ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๔
คนนี้เองกระมังที่เป็น “ตัวจริง” ของอัลยา ทศพรรษรู้สึกเจ็บปวด ทั้งที่ระหว่างเขากับอัลยาหากนับสถานะกันจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่มีความผูกพันทางใจสักนิดเดียว แต่ทำไมเขาต้องรู้สึกอะไรได้มากขนาดนี้ด้วยนะ...
“เราไม่ได้ป่วยหรอกรบ แต่เป็นเรื่องงานน่ะ เราคิดว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับที่นี่จริงๆ นั่นแหละ”
อัลยารู้สึกเหนื่อยและท้อแท้กับภาระในมือมากกว่าจะสนใจเรื่องอื่นๆ อีก
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”
“เราช่วยอะไรใครไม่ได้เลย ทั้งที่เป็นหน้าที่ของเราแท้ๆ”
“แต่หยาก็ได้เรียนรู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ขึ้นในวันข้างหน้า จะทำยังไง สำหรับครั้งนี้ แค่กลับมาปลอดภัยก็ถือว่าโชคดีมากแล้วรู้มั้ย”
“ก็เพราะเราไม่รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ขึ้นในวันข้างหน้า จะเป็นยังไงนั่นแหละ เราถึงรู้สึกแย่ยังไงล่ะ”
“เป็นทหารกลัวตายด้วยหรือ”
ประโยคที่เหมือนเข็มทิ่มใจ...
“รบพูดแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ... สำหรับเรา การที่เราเลือกมาอยู่ที่นี่นั่นก็แปลว่าเราไม่ได้กลัวความตายมากเท่ากับว่าเราทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับผู้คนบ้าง และตอนนี้สิ่งที่เรารู้คือเราไม่ได้ทำอะไรให้เกิดคุณค่ากับใครเลยต่างหาก”
“บางทีหยาอาจจะอยากพักผ่อนและใช้เวลากับตัวเองบ้าง เราว่าหยากลับกรุงเทพฯ กับเราดีมั้ย พักผ่อนสักพักแล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
พลรบเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเครียด
“ก็ดีเหมือนกันนะ... คุณทศกับมากิจะได้มีเวลากันตามลำพังบ้าง”
แม้จะเป็นเรื่องงานแต่อัลยาก็อดนึกถึงมากิกับทศพรรษไม่ได้
“คุณทศ... คือผู้ชายคนเมื่อกี้น่ะเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ เขาชอบมากิ ถ้าหากว่าไม่มีเราอยู่ที่นี่สักคนเขาอาจจะมีเวลาเรียนรู้กันมากขึ้น”
“อืมม์ ถ้าอย่างนั้น หยาไปเก็บของแล้วเข้าสำนักงานไปขออนุญาตหัวหน้าก่อน”
“งั้นเราไปบอกคุณทศก่อนนะ”
ระหว่างรออัลยาเก็บของ พลรบอยากจะคุยกับมากิอีกสักครั้ง แต่ประโยคที่อัลยาบอกว่า คุณทศชอบมากิอยู่ นั่นทำให้เขาไม่กล้าที่จะคุยกับเธออีก... เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วันเธออาจจะลืมมันไปในไม่ช้า และเขาเองก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง โอกาสที่จะเจอกันอีกคงไม่มีแล้ว และทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงลมที่พัดผ่านใบไม้...เมื่อลมสงบทุกอย่างก็จบลง
“คุณทศคะ ฉันจะกลับกรุงเทพฯ สักสองสามวัน นะคะ”
“หือ? มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกค่ะ แค่... บางทีฉันควรจะกลับบ้านบ้าง เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดเลย กลัวว่าพ่อจะเป็นห่วง”
นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง แต่อัลยาตั้งใจว่าจะกลับบ้านจริงๆ
“พอดีเลย ผมต้องเข้าไปประชุมด้วย ไหนจะต้องไปซื้อยา แล้วก็ยังมีอะไรต้องทำที่กรุงเทพฯ อีกหลายอย่าง ไปพร้อมกันเลยดีมั้ย”
ทศพรรษไม่รู้เหมือนกันว่าหลุดปากออกไปแบบนั้นได้ยังไง สงสัยวิญญาณก้างจะอยากขวางคอคู่รักก็เป็นได้
“แล้วมากิล่ะคะ เธอจะอยู่ยังไงคนเดียว”
“เราเข้าป่าตั้งสามวันมากิก็อยู่ได้นี่”
“คุณไม่เป็นห่วงเธอเลยเหรอคะ”
“เออ นั่นสิ งั้นชวนไปด้วยกันเลยดีกว่า ถือว่าไปเที่ยว แล้วค่อยกลับมา เนอะ”
แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่ต้องเสียเวลาชวนมากิให้ยุ่งยาก เพราะเธอเก็บกระเป๋าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางเรียบร้อยแล้ว
“มากิมาคิดดูแล้ว...มากิรบกวนทุกคนมานาน คงต้องถึงเวลากลับแล้วล่ะค่ะ เห็นว่าพี่สิทธิ์จะเข้าเมืองไปส่งคุณรบ มากิจะได้ขอติดรถไปด้วยเลย”
“เอางั้นเลยเหรอ... ถ้างั้นไปรถผมดีกว่า จะได้ไม่ต้องให้พี่สิทธิ์ไปส่ง เพราะผมยิงตรงถึงกรุงเทพฯ เลย”
และนั่นเองที่ทำให้ทั้งสี่คนต้องมานั่งรถคันเดียวกันอย่างอึดอัด.... ไม่ได้อึดอัดเพราะคับแคบแต่อึดอัดเพราะแต่ละคนก็มี “สิ่งที่อยู่ในใจ” ซึ่งไม่สามารถเอ่ยปากได้ในขณะนั้น
“รบคะ นี่คุณทศ ทำงานด้วยกัน ออกป่าด้วยกัน”
อัลยาแนะนำแบบนั้น... ไม่มีคำว่าสัตวแพทย์หลุดออกมา ซึ่งคนที่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกคือมากิ
“พลรบครับ”
ส่วนพลรบเองก็ไม่แนะนำสถานะของตัวเองเช่นกัน... โฟร์วิลสี่ประตูของทศพรรษมีพลรบนั่งข้างๆ และหญิงสาวสองคนก็นั่งด้านหลัง ต่างคนต่างเงียบ...นั่นเพราะแต่ละคนก็มีเรื่องราวให้ครุ่นคิด จึงทำให้ความเงียบเข้าครอบคลุมพื้นที่ของรถอย่างเบิกบาน
พลรบแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับมากิ เช่นเดียวกับที่หมอทศเองก็ได้แต่แอบมองอัลยาอย่างเงียบๆ และเพราะอัลยาเข้าใจว่าพลรบกับมากิรู้จักกันแล้วจึงไม่ต้องแนะนำตัวกันอีก ทำให้ยังไม่มีใครรู้ว่าขณะอยู่ที่ป่าอินทนิล มากิได้สวมรอยเป็นหมอทศ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจเลยสักนิด แม้ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกอึดอัดใจก็ดูจะไม่มีใครมากเท่ามากิ...
“พี่ๆ คะ คือว่าเดี๋ยวมากิขอลงที่ตัวจังหวัดดีกว่านะคะเดี๋ยวเดินทางต่อเอง เดี๋ยวขอแวะทำธุระสักวันสองวันก่อนน่ะค่ะ”
แล้วมากิก็ทนความอึดอัดไม่ไหว เธอคงเดินทางต่อไปถึงกรุงเทพฯ กับพวกเขาไม่ได้แน่ แต่ถ้าจะให้บอกความจริงออกไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยเหมือนกัน
“เอ้า เอางั้นเลยเหรอ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงกรุงเทพฯแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
มากิลงที่รีสอร์ทไม่ไกลจากตัวจังหวัดมากนัก พลรบช่วยถือกระเป๋าเข้าไปให้ ขณะที่มีจังหวะอยู่ตามลำพังสองคนมากิก็ถือโอกาสพูดบางอย่าง
“คุณรบคะ มากิมีเรื่องอยากจะบอก... คือหลังจากนี้ไปเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย ถ้ามากิทำอะไรผิดไป หรือทำให้คุณรบต้องรู้สึกไม่ดี มากิต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ”
“ทุกๆ อย่างที่ผ่านมา... ขอโทษด้วยค่ะ”
มากิบอกลาทุกคน ทั้งอัลยาและทศพรรษ ต่างก็แปลกใจในความผิดปกติของมากิที่ดูแปลกไปจากเดิมมาก มากิดูมีบางอย่างปิดบังและไม่ร่าเริงเหมือนก่อน อัลยาเองก็ไม่กล้าถามเรื่องส่วนตัวของเธอมากนัก
“แล้วอย่าลืมกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้างนะ มากิ”
“ขอบคุณค่ะพี่ทศ”
พลรบไม่มีเบอร์ของมากิ แต่เขารู้ว่าการรอคอยในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว นั่นก็คือ รอให้มากิโทฯ ไปหาบ้าง
หลังจากที่ทุกคนจากไป มากินั่งถอนใจเงียบๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แน่นอนว่าพลรบต้องรู้แล้วว่าเธอไม่ใช่สัตวแพทย์แห่งป่าอินทนิล เขาคงจะโกรธเธอไปตลอดชีวิต นั่นเป็นความทุกข์ใจที่เกิดกับมากิ... ถ้าเธอไม่นึกสนุกอยากเก็บข้อมูลเขียนนิยายล่ะก็ เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้
“เออ เมื่อกี้คุณทศบอกว่า อย่าลืมกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้าง หมายความว่ามากิจะไม่กลับมาที่อินทนิลอีกแล้วเหรอครับ”
“อ๋อครับ... ก็มากิน่ะ เค้ามาอยู่ที่อินทนิลเพื่อ....”
ยังไม่ทันที่หมอจะพูดจบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือของอัลยาก็ดังขึ้น
“งานเข้าแล้ว พ่อโทฯ มา เงียบแป๊บนะคะ ฮาโหล ค่ะพ่อ... มือถือเสียน่ะค่ะ เอาไปซ่อมเพิ่งใช้ได้ อ๋อ นั่งอยู่บนรถค่ะ กำลังจะกลับเข้ากรุงเทพฯ อะไรนะคะ พ่อจะมา มาทำไมคะ... โอเค ค่ะ เดี๋ยวหยาไปรับที่สนามบินนะคะ แค่นี้นะคะพ่อ หวัดดีค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าหยา”
“พ่อน่ะสิ... จะเข้ากรุงเทพฯ บอกว่ามาธุระ ธุระอะไรก็ไม่รู้ เออ คุณทศคะ อีกสองชั่วโมงเราจะถึงกรุงเทพฯ มั้ยคะ”
“เดี๋ยวตีนผีจัดให้”
“โชคดีนะเนี่ยที่กำลังจะกลับพอดี นึกอยู่แล้วเชียว ว่ามันตะหงิดๆ ตั้งแต่แรก เหมือนกับมีอะไรดลใจให้กลับยังไงยังงั้นน่ะ แต่แปลก ทำไมพ่อต้องมากรุงเทพฯ ด้วยนะ”
“ให้เราไปเป็นเพื่อนมั้ย”
พลรบเสนอตัว
“ขอบใจมากรบ แต่ไม่เป็นไร รบไปทำงานเถอะ เดี๋ยวทางโน้นจะเป็นห่วง”
“มีอะไรก็โทฯ มาได้นะ”
หลังจากส่งพลรบที่สนามบินกองทัพฯ แล้วทศพรรษก็หันมาถามผู้โดยสารคนสุดท้าย
“ไม่ทราบจะให้กระผมไปส่งที่ไหนขอรับคุณนาย”
“บ้า ไม่ใช่คุณนายนะ เดี๋ยวส่งที่ดอนเมืองน่ะแหละ พ่อมาจากต่างจังหวัด ต้องไปรับพ่อก่อนค่ะ”
“อ้าวแล้วขากลับล่ะครับ”
“แท็กซี่ไงคะ ไม่เป็นไรหรอก คุณขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว กลับบ้านพักผ่อนเถอะนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
“แล้วคุณจะกลับอินทนิลเมื่อไหร่”
“อีกสักสองสามวัน”
“กลับพร้อมกันนะ ผมจะรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
ทศพรรษถอนใจ เพราะจากที่นั่งรถด้วยกันมาเกินห้าชั่วโมง เขาพยายามสังเกตความสัมพันธ์ของอัลยากับพลรบ ว่าลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน ก็แปลกที่กลับรู้สึกว่าพลรบดูจะสนใจมากิมากกว่า ขนาดลงไปซื้อเครื่องดื่ม ขนมที่ร้านสะดวกซื้อ คนที่เขายื่นขนมให้เป็นคนแรกยังเป็นมากิ ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นอัลยา คนที่เขาชะเง้อคอหา เวลาอีกคนหายไป ขณะนั่งทานข้าวก็ไม่ใช่อัลยา...
แล้วมันยังไงกันนะคู่นี้...
เขาขับรถกลับบ้านอย่างเซ็งๆ เซ็งเพราะรู้ว่ากลับไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง โดยเฉพาะพี่ชายคนเดียวที่ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจในชีวิตและเรื่องความรักมาแล้วเพราะคนรักของเขาแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นคนรักของพี่ชายนั่นแหละ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่รับรู้เรื่องราวของพี่กับผู้หญิงคนนั้น แต่การกลับบ้านครั้งแรกในรอบสามปี ทศพรรษเองก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เจอหน้าเธอเขาจะยังยิ้มให้เธออยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
เหอะ ขนาดเปิดประตูบ้านเข้ามา หมายังเห่า... หน้าตาดีขนาดนี้ยังจำกันไม่ได้อีกนะ
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๑๔)
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๔
คนนี้เองกระมังที่เป็น “ตัวจริง” ของอัลยา ทศพรรษรู้สึกเจ็บปวด ทั้งที่ระหว่างเขากับอัลยาหากนับสถานะกันจริงๆ แล้วก็เป็นเพียงเพื่อนร่วมงานเท่านั้น ไม่มีความผูกพันทางใจสักนิดเดียว แต่ทำไมเขาต้องรู้สึกอะไรได้มากขนาดนี้ด้วยนะ...
“เราไม่ได้ป่วยหรอกรบ แต่เป็นเรื่องงานน่ะ เราคิดว่าเราอาจจะไม่เหมาะกับที่นี่จริงๆ นั่นแหละ”
อัลยารู้สึกเหนื่อยและท้อแท้กับภาระในมือมากกว่าจะสนใจเรื่องอื่นๆ อีก
“ทำไมคิดอย่างนั้นล่ะ”
“เราช่วยอะไรใครไม่ได้เลย ทั้งที่เป็นหน้าที่ของเราแท้ๆ”
“แต่หยาก็ได้เรียนรู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ขึ้นในวันข้างหน้า จะทำยังไง สำหรับครั้งนี้ แค่กลับมาปลอดภัยก็ถือว่าโชคดีมากแล้วรู้มั้ย”
“ก็เพราะเราไม่รู้ว่าหากเกิดเหตุการณ์แบบเดียวกันนี้ขึ้นในวันข้างหน้า จะเป็นยังไงนั่นแหละ เราถึงรู้สึกแย่ยังไงล่ะ”
“เป็นทหารกลัวตายด้วยหรือ”
ประโยคที่เหมือนเข็มทิ่มใจ...
“รบพูดแบบนี้ไม่ได้หรอกนะ... สำหรับเรา การที่เราเลือกมาอยู่ที่นี่นั่นก็แปลว่าเราไม่ได้กลัวความตายมากเท่ากับว่าเราทำอะไรที่เป็นประโยชน์กับผู้คนบ้าง และตอนนี้สิ่งที่เรารู้คือเราไม่ได้ทำอะไรให้เกิดคุณค่ากับใครเลยต่างหาก”
“บางทีหยาอาจจะอยากพักผ่อนและใช้เวลากับตัวเองบ้าง เราว่าหยากลับกรุงเทพฯ กับเราดีมั้ย พักผ่อนสักพักแล้วค่อยคิดว่าจะทำอย่างไรต่อไป”
พลรบเปลี่ยนเรื่องเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายกำลังเครียด
“ก็ดีเหมือนกันนะ... คุณทศกับมากิจะได้มีเวลากันตามลำพังบ้าง”
แม้จะเป็นเรื่องงานแต่อัลยาก็อดนึกถึงมากิกับทศพรรษไม่ได้
“คุณทศ... คือผู้ชายคนเมื่อกี้น่ะเหรอ”
“ใช่แล้วล่ะ เขาชอบมากิ ถ้าหากว่าไม่มีเราอยู่ที่นี่สักคนเขาอาจจะมีเวลาเรียนรู้กันมากขึ้น”
“อืมม์ ถ้าอย่างนั้น หยาไปเก็บของแล้วเข้าสำนักงานไปขออนุญาตหัวหน้าก่อน”
“งั้นเราไปบอกคุณทศก่อนนะ”
ระหว่างรออัลยาเก็บของ พลรบอยากจะคุยกับมากิอีกสักครั้ง แต่ประโยคที่อัลยาบอกว่า คุณทศชอบมากิอยู่ นั่นทำให้เขาไม่กล้าที่จะคุยกับเธออีก... เรื่องราวที่เกิดขึ้นในเวลาไม่กี่วันเธออาจจะลืมมันไปในไม่ช้า และเขาเองก็ต้องกลับไปใช้ชีวิตปกติของตัวเอง โอกาสที่จะเจอกันอีกคงไม่มีแล้ว และทุกอย่างที่เกิดขึ้นก็เป็นเพียงลมที่พัดผ่านใบไม้...เมื่อลมสงบทุกอย่างก็จบลง
“คุณทศคะ ฉันจะกลับกรุงเทพฯ สักสองสามวัน นะคะ”
“หือ? มีอะไรหรือเปล่า”
“ไม่มีหรอกค่ะ แค่... บางทีฉันควรจะกลับบ้านบ้าง เพราะตั้งแต่มาอยู่ที่นี่ยังไม่ได้กลับบ้านต่างจังหวัดเลย กลัวว่าพ่อจะเป็นห่วง”
นั่นไม่ใช่ข้ออ้าง แต่อัลยาตั้งใจว่าจะกลับบ้านจริงๆ
“พอดีเลย ผมต้องเข้าไปประชุมด้วย ไหนจะต้องไปซื้อยา แล้วก็ยังมีอะไรต้องทำที่กรุงเทพฯ อีกหลายอย่าง ไปพร้อมกันเลยดีมั้ย”
ทศพรรษไม่รู้เหมือนกันว่าหลุดปากออกไปแบบนั้นได้ยังไง สงสัยวิญญาณก้างจะอยากขวางคอคู่รักก็เป็นได้
“แล้วมากิล่ะคะ เธอจะอยู่ยังไงคนเดียว”
“เราเข้าป่าตั้งสามวันมากิก็อยู่ได้นี่”
“คุณไม่เป็นห่วงเธอเลยเหรอคะ”
“เออ นั่นสิ งั้นชวนไปด้วยกันเลยดีกว่า ถือว่าไปเที่ยว แล้วค่อยกลับมา เนอะ”
แต่ก็ดูเหมือนว่าทั้งคู่จะไม่ต้องเสียเวลาชวนมากิให้ยุ่งยาก เพราะเธอเก็บกระเป๋าเตรียมพร้อมสำหรับเดินทางเรียบร้อยแล้ว
“มากิมาคิดดูแล้ว...มากิรบกวนทุกคนมานาน คงต้องถึงเวลากลับแล้วล่ะค่ะ เห็นว่าพี่สิทธิ์จะเข้าเมืองไปส่งคุณรบ มากิจะได้ขอติดรถไปด้วยเลย”
“เอางั้นเลยเหรอ... ถ้างั้นไปรถผมดีกว่า จะได้ไม่ต้องให้พี่สิทธิ์ไปส่ง เพราะผมยิงตรงถึงกรุงเทพฯ เลย”
และนั่นเองที่ทำให้ทั้งสี่คนต้องมานั่งรถคันเดียวกันอย่างอึดอัด.... ไม่ได้อึดอัดเพราะคับแคบแต่อึดอัดเพราะแต่ละคนก็มี “สิ่งที่อยู่ในใจ” ซึ่งไม่สามารถเอ่ยปากได้ในขณะนั้น
“รบคะ นี่คุณทศ ทำงานด้วยกัน ออกป่าด้วยกัน”
อัลยาแนะนำแบบนั้น... ไม่มีคำว่าสัตวแพทย์หลุดออกมา ซึ่งคนที่แอบถอนหายใจอย่างโล่งอกคือมากิ
“พลรบครับ”
ส่วนพลรบเองก็ไม่แนะนำสถานะของตัวเองเช่นกัน... โฟร์วิลสี่ประตูของทศพรรษมีพลรบนั่งข้างๆ และหญิงสาวสองคนก็นั่งด้านหลัง ต่างคนต่างเงียบ...นั่นเพราะแต่ละคนก็มีเรื่องราวให้ครุ่นคิด จึงทำให้ความเงียบเข้าครอบคลุมพื้นที่ของรถอย่างเบิกบาน
พลรบแทบจะไม่ได้คุยอะไรกับมากิ เช่นเดียวกับที่หมอทศเองก็ได้แต่แอบมองอัลยาอย่างเงียบๆ และเพราะอัลยาเข้าใจว่าพลรบกับมากิรู้จักกันแล้วจึงไม่ต้องแนะนำตัวกันอีก ทำให้ยังไม่มีใครรู้ว่าขณะอยู่ที่ป่าอินทนิล มากิได้สวมรอยเป็นหมอทศ แต่นั่นก็ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจเลยสักนิด แม้ทุกคนต่างก็มีความรู้สึกอึดอัดใจก็ดูจะไม่มีใครมากเท่ามากิ...
“พี่ๆ คะ คือว่าเดี๋ยวมากิขอลงที่ตัวจังหวัดดีกว่านะคะเดี๋ยวเดินทางต่อเอง เดี๋ยวขอแวะทำธุระสักวันสองวันก่อนน่ะค่ะ”
แล้วมากิก็ทนความอึดอัดไม่ไหว เธอคงเดินทางต่อไปถึงกรุงเทพฯ กับพวกเขาไม่ได้แน่ แต่ถ้าจะให้บอกความจริงออกไปตอนนี้ก็ไม่ใช่เรื่องง่ายดายเลยเหมือนกัน
“เอ้า เอางั้นเลยเหรอ อีกไม่กี่ชั่วโมงก็ถึงกรุงเทพฯแล้วนะ”
“ไม่เป็นไรค่ะ”
มากิลงที่รีสอร์ทไม่ไกลจากตัวจังหวัดมากนัก พลรบช่วยถือกระเป๋าเข้าไปให้ ขณะที่มีจังหวะอยู่ตามลำพังสองคนมากิก็ถือโอกาสพูดบางอย่าง
“คุณรบคะ มากิมีเรื่องอยากจะบอก... คือหลังจากนี้ไปเราอาจจะไม่ได้เจอกันอีกเลย ถ้ามากิทำอะไรผิดไป หรือทำให้คุณรบต้องรู้สึกไม่ดี มากิต้องขอโทษด้วยนะคะ”
“ไม่เห็นมีอะไรนี่ครับ”
“ทุกๆ อย่างที่ผ่านมา... ขอโทษด้วยค่ะ”
มากิบอกลาทุกคน ทั้งอัลยาและทศพรรษ ต่างก็แปลกใจในความผิดปกติของมากิที่ดูแปลกไปจากเดิมมาก มากิดูมีบางอย่างปิดบังและไม่ร่าเริงเหมือนก่อน อัลยาเองก็ไม่กล้าถามเรื่องส่วนตัวของเธอมากนัก
“แล้วอย่าลืมกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้างนะ มากิ”
“ขอบคุณค่ะพี่ทศ”
พลรบไม่มีเบอร์ของมากิ แต่เขารู้ว่าการรอคอยในชีวิตเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างหนึ่งแล้ว นั่นก็คือ รอให้มากิโทฯ ไปหาบ้าง
หลังจากที่ทุกคนจากไป มากินั่งถอนใจเงียบๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้นกับตัวเอง แน่นอนว่าพลรบต้องรู้แล้วว่าเธอไม่ใช่สัตวแพทย์แห่งป่าอินทนิล เขาคงจะโกรธเธอไปตลอดชีวิต นั่นเป็นความทุกข์ใจที่เกิดกับมากิ... ถ้าเธอไม่นึกสนุกอยากเก็บข้อมูลเขียนนิยายล่ะก็ เรื่องมันคงไม่เป็นแบบนี้
“เออ เมื่อกี้คุณทศบอกว่า อย่าลืมกลับมาเยี่ยมพวกเราบ้าง หมายความว่ามากิจะไม่กลับมาที่อินทนิลอีกแล้วเหรอครับ”
“อ๋อครับ... ก็มากิน่ะ เค้ามาอยู่ที่อินทนิลเพื่อ....”
ยังไม่ทันที่หมอจะพูดจบประโยค เสียงโทรศัพท์มือถือของอัลยาก็ดังขึ้น
“งานเข้าแล้ว พ่อโทฯ มา เงียบแป๊บนะคะ ฮาโหล ค่ะพ่อ... มือถือเสียน่ะค่ะ เอาไปซ่อมเพิ่งใช้ได้ อ๋อ นั่งอยู่บนรถค่ะ กำลังจะกลับเข้ากรุงเทพฯ อะไรนะคะ พ่อจะมา มาทำไมคะ... โอเค ค่ะ เดี๋ยวหยาไปรับที่สนามบินนะคะ แค่นี้นะคะพ่อ หวัดดีค่ะ”
“มีอะไรหรือเปล่าหยา”
“พ่อน่ะสิ... จะเข้ากรุงเทพฯ บอกว่ามาธุระ ธุระอะไรก็ไม่รู้ เออ คุณทศคะ อีกสองชั่วโมงเราจะถึงกรุงเทพฯ มั้ยคะ”
“เดี๋ยวตีนผีจัดให้”
“โชคดีนะเนี่ยที่กำลังจะกลับพอดี นึกอยู่แล้วเชียว ว่ามันตะหงิดๆ ตั้งแต่แรก เหมือนกับมีอะไรดลใจให้กลับยังไงยังงั้นน่ะ แต่แปลก ทำไมพ่อต้องมากรุงเทพฯ ด้วยนะ”
“ให้เราไปเป็นเพื่อนมั้ย”
พลรบเสนอตัว
“ขอบใจมากรบ แต่ไม่เป็นไร รบไปทำงานเถอะ เดี๋ยวทางโน้นจะเป็นห่วง”
“มีอะไรก็โทฯ มาได้นะ”
หลังจากส่งพลรบที่สนามบินกองทัพฯ แล้วทศพรรษก็หันมาถามผู้โดยสารคนสุดท้าย
“ไม่ทราบจะให้กระผมไปส่งที่ไหนขอรับคุณนาย”
“บ้า ไม่ใช่คุณนายนะ เดี๋ยวส่งที่ดอนเมืองน่ะแหละ พ่อมาจากต่างจังหวัด ต้องไปรับพ่อก่อนค่ะ”
“อ้าวแล้วขากลับล่ะครับ”
“แท็กซี่ไงคะ ไม่เป็นไรหรอก คุณขับรถมาตั้งหลายชั่วโมง แค่นี้ก็เหนื่อยจะแย่แล้ว กลับบ้านพักผ่อนเถอะนะคะ ขอบคุณมากค่ะ”
“แล้วคุณจะกลับอินทนิลเมื่อไหร่”
“อีกสักสองสามวัน”
“กลับพร้อมกันนะ ผมจะรอ”
“ไม่เป็นไรค่ะ แล้วเจอกันนะคะ”
ทศพรรษถอนใจ เพราะจากที่นั่งรถด้วยกันมาเกินห้าชั่วโมง เขาพยายามสังเกตความสัมพันธ์ของอัลยากับพลรบ ว่าลึกซึ้งมากน้อยแค่ไหน ก็แปลกที่กลับรู้สึกว่าพลรบดูจะสนใจมากิมากกว่า ขนาดลงไปซื้อเครื่องดื่ม ขนมที่ร้านสะดวกซื้อ คนที่เขายื่นขนมให้เป็นคนแรกยังเป็นมากิ ทั้งๆ ที่น่าจะเป็นอัลยา คนที่เขาชะเง้อคอหา เวลาอีกคนหายไป ขณะนั่งทานข้าวก็ไม่ใช่อัลยา...
แล้วมันยังไงกันนะคู่นี้...
เขาขับรถกลับบ้านอย่างเซ็งๆ เซ็งเพราะรู้ว่ากลับไปแล้วจะต้องเจอกับอะไรบ้าง โดยเฉพาะพี่ชายคนเดียวที่ทำให้เขาสูญเสียความมั่นใจในชีวิตและเรื่องความรักมาแล้วเพราะคนรักของเขาแปรเปลี่ยนไปกลายเป็นคนรักของพี่ชายนั่นแหละ ถึงแม้ตอนนี้เขาจะไม่รับรู้เรื่องราวของพี่กับผู้หญิงคนนั้น แต่การกลับบ้านครั้งแรกในรอบสามปี ทศพรรษเองก็ไม่แน่ใจว่าความรู้สึกของเขาจะเปลี่ยนไปอย่างไรบ้าง เจอหน้าเธอเขาจะยังยิ้มให้เธออยู่หรือเปล่าก็ไม่รู้
เหอะ ขนาดเปิดประตูบ้านเข้ามา หมายังเห่า... หน้าตาดีขนาดนี้ยังจำกันไม่ได้อีกนะ