บอกกล่าวกันเล็กน้อยว่า สาเหตุที่บอกว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องสั้น เนื่องจากภายใต้ชื่อ Dark Tales of London จะแบ่งเป็นเรื่องสั้นหลาย ๆ เรื่องรวมกัน แต่ละตอนจะมีความยาวประมาณ 3-4 ตอนจบ มีตัวละครที่เกี่ยวเนื่องกันอยู่บ้าง โดยเหตุการณ์ในเรื่องเกิดขึ้นในอังกฤษ โดยเฉพาะลอนดอน ในช่วง ค.ศ. 1880 - 1890 ค่ะ
ขออนุญาตตอบกระทู้คราวที่แล้วนะคะ
คุณ สมาชิกหมายเลข 1412708 :
ขอบคุณมากเลยค่ะ ยังไม่เก่งเท่าไหร่ เพราะเขียนนิยายยังไม่รอดค่ะ ฮ่าๆ
อาศัยพยายามเขียนมาเรื่อย ๆ บ่อย ๆ หาแนวทางของตัวเอง หาจังหวะที่จะนำเสนอ
ก็จะช่วยให้เรียบเรียงความคิด หาทางสื่อสิ่งที่ต้องการจะบอกได้เข้าที่เข้าทางเองค่ะ
พยายามเข้านะคะ เชื่อว่าทำได้
คุณ turtle_cheesecake
ขอบคุณ ที่แวะมาอ่านเช่นกันค่ะ ^^
ชอบอ่านนิยายแนวสืบสวนสอบสวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเหมือนกันค่ะ
พออ่านไปมาก ๆ ก็จะมีอารมณ์หนึ่ง คือ อยากลองเขียนดูบ้าง ว่าจะเขียนได้หรือเปล่า ก็เลยลองเขียนดูบ้าง
เชื่อว่า คุณ turtle_cheesecake ก็เขียนได้ค่ะ ขอแค่ลองเขียนออกมาก่อนเถอะ
ตัวเองก็ลองผิด ลองถูกมาเยอะเหมือนกัน กว่าจะออกมาแล้วคนอ่านอ่านรู้เรื่อง แหะ ๆ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำชมด้วยค่ะ ^^
คุณ Psycho man :
ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
ขอบคุณที่สละเวลามาอ่าน ถ้ามีจุดผิดพลาดตรงไหน หรือมีข้อแนะนำอะไรบอกได้นะคะ ยินดีรับฟังด้วยความขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเช่นเคยค่ะ ^^
Dark Tales of London : บทนำ :
http://ppantip.com/topic/32052994
----------------------------------------------------------------------------------
The Hand of Glory (ตอนที่ 1)
บัคเคิล สตรีท, ลอนดอน, 29 ธันวาคม 1888
จากที่จ่ามัสเกรฟรายงานสรุปให้ข้าพเจ้าฟังระหว่างนั่งรถม้าจากบ้านพักของข้าพเจ้าที่ฟลีทสตรีทมายังไวท์ชาเพิล ศพของเจมส์ พ็อตต์อยู่ในห้องหนังสือ ยังไม่ถูกผู้ใดแตะต้อง นอกจากคลาร่า พ็อตต์ ผู้เป็นภรรยา และเป็นผู้รายงานแก่พลตระเวน
(1) ที่ออกตรวจตราในช่วงเช้าว่า สามีของตนเสียชีวิตแล้ว ห้องหนังสือดังกล่าวอยู่บนชั้นสองของตึกซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัยของสามีภรรยาพ็อตต์ ส่วนชั้นหนึ่งและห้องใต้ดินนั้น ใช้เป็นร้านค้าและที่เก็บสินค้าตามลำดับ
ในสายตาข้าพเจ้า ร้านขายของเก่าของมิสเตอร์พ็อตต์ ผู้ตาย ดูเหมือนโรงรับจำนำเสียยิ่งกว่า เพราะเครื่องเรือน เครื่องเงิน และเครื่องกระเบื้องต่าง ๆ ที่วางแสดงเพื่อจำหน่ายภายในร้านอยู่นั้น หลายชิ้นเป็นของอย่างธรรมดาอันจะซื้อหาที่ใดก็ได้ หลายชิ้นดูไม่มีราคาหรือแทบหาความประณีตไม่พบ และการจัดเก็บของบางประเภทก็ไม่ถูกต้องตามหลัก เช่น เอาสำรับอาหารที่ทำจากเงินไว้นอกตู้กระจก ทำให้เกิดเป็นคราบดำไม่น่าดู ของที่เข้าท่าอยู่บ้างหรือพอจะสวยหน่อย เห็นจะมีแต่พวกเครื่องกระเบื้องของจีน และเครื่องรางแปลก ๆ ต่าง ๆ ซึ่งอย่างหลังออกจะน่ากลัวมากกว่าน่าเก็บไว้ดูเล่น
ขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ข้าพเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะได้ยินเสียงไม้กระดานใต้พรมลั่นจนหวั่นใจว่า ถ้าเผลอย่ำหนักไป ข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนสูงใหญ่อยู่แล้วอาจทำให้พื้นทะลุลงไปได้ และเมื่อไปถึงชั้นพักอาศัย ข้าพเจ้าต้องแปลกใจอีกคำรบหนึ่ง เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้ในส่วนที่พักอาศัยนั้น หลายชิ้น โดยเฉพาะที่เป็นของใหม่ จัดได้ว่าเป็นของชั้นดีผิดจากของที่ขายอยู่มาก ของบางอย่างดูจะฟุ่มเฟือยเกินฐานะด้วยซ้ำไป
กิจการร้านขายของเก่าเป็นสิ่งที่สามีภรรยาคู่นี้ใช้ทำกินเลี้ยงชีพอยู่ทุกวันนี้จริงหรือ… ข้อนี้ข้าพเจ้ายังสงสัย หากเริ่มเข้าใจเหตุที่ผู้บังคับบัญชาของข้าพเจ้ารับเอาคดีนี้เข้าเป็นคดีในความรับผิดชอบของสก็อตแลนด์ยาร์ดขึ้นมาบ้าง เพราะที่มาของรายได้ของพวกเขาไม่ปกตินัก แต่มาจากไหนนั้น ยังไม่ทราบได้
“สารวัตรเฟย์” ชายหน้ากลม สูงสันทัด อายุราวสี่สิบปลาย ซึ่งยืนอยู่ที่ปากประตูห้องร้องทักและสัมผัสมือกับข้าพเจ้า “ผมคือสารวัตรเจมส์ แบล็ก จากดิวิชั่นเอช เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับสารวัตรสืบสวนคนใหม่ของสก็อตแลนด์ยาร์ด”
“ยินดีเช่นกันครับ” ข้าพเจ้าตอบรับสั้น ๆ ด้วยไม่อยากคุยให้มากความ “ศัลยแพทย์ตำรวจ
(2) กับช่างภาพ
(3) มาแล้วหรือยัง”
ดูท่าสารวัตรแบล็กจะผิดหวังกับท่าทีของข้าพเจ้าอยู่พอดู “มาแล้ว รออยู่ในห้องหนังสือนั่นแน่ะ”
เขานำข้าพเจ้าและจ่ามัสเกรฟเข้าไปในห้อง แนะนำข้าพเจ้ากับศัลยแพทย์ตำรวจและช่างภาพ การบันทึกภาพและการตรวจศพในที่เกิดเหตุก่อนเคลื่อนย้าย เป็นระบบที่เพิ่งนำมาใช้หลังเกิดกรณีแจ็คเดอะริปเปอร์นี่เอง เมื่อทำความรู้จักกันแล้ว ข้าพเจ้าจึงให้ช่างภาพทำการถ่ายรูปห้องและศพเอาไว้ ก่อนที่แพทย์จะทำงานของตนเองต่อไป
ข้าพเจ้านำสมุดบันทึกและดินสอออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วาดแผนที่ห้องคร่าว ๆ และจดสิ่งที่สังเกตเห็นลงไป
สภาพทั่วไปของห้องหนังสือของมิสเตอร์พ็อตต์ค่อนข้างเรียบร้อย มีพวกหนังสือ ภาพเขียน และเครื่องรางอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในตู้ เพื่อรอติดฉลากราคาก่อนนำลงไปขายในร้านข้างล่าง ส่วนที่เป็นพิรุธที่สุดมีเพียงจุดเดียว คือ บริเวณโต๊ะทำงานของเขา ซึ่งมีหนังสือ และกระดาษต่าง ๆ กระจุยกระจายไปทั่ว หมึกดำสำหรับเขียนหนังสือหกนองไปทั่วโต๊ะไม้มะฮอกกานี และไหลหยดลงบนพื้นพรมเบื้องล่างเป็นรอยด่างวงใหญ่
ขณะเดินสำรวจภายในห้อง ข้าพเจ้ารู้สึกหนาวเยือกจนต้องกระชับเสื้อฟร็อกเข้าหาตัว เมื่อมองไปรอบ ๆ จึงได้สังเกตเห็นว่าหน้าต่างด้านหลังห้องถูกดึงขึ้น ทำให้อากาศหนาวภายนอกไหลเข้ามาทางช่องเปิดนั้นได้ ซึ่งการเปิดหน้าต่างห้องทิ้งไว้ในช่วงเดือนธันวาคมเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำกัน และเมื่อพินิจให้ถ้วน ก็พบว่าบนกลอนและขอบไม้ของหน้าต่างด้านล่างนั้นก็มีรอยนิ้วมือเปื้อนหมึกติดอยู่ด้วย
“สารวัตรพอจะทราบไหมว่า หน้าต่างเปิดอยู่ก่อนแล้ว หรือตำรวจเป็นคนเปิดในภายหลัง” ข้าพเจ้าหันไปถามสารวัตรแบล็ก
เขาไม่ตอบ หากโบกมือเรียกพลตระเวนซึ่งเข้าถึงที่เกิดเหตุคนแรกมาหาข้าพเจ้า
“กระผมไม่ทราบขอรับ” พลตระเวนผู้นั้นตอบ “เมื่อเข้ามาถึงห้อง กระผมก็กันเอาคนออกไปข้างนอกหมด ไม่ได้แตะต้องศพหรือสิ่งใด ใช้ให้สาวใช้ในบ้านไปตามตำรวจจากสถานีมา ส่วนกระผมอยู่เฝ้าหน้าห้องโดยตลอด กระทั่งสารวัตรแบล็กมาถึงขอรับ”
“ตอนที่ผมมาถึง ก็ยังไม่ได้แตะต้องอะไรในห้องเหมือนกัน” สารวัตรแบล็กบอกโดยไม่รอให้ข้าพเจ้าถาม “ยกเว้นให้คนเอาผ้ามาคลุมศพกันอุจาดตาเท่านั้น”
“แล้วทราบได้อย่างไรว่าของหายไปชิ้นเดียวโดยไม่มีของมีค่าอย่างอื่นหายไปอีก”
“สอบถามจากมิสซิสพ็อตต์แล้ว หล่อนบอกอย่างนั้น… ผมสั่งให้หล่อนอยู่แต่ในห้องกับสาวใช้ เสร็จจากตรงนี้ แล้วสารวัตรไปถามหล่อนซ้ำอีกครั้งก็ได้” เขาตอบ ชี้ไปที่กล่องบุกำมะหยี่บนโต๊ะทำงาน “ของที่เคยอยู่ในกล่องนั้นหายไป ลิ้นชักต่าง ๆ ไม่มีร่องรอยการเปิดหรือรื้อค้น ส่วนพวกเงินที่ได้จากการค้าขาย”
“ของนั้นคืออะไร” ข้าพเจ้าถาม แม้จะทราบจากจ่ามัสเกรฟอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“มือมนุษย์ทำแห้ง” สารวัตรแบล็กทำสีหน้าขยะแขยงสิ่งที่พูดถึงอย่างไม่ปิดบัง “ที่เขาเรียกกันว่า The Hand of Glory… สารวัตรเคยได้ยินอยู่บ้างกระมัง”
-----------------------------------------------------------------------------------
[1] Police constable
[2] Police surgeon ในสมัยนั้น ยังไม่มีแพทย์นิติเวชที่ทำหน้าที่ชันสูตรศพโดยเฉพาะเหมือนในปัจจุบันแต่จะใช้ศัลยแพทย์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการผ่าตัดและกายวิภาคศาสตร์มาทำหน้าที่ตรวจศพและผ่าศพพิสูจน์(necropsy)
[3] ในสมัยวิคตอเรียนการถ่ายภาพที่เกิดเหตุอาจทำโดยตำรวจหรือช่างภาพมืออาชีพที่ได้รับการว่าจ้างมาก็ได้เนื่องจากกล้องถ่ายภาพยังไม่แพร่หลายมากเท่าในปัจจุบัน
(มีต่อนะคะ)
Dark Tales of London : มือมาร (The Hand of Glory) ตอนที่ 1
ขออนุญาตตอบกระทู้คราวที่แล้วนะคะ
คุณ สมาชิกหมายเลข 1412708 :
ขอบคุณมากเลยค่ะ ยังไม่เก่งเท่าไหร่ เพราะเขียนนิยายยังไม่รอดค่ะ ฮ่าๆ
อาศัยพยายามเขียนมาเรื่อย ๆ บ่อย ๆ หาแนวทางของตัวเอง หาจังหวะที่จะนำเสนอ
ก็จะช่วยให้เรียบเรียงความคิด หาทางสื่อสิ่งที่ต้องการจะบอกได้เข้าที่เข้าทางเองค่ะ
พยายามเข้านะคะ เชื่อว่าทำได้
คุณ turtle_cheesecake
ขอบคุณ ที่แวะมาอ่านเช่นกันค่ะ ^^
ชอบอ่านนิยายแนวสืบสวนสอบสวนเป็นทุนเดิมอยู่แล้วเหมือนกันค่ะ
พออ่านไปมาก ๆ ก็จะมีอารมณ์หนึ่ง คือ อยากลองเขียนดูบ้าง ว่าจะเขียนได้หรือเปล่า ก็เลยลองเขียนดูบ้าง
เชื่อว่า คุณ turtle_cheesecake ก็เขียนได้ค่ะ ขอแค่ลองเขียนออกมาก่อนเถอะ
ตัวเองก็ลองผิด ลองถูกมาเยอะเหมือนกัน กว่าจะออกมาแล้วคนอ่านอ่านรู้เรื่อง แหะ ๆ
ขอบคุณอีกครั้งสำหรับคำชมด้วยค่ะ ^^
คุณ Psycho man :
ขอบคุณที่แวะมาอ่านค่ะ
ขอบคุณที่สละเวลามาอ่าน ถ้ามีจุดผิดพลาดตรงไหน หรือมีข้อแนะนำอะไรบอกได้นะคะ ยินดีรับฟังด้วยความขอบคุณเป็นอย่างยิ่งเช่นเคยค่ะ ^^
Dark Tales of London : บทนำ : http://ppantip.com/topic/32052994
----------------------------------------------------------------------------------
The Hand of Glory (ตอนที่ 1)
จากที่จ่ามัสเกรฟรายงานสรุปให้ข้าพเจ้าฟังระหว่างนั่งรถม้าจากบ้านพักของข้าพเจ้าที่ฟลีทสตรีทมายังไวท์ชาเพิล ศพของเจมส์ พ็อตต์อยู่ในห้องหนังสือ ยังไม่ถูกผู้ใดแตะต้อง นอกจากคลาร่า พ็อตต์ ผู้เป็นภรรยา และเป็นผู้รายงานแก่พลตระเวน (1) ที่ออกตรวจตราในช่วงเช้าว่า สามีของตนเสียชีวิตแล้ว ห้องหนังสือดังกล่าวอยู่บนชั้นสองของตึกซึ่งใช้เป็นที่พักอาศัยของสามีภรรยาพ็อตต์ ส่วนชั้นหนึ่งและห้องใต้ดินนั้น ใช้เป็นร้านค้าและที่เก็บสินค้าตามลำดับ
ในสายตาข้าพเจ้า ร้านขายของเก่าของมิสเตอร์พ็อตต์ ผู้ตาย ดูเหมือนโรงรับจำนำเสียยิ่งกว่า เพราะเครื่องเรือน เครื่องเงิน และเครื่องกระเบื้องต่าง ๆ ที่วางแสดงเพื่อจำหน่ายภายในร้านอยู่นั้น หลายชิ้นเป็นของอย่างธรรมดาอันจะซื้อหาที่ใดก็ได้ หลายชิ้นดูไม่มีราคาหรือแทบหาความประณีตไม่พบ และการจัดเก็บของบางประเภทก็ไม่ถูกต้องตามหลัก เช่น เอาสำรับอาหารที่ทำจากเงินไว้นอกตู้กระจก ทำให้เกิดเป็นคราบดำไม่น่าดู ของที่เข้าท่าอยู่บ้างหรือพอจะสวยหน่อย เห็นจะมีแต่พวกเครื่องกระเบื้องของจีน และเครื่องรางแปลก ๆ ต่าง ๆ ซึ่งอย่างหลังออกจะน่ากลัวมากกว่าน่าเก็บไว้ดูเล่น
ขณะเดินขึ้นบันไดไปชั้นบน ข้าพเจ้าต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ เพราะได้ยินเสียงไม้กระดานใต้พรมลั่นจนหวั่นใจว่า ถ้าเผลอย่ำหนักไป ข้าพเจ้าซึ่งเป็นคนสูงใหญ่อยู่แล้วอาจทำให้พื้นทะลุลงไปได้ และเมื่อไปถึงชั้นพักอาศัย ข้าพเจ้าต้องแปลกใจอีกคำรบหนึ่ง เนื่องจากข้าวของเครื่องใช้ในส่วนที่พักอาศัยนั้น หลายชิ้น โดยเฉพาะที่เป็นของใหม่ จัดได้ว่าเป็นของชั้นดีผิดจากของที่ขายอยู่มาก ของบางอย่างดูจะฟุ่มเฟือยเกินฐานะด้วยซ้ำไป
กิจการร้านขายของเก่าเป็นสิ่งที่สามีภรรยาคู่นี้ใช้ทำกินเลี้ยงชีพอยู่ทุกวันนี้จริงหรือ… ข้อนี้ข้าพเจ้ายังสงสัย หากเริ่มเข้าใจเหตุที่ผู้บังคับบัญชาของข้าพเจ้ารับเอาคดีนี้เข้าเป็นคดีในความรับผิดชอบของสก็อตแลนด์ยาร์ดขึ้นมาบ้าง เพราะที่มาของรายได้ของพวกเขาไม่ปกตินัก แต่มาจากไหนนั้น ยังไม่ทราบได้
“สารวัตรเฟย์” ชายหน้ากลม สูงสันทัด อายุราวสี่สิบปลาย ซึ่งยืนอยู่ที่ปากประตูห้องร้องทักและสัมผัสมือกับข้าพเจ้า “ผมคือสารวัตรเจมส์ แบล็ก จากดิวิชั่นเอช เป็นเกียรติอย่างยิ่งที่ได้ทำงานร่วมกับสารวัตรสืบสวนคนใหม่ของสก็อตแลนด์ยาร์ด”
“ยินดีเช่นกันครับ” ข้าพเจ้าตอบรับสั้น ๆ ด้วยไม่อยากคุยให้มากความ “ศัลยแพทย์ตำรวจ (2) กับช่างภาพ (3) มาแล้วหรือยัง”
ดูท่าสารวัตรแบล็กจะผิดหวังกับท่าทีของข้าพเจ้าอยู่พอดู “มาแล้ว รออยู่ในห้องหนังสือนั่นแน่ะ”
เขานำข้าพเจ้าและจ่ามัสเกรฟเข้าไปในห้อง แนะนำข้าพเจ้ากับศัลยแพทย์ตำรวจและช่างภาพ การบันทึกภาพและการตรวจศพในที่เกิดเหตุก่อนเคลื่อนย้าย เป็นระบบที่เพิ่งนำมาใช้หลังเกิดกรณีแจ็คเดอะริปเปอร์นี่เอง เมื่อทำความรู้จักกันแล้ว ข้าพเจ้าจึงให้ช่างภาพทำการถ่ายรูปห้องและศพเอาไว้ ก่อนที่แพทย์จะทำงานของตนเองต่อไป
ข้าพเจ้านำสมุดบันทึกและดินสอออกมาจากกระเป๋าเสื้อ วาดแผนที่ห้องคร่าว ๆ และจดสิ่งที่สังเกตเห็นลงไป
สภาพทั่วไปของห้องหนังสือของมิสเตอร์พ็อตต์ค่อนข้างเรียบร้อย มีพวกหนังสือ ภาพเขียน และเครื่องรางอีกจำนวนหนึ่งอยู่ในตู้ เพื่อรอติดฉลากราคาก่อนนำลงไปขายในร้านข้างล่าง ส่วนที่เป็นพิรุธที่สุดมีเพียงจุดเดียว คือ บริเวณโต๊ะทำงานของเขา ซึ่งมีหนังสือ และกระดาษต่าง ๆ กระจุยกระจายไปทั่ว หมึกดำสำหรับเขียนหนังสือหกนองไปทั่วโต๊ะไม้มะฮอกกานี และไหลหยดลงบนพื้นพรมเบื้องล่างเป็นรอยด่างวงใหญ่
ขณะเดินสำรวจภายในห้อง ข้าพเจ้ารู้สึกหนาวเยือกจนต้องกระชับเสื้อฟร็อกเข้าหาตัว เมื่อมองไปรอบ ๆ จึงได้สังเกตเห็นว่าหน้าต่างด้านหลังห้องถูกดึงขึ้น ทำให้อากาศหนาวภายนอกไหลเข้ามาทางช่องเปิดนั้นได้ ซึ่งการเปิดหน้าต่างห้องทิ้งไว้ในช่วงเดือนธันวาคมเช่นนี้ ไม่ใช่เรื่องที่คนทั่วไปจะทำกัน และเมื่อพินิจให้ถ้วน ก็พบว่าบนกลอนและขอบไม้ของหน้าต่างด้านล่างนั้นก็มีรอยนิ้วมือเปื้อนหมึกติดอยู่ด้วย
“สารวัตรพอจะทราบไหมว่า หน้าต่างเปิดอยู่ก่อนแล้ว หรือตำรวจเป็นคนเปิดในภายหลัง” ข้าพเจ้าหันไปถามสารวัตรแบล็ก
เขาไม่ตอบ หากโบกมือเรียกพลตระเวนซึ่งเข้าถึงที่เกิดเหตุคนแรกมาหาข้าพเจ้า
“กระผมไม่ทราบขอรับ” พลตระเวนผู้นั้นตอบ “เมื่อเข้ามาถึงห้อง กระผมก็กันเอาคนออกไปข้างนอกหมด ไม่ได้แตะต้องศพหรือสิ่งใด ใช้ให้สาวใช้ในบ้านไปตามตำรวจจากสถานีมา ส่วนกระผมอยู่เฝ้าหน้าห้องโดยตลอด กระทั่งสารวัตรแบล็กมาถึงขอรับ”
“ตอนที่ผมมาถึง ก็ยังไม่ได้แตะต้องอะไรในห้องเหมือนกัน” สารวัตรแบล็กบอกโดยไม่รอให้ข้าพเจ้าถาม “ยกเว้นให้คนเอาผ้ามาคลุมศพกันอุจาดตาเท่านั้น”
“แล้วทราบได้อย่างไรว่าของหายไปชิ้นเดียวโดยไม่มีของมีค่าอย่างอื่นหายไปอีก”
“สอบถามจากมิสซิสพ็อตต์แล้ว หล่อนบอกอย่างนั้น… ผมสั่งให้หล่อนอยู่แต่ในห้องกับสาวใช้ เสร็จจากตรงนี้ แล้วสารวัตรไปถามหล่อนซ้ำอีกครั้งก็ได้” เขาตอบ ชี้ไปที่กล่องบุกำมะหยี่บนโต๊ะทำงาน “ของที่เคยอยู่ในกล่องนั้นหายไป ลิ้นชักต่าง ๆ ไม่มีร่องรอยการเปิดหรือรื้อค้น ส่วนพวกเงินที่ได้จากการค้าขาย”
“ของนั้นคืออะไร” ข้าพเจ้าถาม แม้จะทราบจากจ่ามัสเกรฟอยู่แล้วว่าสิ่งนั้นคืออะไร
“มือมนุษย์ทำแห้ง” สารวัตรแบล็กทำสีหน้าขยะแขยงสิ่งที่พูดถึงอย่างไม่ปิดบัง “ที่เขาเรียกกันว่า The Hand of Glory… สารวัตรเคยได้ยินอยู่บ้างกระมัง”
-----------------------------------------------------------------------------------
[1] Police constable
[2] Police surgeon ในสมัยนั้น ยังไม่มีแพทย์นิติเวชที่ทำหน้าที่ชันสูตรศพโดยเฉพาะเหมือนในปัจจุบันแต่จะใช้ศัลยแพทย์ ซึ่งมีความเชี่ยวชาญในเรื่องการผ่าตัดและกายวิภาคศาสตร์มาทำหน้าที่ตรวจศพและผ่าศพพิสูจน์(necropsy)
[3] ในสมัยวิคตอเรียนการถ่ายภาพที่เกิดเหตุอาจทำโดยตำรวจหรือช่างภาพมืออาชีพที่ได้รับการว่าจ้างมาก็ได้เนื่องจากกล้องถ่ายภาพยังไม่แพร่หลายมากเท่าในปัจจุบัน
(มีต่อนะคะ)