เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๒๐)

กระทู้สนทนา
ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้

ตอนที่ ๒๐
    การบาดเจ็บของพลรบไม่ใช่เรื่องเล็กสำหรับกองทัพ แม้จะเกิดเหตุการณ์ในลักษณะใกล้เคียงกันอยู่บ่อยครั้งแต่การปกป้องผู้นำทางศาสนาผู้ซึ่งมีบทบาทสำคัญในสังคม เป็นบุคคลที่ประชาชนในท้องถิ่นให้ความเคารพเชื่อถือ และเป็นศูนย์รวมใจของคนในชุมชน ซึ่งมีส่วนสำคัญในการสร้างความสามัคคีในชุมชนทำให้ช่วยลดอาชญากรรมและการก่อการร้ายในพื้นที่ลงไปได้มาก ทำให้ผู้บังคับบัญชาระดับสูงให้ความสำคัญ
และระหว่างที่ผู้เป็นพ่อกำลังพยายาม (อีกครั้ง) ที่จะให้ลูกชายลาออกจากราชการและไปช่วยทำธุรกิจที่เชียงใหม่ คนที่เข้าเยี่ยมเป็นชุดสุดท้ายก่อนพลรบจะออกจากโรงพยาบาลคือคณะของผู้บังคับบัญชาระดับกองทัพภาคและผู้นำฯ ที่พลรบเอาชีวิตเข้าปกป้องนั่นเอง

    “ต้องขอขอบคุณที่ได้ใช้ชีวิตเพื่อคุ้มครองชีวิตโดยไม่เกรงกลัวอันตราย คนที่จะปกป้องชาติ บ้านเมืองได้นั้น สิ่งหนึ่งที่สำคัญคือต้องมีความศรัทธาในหน้าที่และสิ่งที่ตนเองกำลังกระทำอย่างถูกต้อง เหมาะควร”
ประโยคของแม่ทัพภาคที่กล่าวกับพลรบ

    “การมีโอกาสได้ทำเพื่อประเทศที่เกิดและบ้านเมืองที่เติบโตมา ก็คุ้มค่าแล้วกับการได้มีชีวิต”
คำพูดของพลรบสร้างความรู้สึกที่แตกต่างให้กับหลายๆ คนที่อยู่รายล้อม ความศรัทธาในตัวพลรบสำหรับมากิตอนนี้มีเกินร้อย เช่นเดียวกับผู้บังคับบัญชาก็มั่นใจว่านี่คือกำลังสำคัญของกองทัพและสามารถจะเป็นผู้นำหน่วยที่ดีต่อไปในอนาคต ขณะที่ผู้เป็นบิดาแม้จะรู้สึกภูมิใจในตัวบุตรชายที่เป็นคนดี แต่ก็รู้สึกผิดหวังที่ลูกชายคนเดียวไม่เดินตามทางที่ต้องการ

    หลังจากที่พลรบรักษาตัวในโรงพยาบาลอยู่หลายวัน คนที่อยู่ข้างๆ คอยดูแลใกล้ชิดคือมากิ แววตาของลูกชายที่มองเด็กสาวนั้น คนเป็นพ่อ มีหรือจะมองไม่ออก    

    “หนูไม่กลับไม่ทำการทำงานหรือ”
บิดาของพลรบเป็นคนตรงไปตรงมา คิดอย่างไรก็พูดออกไปอย่างนั้น

    “เอ่อ หนูเป็นนักเขียนน่ะค่ะ ไม่ได้ทำงานประจำ”

    “ไม่ทำงานประจำแล้วมีเงินมีทองใช้ได้ยังไง อาชีพเขียนหนังสือน่ะพอกินหรือ”
บิดาของพลรบยังมองว่าฐานะทางการเงินเป็นสิ่งสำคัญ เขาไม่เคยให้ครอบครัวต้องลำบาก และหากลูกจะมีครอบครัวก็จะต้องไม่ลำบากด้วยเช่นกัน คนที่จะมาเป็นสมาชิกเพิ่มในครอบครัวจะต้องไม่มาเป็นภาระ และเขาจะสอนลูกเสมอว่าจะต้องไม่เป็นภาระให้กับใครเช่นกัน

    “คือ...”
มากิไม่สามารถอธิบายได้ว่าถึงแม้ตอนนี้เธอยังเป็นแค่นักเขียนที่ไม่ค่อยมีชื่อเสียงเท่าไหร่นัก  แต่ระหว่างนี้ก็เป็นเวลาเดียวกับที่เธอเรียนรู้ตัวเองด้วยว่าแท้จริงแล้วเธอต้องการอะไรในชีวิต เมื่อถึงวันหนึ่งเธอจะรู้ว่างานเขียนอาจไม่เหมาะกับชีวิตเธอ หรือบางทีอาชีพเขียนหนังสือนี่แหละที่เธอเกิดมาเพื่อมัน... นั่นอาจจะต้องใช้เวลาสักระยะหนึ่งซึ่งพ่อแม่ของมากิเข้าใจเป็นอย่างดี อีกทั้งยังสนับสนุนให้ลูกสาวคนเดียวเลือกเดินในเส้นที่ตั้งใจ ซึ่งตรงข้ามกับครอบครัวของพลรบอย่างสิ้นเชิง

    “พ่อครับ”
พลรบไม่อยากให้มากิถูกบิดาเข้าใจผิด เขาอยากจะอธิบาย แต่เหมือนผู้เป็นพ่อจะไม่เปิดโอกาสให้เลย

    “แกก็เหมือนกัน ถ้าเกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีกครั้ง แกต้องลาออก ไม่มีเงื่อนไข”
นอกจากต้องเสี่ยงตายแล้ว เงินเดือนก็น้อยไม่คุ้มค่ากับการเอาชีวิตเข้าเสี่ยงสักนิด ไหนจะคนรักของลูกชายอีกเล่า หากอยู่กินกันไปก็มีแต่จะลำบากกันเปล่าๆ บิดาของพลรบมองไม่เห็นว่าอาชีพเขียนหนังสือจะพอกิน
    ประโยคคำถามของบิดาชายหนุ่มทำให้หัวใจมากิปวดร้าว เธอคิดเพียงว่าอุปสรรคของความรักมีเพียงอย่างเดียวคืออีกฝ่ายไม่ได้รัก แต่สำหรับเธอกับพลรบดูจะพบอุปสรรคขนาดเท่าภูเขาหิมาลัย    

“ขอโทษด้วยนะครับมากิ”
หลังจากผู้เป็นบิดาเดินห่างออกไปแล้ว พลรบก็หันมาคุยกับหญิงสาว ทั้งคู่เดินออกมานอกอาคารพักฟื้นเพื่อสูดอากาศในยามเย็น และผ่อนคลายอิริยาบถ

    “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ คุณลุงพูดถูกแล้วล่ะค่ะ อาชีพเขียนหนังสือหรือจะพอกิน”
มากิไม่ได้รู้สึกน้อยใจ แต่เข้าใจในสิ่งที่บิดาของพลรบกล่าว

    “ครอบครัวผมทำธุรกิจส่งออก สินค้าหลักๆ ก็คือกล้วยไม้ซึ่งเรามีคอนแท็กกับไร่กล้วยไม้ที่เชียงราย ชื่อไร่ฝิ่น เจ้าของไร่เป็นเพื่อนผมและคุณเอื้องที่เป็นพี่สาวภรรยาของฝิ่นน่ะเขาก็เป็นนักเขียนเหมือนมากิด้วยนะ วันหลังจะแนะนำให้รู้จักกัน”

    “คุณเอื้อง เธอดังมากเลยนะคะ ไม่น่าเชื่อว่าจะเป็นคนใกล้ตัวแค่นี้เอง ดีจัง จะได้ขอคำแนะนำเรื่องงานเขียนกับเธอบ้าง สัญญาแล้วนะคะว่าจะพาไปรู้จัก”

    “สัญญาสิ”

    “นอกจากส่งออกกล้วยไม้แล้วยังมีดอกไม้อย่างอื่นด้วยหรือเปล่าคะ”

    “ที่เป็นจำพวกพืชดอกจะเป็นกล้วยไม้อย่างเดียว ผลไม้ก็มีสตอร์เบอรี่ ซึ่งก็ส่งออกตามฤดูกาล นอกจากนั้นก็มีผ้าไหม และสินค้าหัตถกรรมพื้นเมือง ส่วนที่เป็นของบริษัทเราเอง เป็นพวกเครื่องใช้ในสปา อย่างลูกประคบ สบู่สปา น้ำมันหอม พ่อจะจ้างให้คนในชุมชนผลิตตามออเดอร์แล้วมาทำแพ็คเกจเอง ตอนนี้สินค้าที่ได้รับความนิยมและเป็นที่ต้องการมากที่สุดคือเครื่องใช้ในสปานั่นแหละ อ่อ แล้วคนที่ออกแบบแพ็คเกจและโลโก้สินค้าของบริษัทคือน้องสาวผมเอง พารัน”

    “ยังเด็กอยู่เลย เก่งจังนะคะ”

    “การออกแบบของพารัน จะเป็นแนวที่วัยรุ่นนิยม อย่างสบู่ก้อนรูปมิกกี้เมาส์ ถ้าโลโก้สินค้าเป็นรูปเสือสิบเอ็ดตัวก็คงขายไม่ได้ พารันก็ทำโลโก้เป็นรูปการ์ตูน ทำให้ได้กลุ่มลูกค้าเพิ่มขึ้น”

    “มีบูธหรือว่ามีร้านค้าปลีกมั้ยคะ”

    “ก็มีที่บริษัทนั่นแหละครับ บูธเล็กๆ ประมาณคูหานึง”

    “มากิพอจะนึกภาพออกแล้วล่ะคะ ว่าทำไมคุณลุงถึงต้องการให้รบกลับไปช่วยงานที่บ้าน”

    “พ่อแก่แล้วและนอกจากผมกับพารันแล้วที่บ้านเราก็ไม่มีใครเลย น้องยังเด็กเกินกว่าจะรับผิดชอบเรื่องทั้งหมดนี้คนเดียวไหว”

    “อยากช่วยนะคะ”

    “หือ... อะไรนะ”

    “เอ่อ เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”

    “ผมรู้ว่าพ่อลำบากมากกว่าจะมาถึงตรงนี้และถ้าไม่มีคนสานต่อ ก็น่าเสียดาย”

    “มากิเข้าใจคุณลุงแล้วล่ะค่ะ แต่มากิไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้คุณลุงเข้าใจมากิ”

    “เป็นอย่างที่คุณเป็น”

    “และถึงแม้คุณลุงจะเข้าใจมากิ... ก็ไม่รู้ว่าจะทำยังไงให้ใครบางคนรู้ใจมากิ” แอบหยอด... ตามประสานักเขียนเท่านั้นเอง ไม่มีอะไร (จริงๆ นะ )

    “หือ?”

    “เอ่อ...เปล่าค่ะ ไม่มีอะไร”
ประโยคที่ดูจะติดปากมากิไปเสียแล้วในนาทีนี้ แต่พลรบก็รู้ความหมาย เขาจึงอธิบายบางอย่างให้เธอฟัง

    “ผมเคยคิดว่าตัวเองมีความรัก... ตอนที่รู้จักกับอัลยา เราเป็นเพื่อนกันมาหลายปี สนิทสนมกันจนใครๆคิดว่าเราเป็นแฟนกัน ที่จริงผมก็ต้องการให้เป็นอย่างนั้น ผมคิดว่าผมรักเธอ โดยที่ผมไม่รู้เลยว่าความรักเป็นอย่างไร รักแบบคนรัก รักแบบเพื่อนแตกต่างกันอย่างไร ผมคิดแค่ว่านั่นคือความรัก กระทั่งผมไปที่อินทนิลและได้พบกับคุณ ผมถึงได้เข้าใจว่าความรักแบบเพื่อนที่มีต่อเพื่อนกับความรักแบบอื่นที่ไม่ใช่เพื่อนมันต่างกันมาก”

    “บางทีความรัก ก็ไม่เห็นต้องพูดกันเยอะๆ เลยเนอะ”

    “นั่นสิ... อืมม์ ว่าแต่ คุณมากิจะไปไหนต่อหลังจากนี้”

    “เรียกคุณมากิ รู้สึกเขินๆ แล้วก็ดูเป็นคนอื่นยังไงไม่รู้ มากิขอเรียกพี่รบได้มั้ยคะ”

    “ได้สิ...ก็รออยู่เหมือนกันว่าเมื่อไหร่คุณ เอ๊ย มากิจะเรียกแบบนั้นเสียที ผมเอง เอ๊ย พี่เองก็ไม่กล้าใช้คำแทนตัวว่าพี่ กลัวมากิจะคิดว่าล้ำเส้น”

    “โอ๊ย ไม่เลยค่ะ อยากเรียกพี่รบมานานแล้วเหมือนกัน”
แม้จะรู้ว่ามีภูเขาหิมาลัยตั้งตระหง่านอยู่ตรงหน้า มากิก็รู้ว่าเธอไม่ต้องฟันฝ่าไปคนเดียว เพราะพลรบจะอยู่เคียงข้างไปด้วยกัน ภูเขาเบื้องหน้าอาจจะสูงใหญ่และลำบากในการปีนป่าย แต่การมีใครสักคนเดินไปด้วยกัน ลำบากด้วยกัน เจ็บปวดจากการลื่นไถลไปด้วยกัน หากคนหนึ่งเจ็บก็ยังมีอีกคนคอยยื่นมือมาให้จับ คอยประคับประคองอยู่ข้างๆ หิมาลัยตรงหน้าก็ไม่สูงชันจนเกินไปหรอก

    “ทางหน่วยอนุญาตให้พี่พักรักษาตัวที่บ้านอีกหนึ่งสัปดาห์ ถ้าหากเป็นเมื่อก่อนพี่ก็คงกลับฐานเลย แต่ตอนนี้พี่เปลี่ยนใจแล้ว”

    “จะกลับบ้านที่เชียงใหม่เหรอคะ”

    “เราไปเชียงรายกัน”

    “เรา...หมายถึงมากิด้วยหรือเปล่าคะ”

    “ใช่แล้ว..พี่จะไปคุยเรื่องส่งออกกล้วยไม้กับเจ้าฝิ่นมันน่ะ จะได้แนะนำให้มากิรู้จักกับคุณเอื้องด้วย”

    “ขอบคุณมากนะคะ พี่รบ”
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่