรเลยค่ะ คือว่าห้องอาบน้ำมันแบ่งเป้นสองฝั่ง ซึ่งก็เขียนด้วยภาษาญี่ปุ่น ไอ้เราก็มันแต่อาย เดินตามก้นนุปปี้ไปอย่างเดียว มารู้ตัวคือตอนเฮียแกเอามือยันหัวไว้ บอกว่า เธอไปฝั่งนู้น นี่มันห้องน้ำชาย!! หญิงแพนถึงเงยหน้าขึ้นไปเห็นว่าตัวเองกำลังเดินก้าวเข้าประตูห้องน้ำชายไปครึ่งก้าว ท่ามกลางสายตาประชาชีที่มีอยู่สิบกว่าคนแถวนั้น และท่านพี่ก็เลยรีบเดินมาจูงมือเข้าอีกประตูไปพร้อมกับตบๆไหล่ และท่านแม่ก็บอก เราไปอาบน้ำกันเต๊อะ!!! Pann chan's first time hot spring!!!!!!!
ดอกที่สอง เดินเข้าไปในห้องล๊อคเกอร์ จขกท ก็กำลังเปิดตู้ เอากระเป๋ายัดเข้าไป และหันมาหาท่านพี่ จะจ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก
ท่านพี่ล่อนจ้อนไปแย้วววววว และเสียงจ๊ากของ จขกท นี่ไม่ใช่เบาๆนะคะ ที่สำคัญคือทุกคนล้วนบอกว่า จขกท เป้นคนที่แสดงอารมณ์ทุกสิ่งออกมาทางสีหน้าหมด T^T แน่นอนว่ามันคงออกมาดูชัดมากกกกกกกกกกกก ถ้านึกถึงหนังตลกญี่ปุ่นก็คงเป้นอารมณ์ที่เสียงว้ากดังสะเทือนออกมาถึงนอกห้องนั่นแหละค่ะ และเน่นอน เมือจ๊ากแล้ว ท่านแม่ก็ขำ แล้วถอดออกบ้าง
อ๊ากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก ใครก็ได้ พาตูออกไปที พลีสสสสสสสสสสสสสสสสสส
ท่านแม่กะท่านพี่ก็คงเข้าใอารมณ์ของสาวน้อย เพราะเวลานั้น จขกท เอาหัวมุดเข้าไปในล๊อคเกอร์เป้นที่เรียบร้อยแล้ว และท่านแม่ก็ถามว่า แพนจังงงงง อาร์ยูโอเค้???
ไอ แอม น๊อททททททททททททททททททททททททททททททททททททททททททท!!!!!!!!!!
พูดจบก็มีป้าๆเดินโล่งโจ้งเข้ามาอีกกลุ่ม เชื่อเลยว่าตอนนั้นหน้า จขกท คงแดงเหมือนมะเขือเทศเน่าไปแล้ว (คือแดงด้วย เละด้วย) ท่านแม่เลยหัวเราะก๊าก แล้วตบๆไหล่ บอกว่า แพนจัง สู้ๆนะ เฟิร์สไทม์ฮอทสปริง!!
แวะมาแปโปสเตอร์คอนเสิร์ตบัลเล่ต์ให้ดูค่ะ
สำหรับภาค2 อ่านต่อได้ที่นี่ค่า
http://ppantip.com/topic/32193285