ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๓
การรอคอยเป็นความเคยชินที่เกิดขึ้นในชีวิตของพลรบ รอคอยอาจฟังดูเศร้า หากรอแล้วเก้อ แต่บ่อยไป ที่ผิดหวังจากการรอคอยจนสุดท้ายก็ชาชิน เขาถูกฝึกมาให้ “รอคอยอย่างใจเย็นและอดทน” นั่นเพราะบางครั้งการเดินลาดตระเวน การรอซุ่มโจมตีฝ่ายตรงข้ามอาจต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง หากความอดทนไม่มากพอ อาจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวและสิ่งที่จะตามมาคือความสูญเสีย... วันพักของเขายังเหลืออีกเพียงสามวัน นั่นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางกลับ หมายถึงเขาต้องพร้อมเดินทางกลับในเช้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อที่จะกลับไปทำงานให้ทันในอีกสองวันข้างหน้า
บ่อยครั้งในวันนี้ที่เขา “ชะเง้อ” ก็เพียงเผื่อว่าจะได้พบกับอัลยาที่กลับจากป่ามาพอดี แต่เขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง พลรบไม่เคยท้อที่จะรอคอยอัลยา... ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาภาวนาว่า ขอเพียงได้พบเธอ แม้สักแค่ไม่กี่นาที ก็คุ้มค่ากับการรอคอยมาถึงสามวัน
คุณหมอสาวตัวปลอมก็ไม่ต่างจากพลรบเท่าไหร่นัก เธอไม่ได้รอคอยหมอทศ หรืออัลยา เธอเพียงแต่เฝ้าสังเกตวงหน้า ท่าทาง ของชายหนุ่ม... ถ้าอ่านใจคนได้...มากิก็อยากจะรู้ใจพลรบเป็นที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการเก็บรายละเอียดไปเขียนนิยายเท่านั้นหรอก แต่เพราะเขาทำให้หัวใจเธอเต้นไม่ปกติต่างหาก
“ต้องขอบคุณคุณหมอมากเลยนะครับสำหรับความเอื้อเฟื้อ แต่ผมคงต้องกลับพรุ่งนี้เช้าแล้วล่ะครับ หนังสือเล่มนี้ ผมรบกวนคุณหมอฝากให้หยาด้วยนะครับ”
“จะกลับแล้วเหรอคะ รออีกสักวันไม่ได้เหรอคะ บางทีพี่หยา...เอ่อ อาจจะกลับมา”
“ผมต้องกลับไปทำงานแล้วล่ะครับ นานเกินไปเดี๋ยวทางหน่วยจะเป็นห่วง”
“แต่...”
“ครับ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ” ทั้งที่ในใจอยากจะขอเบอร์ติดต่อ ขออีเมลล์ หรือถ้าได้พินบีบียิ่งดีเลิศ ก็ตลกดีที่คนอย่างมากิไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก... จะหาข้ออ้างว่า ฝากเบอร์ไว้ ถ้าอัลยากลับมาแล้วจะโทฯ ไปบอก ก็คงไม่ได้ เพราะถ้าเธอบอกอัลยาว่าพลรบมาหา...อัลยาก็คงโทฯ ไปหาเขาเองได้ ไม่ต้องพึ่งพามากิสักนิด... แต่อยากได้เบอร์เค้านี่นา...
“นี่เบอร์โทรศัพท์ผมนะครับ ถ้าคุณหมอจะไปเที่ยว หรือมีธุระทางโน้น อย่าลืมโทฯ หาผม แล้วผมจะดูแลคุณหมอเอง” เจอประโยคนี้เข้ามากิถึงกับหูอื้อ แมนโคตร... แล้วอย่างนี้จะไม่ให้หัวใจละลายได้อย่างไรเล่า
แต่ก็นั่นแหละนะ ที่ใครๆ ว่าไว้ว่าความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน น่าจะจริง... พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เขาจะกลับ ถึงแม้มากิอยากจะบอกความจริงสักแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจทำได้ พลรบควรจดจำเธอในภาพของสัตวแพทย์สาว แทนภาพของนักเขียนสาวมากกว่า
“แล้วเป็นนักเขียนไม่ดีตรงไหน”
“อะไรนะครับ”
“อุ๊ย ขอโทษนะคะ พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ”
“ครับ” หรือเธอจะบอกเขาดีนะ ว่าที่จริงแล้ว เธอเป็นแค่นักเขียนตัวเล็กๆ ที่อาจจะไม่มีโอกาสโด่งดังในวงการงานเขียนเลยก็เป็นได้ ถ้าบอกไปแล้วเขาโกรธขึ้นมา ยิงทิ้งกลางป่า จะทำยังไง... ถึงการโกหกจะเป็นบาปแต่เพื่อการอยู่รอด ยมบาลก็คงจะละเว้นบ้างแหละน่า...
“ยังไงก็เถอะนะครับ เป็นผู้หญิงอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหลือก็โทฯ ไปได้เสมอไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะ” มากิตอบได้แค่นั้น แต่ประโยคที่ติดอยู่ริมฝีปากคือ “ไม่มีอะไรให้ช่วยแต่อยากโทฯ หาเฉยๆ ได้มั้ยคะ” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจที่สุด เมื่อสิ่งที่อยากจะพูด แต่พูดไม่ได้... แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็เก็บไว้เขียนในนิยายได้ก็แล้วกัน
มีคำพูดมากมายที่มากิอยากจะเอ่ยออกไป แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่เก็บมันไว้ ความรู้สึกที่ไม่บ่อยนักที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต มากิไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นพลรบ ทั้งที่ในชีวิตของเธอมีผู้คนมากมายให้รู้จัก ให้รัก... แต่กลับมาเจอกับคนที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นได้ กลางป่าลึกแถมยังบอกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อีกต่างหาก ตอนนี้มากิเข้าใจแล้วล่ะว่าความรู้สึกแอบรัก ของตัวละครบางตัวในนิยายนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับอัลยา แม้ความกลัวจะมาก แต่ก็ไม่เท่าความรู้สึกบางอย่างในใจ... ถึงแม้หัวหน้าร่มฉัตรจะให้กำลังใจเรื่องการทำงาน แต่พอเจอสถานการณ์จริงที่เธอเองไม่สามารถจะแก้ไข หรือช่วยเหลืออะไรใครได้ สิ่งที่เรียนมา ไม่เคยสอนเลยว่าจะเอาตัวรอดในสถานการณ์การเป็นตัวประกันได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อคุยกันคนละภาษา อัลยาคิดและตัดสินใจอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง
“เอ๊ะ คุณหมอถ้าจำไม่ผิด คุณไม่ได้พูดภาษาไทยกับพวกเขานี่คะ”
“หือ... อื้อ เพิ่งจะนึกออกหรือ”
“คุณพูดภาษาพม่าได้นี่นา”
“นิดหน่อย พูดแล้วอย่าเอาไปบอกต่อนะ... ลูกจ้างที่นี่ก็มีบางส่วนเป็นชาวพม่า ผมก็เลยให้เค้าช่วยสอนภาษาง่ายๆให้น่ะ” ทศพรรษกระซิบใกล้ๆ
“แต่ที่คุณสนทนากับพวกเขา มันไม่ใช่ภาษาง่ายๆ นะ นั่นระดับแอดวานซ์ นี่ตกลงว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่มันเรื่องจริงแน่ๆ ใช่มั้ย”
“เอ๊า คุณนี่ จะขี้ระแวงมากไปแล้วนะ อยู่ๆ ใครจะเอาตัวเองไปให้ลูกซองจ่อหัวเล่นกันเล่า”
“แล้วไป นึกว่านี่เป็นการฝึก”
“อืมม์ มองว่าเป็นการฝึกก็ดีเหมือนกันนะ จะได้รู้สึกกลัวน้อยลง อ๊ะ นั่นใกล้จะถึงชายแดนละ อีกนิดเดียว ทางโน้นคงต้องรออยู่แน่ๆ เลย”
“หวังว่าก่อนข้ามเขตไป คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ”
“ก็ไม่แน่.. อ๊ะรอยเท้าช้าง แปลกมั้ยคุณ ช้างตัวเบ้อเริ่มแต่ทำไมรอยเท้าถึงได้เป็นหลุมลึกลงไปแค่นิดเดียว”
“แหม ก็มีตั้งสี่ขามันก็ต้องมีการถ่วงดุลน้ำหนักบ้าง ถ้าทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทั้งหมดในเท้าเดียว แน่นอนว่ารอยเท้าก็จะต้องเป็นหลุมใหญ่กว่านี้”
“เริ่มฉลาดแล้ว”
“ฉันฉลาดมาตั้งนานแล้วย่ะ” และไม่นานเกินไปนัก ทศพรรษ และอัลยาก็กลับเข้าฐานรายงานตัวอย่างปลอดภัย โดยที่ไม่มีใครถามถึงการ “หายไป” ของทั้งคู่เลยสักนิด จนทศพรรษต้องอธิบายให้เธอฟัง
“เรื่องแบบนี้น่ะ เกิดขึ้นประจำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ติดต่อเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนไม่ได้เพราะวิทยุสื่อสารขัดข้อง แบตหมด ตกน้ำ หรืออะไรต่างๆ ส่วนกรณีที่โดนจับตัว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะคนที่ใช้ผืนป่าแห่งนี้ทำมาหากิน มีทั้งชนกลุ่มน้อย พรานป่า พวกค้ายา ค้าสัตว์ป่า และระยะหลังเริ่มมีนายทุนบุกรุก ซึ่งแต่ละกลุ่มก็อันตรายต่อเจ้าหน้าที่ทั้งนั้น มีเคยถูกจับและหายสาปสูญไป บางครั้งเจออีกทีก็เสียชีวิตแล้วก็บ่อยไป”
“ฉันน่ะ... ช่วยอะไรใครไม่ได้เลยจริงๆ”
“ใครเขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอ”
“ก็มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่นา”
“คิดมากเกินไปแล้วนะ” หลังจากรายงานตัว รายงานการปฏิบัติงาน สิ่งที่ได้พบ การแก้ปัญหาและกระทั่งการถูกปล่อยตัวออกมา ทั้งหมดให้หัวหน้าชุดฟังแล้วก็หมดหน้าที่ของทศพรรษ แต่อัลยายังต้องกลับไปรายงานหัวหน้าร่มฉัตรเรื่องนี้อีกครั้ง และนั่นดูจะเป็นเรื่องหนักใจสำหรับอัลยา..
“คืนนี้คงต้องนอนที่ฐานก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทาง คุณโอเคนะ”
“ค่ะ ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะคะ”
“เรื่อง?”
“ทุกเรื่องนั่นแหละค่ะ.. ขอบคุณจริงๆ”
“ถ้างั้น... พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมปลุกผมด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ เจ้านาย”
และในค่ำคืนที่พระจันทร์กลมโตเหมือนลูกบอลสีส้ม หลังจากที่ผ่านเรื่องราวที่น่ากลัวเรื่องหนึ่งในชีวิตผ่านไปแล้ว สิ่งที่อัลยาพยายามทบทวนกับตัวเอง นั่นก็คือ เธอล้มเหลวในการปฏิบัติงานใช่หรือไม่... เธอควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นตัวประกัน ถูกชาวบ้านจับตัวเพื่อให้หมอทศรักษาคนป่วย แทนที่จะเป็นคนคุ้มครองเขา ตัวเองกลับกลายมาเป็นภาระให้เขาอีกต่างหาก แล้วอย่างนี้ จะมีหน้าไหนไปพบกับหัวหน้าหน่วยสามเจ็ดสองกันล่ะนี่..
หญิงสาวไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ แม้จะอยู่ในฐานที่มั่นปลอดภัย เวรยามแน่นหนา แต่เรื่องราวของสองวันที่ผ่านมาก็ทำให้เธอถอดใจจากการทำงานที่นี่... อัลยาพยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ เธอไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานผจญภัยตั้งแต่แรกนแต่ก็ยังดันทุรังมาทั้งๆ ที่ความสามารถไม่มี...
ถึงแม้พระจันทร์จะกลมและส้มได้ขนาดไหน ก็ยังมีคนที่นอนไม่หลับอีกมากมายในโลก นั่นรวมถึงมากิ นักเขียนสาวที่สวมรอยเป็นสัตวแพทย์แห่งป่าอินทนิล เพียงเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มที่เธอทำให้เธอหัวใจเต้นแรง... พรุ่งนี้ นั่นก็แปลว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นที่พลรับจะต้องกลับไปทำงาน เธออยากบอกเขาเหมือนกันว่าเธอเป็นแค่นักเขียนธรรมดา ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์อย่างที่ทำให้พลรบเข้าใจผิด แต่ถ้าเธอบอกเขา มากิแน่ใจว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบกับพลรบอีกแน่ๆ
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๑๓)
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๓
การรอคอยเป็นความเคยชินที่เกิดขึ้นในชีวิตของพลรบ รอคอยอาจฟังดูเศร้า หากรอแล้วเก้อ แต่บ่อยไป ที่ผิดหวังจากการรอคอยจนสุดท้ายก็ชาชิน เขาถูกฝึกมาให้ “รอคอยอย่างใจเย็นและอดทน” นั่นเพราะบางครั้งการเดินลาดตระเวน การรอซุ่มโจมตีฝ่ายตรงข้ามอาจต้องใช้เวลานานหลายชั่วโมง หากความอดทนไม่มากพอ อาจจะทำให้ฝ่ายตรงข้ามรู้ตัวและสิ่งที่จะตามมาคือความสูญเสีย... วันพักของเขายังเหลืออีกเพียงสามวัน นั่นอาจจะไม่เพียงพอสำหรับการเดินทางกลับ หมายถึงเขาต้องพร้อมเดินทางกลับในเช้าของวันรุ่งขึ้น เพื่อที่จะกลับไปทำงานให้ทันในอีกสองวันข้างหน้า
บ่อยครั้งในวันนี้ที่เขา “ชะเง้อ” ก็เพียงเผื่อว่าจะได้พบกับอัลยาที่กลับจากป่ามาพอดี แต่เขาก็ต้องพบกับความผิดหวัง พลรบไม่เคยท้อที่จะรอคอยอัลยา... ครั้งนี้ก็เช่นกัน เขาภาวนาว่า ขอเพียงได้พบเธอ แม้สักแค่ไม่กี่นาที ก็คุ้มค่ากับการรอคอยมาถึงสามวัน
คุณหมอสาวตัวปลอมก็ไม่ต่างจากพลรบเท่าไหร่นัก เธอไม่ได้รอคอยหมอทศ หรืออัลยา เธอเพียงแต่เฝ้าสังเกตวงหน้า ท่าทาง ของชายหนุ่ม... ถ้าอ่านใจคนได้...มากิก็อยากจะรู้ใจพลรบเป็นที่สุดในตอนนี้ ไม่ใช่เพียงแค่ต้องการเก็บรายละเอียดไปเขียนนิยายเท่านั้นหรอก แต่เพราะเขาทำให้หัวใจเธอเต้นไม่ปกติต่างหาก
“ต้องขอบคุณคุณหมอมากเลยนะครับสำหรับความเอื้อเฟื้อ แต่ผมคงต้องกลับพรุ่งนี้เช้าแล้วล่ะครับ หนังสือเล่มนี้ ผมรบกวนคุณหมอฝากให้หยาด้วยนะครับ”
“จะกลับแล้วเหรอคะ รออีกสักวันไม่ได้เหรอคะ บางทีพี่หยา...เอ่อ อาจจะกลับมา”
“ผมต้องกลับไปทำงานแล้วล่ะครับ นานเกินไปเดี๋ยวทางหน่วยจะเป็นห่วง”
“แต่...”
“ครับ”
“เอ่อ ไม่มีอะไรค่ะ” ทั้งที่ในใจอยากจะขอเบอร์ติดต่อ ขออีเมลล์ หรือถ้าได้พินบีบียิ่งดีเลิศ ก็ตลกดีที่คนอย่างมากิไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยปาก... จะหาข้ออ้างว่า ฝากเบอร์ไว้ ถ้าอัลยากลับมาแล้วจะโทฯ ไปบอก ก็คงไม่ได้ เพราะถ้าเธอบอกอัลยาว่าพลรบมาหา...อัลยาก็คงโทฯ ไปหาเขาเองได้ ไม่ต้องพึ่งพามากิสักนิด... แต่อยากได้เบอร์เค้านี่นา...
“นี่เบอร์โทรศัพท์ผมนะครับ ถ้าคุณหมอจะไปเที่ยว หรือมีธุระทางโน้น อย่าลืมโทฯ หาผม แล้วผมจะดูแลคุณหมอเอง” เจอประโยคนี้เข้ามากิถึงกับหูอื้อ แมนโคตร... แล้วอย่างนี้จะไม่ให้หัวใจละลายได้อย่างไรเล่า
แต่ก็นั่นแหละนะ ที่ใครๆ ว่าไว้ว่าความสุขมักจะอยู่กับเราไม่นาน น่าจะจริง... พรุ่งนี้แล้วสินะ ที่เขาจะกลับ ถึงแม้มากิอยากจะบอกความจริงสักแค่ไหนก็ตาม แต่เธอก็ไม่อาจทำได้ พลรบควรจดจำเธอในภาพของสัตวแพทย์สาว แทนภาพของนักเขียนสาวมากกว่า
“แล้วเป็นนักเขียนไม่ดีตรงไหน”
“อะไรนะครับ”
“อุ๊ย ขอโทษนะคะ พอดีคิดอะไรเรื่อยเปื่อยน่ะค่ะ”
“ครับ” หรือเธอจะบอกเขาดีนะ ว่าที่จริงแล้ว เธอเป็นแค่นักเขียนตัวเล็กๆ ที่อาจจะไม่มีโอกาสโด่งดังในวงการงานเขียนเลยก็เป็นได้ ถ้าบอกไปแล้วเขาโกรธขึ้นมา ยิงทิ้งกลางป่า จะทำยังไง... ถึงการโกหกจะเป็นบาปแต่เพื่อการอยู่รอด ยมบาลก็คงจะละเว้นบ้างแหละน่า...
“ยังไงก็เถอะนะครับ เป็นผู้หญิงอยู่กลางป่ากลางเขาแบบนี้ เป็นเรื่องที่น่าเป็นห่วงมาก ดูแลตัวเองดีๆ นะครับ มีอะไรให้ผมช่วยเหลือก็โทฯ ไปได้เสมอไม่ต้องเกรงใจ”
“ค่ะ” มากิตอบได้แค่นั้น แต่ประโยคที่ติดอยู่ริมฝีปากคือ “ไม่มีอะไรให้ช่วยแต่อยากโทฯ หาเฉยๆ ได้มั้ยคะ” เป็นเรื่องที่น่าหงุดหงิดใจที่สุด เมื่อสิ่งที่อยากจะพูด แต่พูดไม่ได้... แต่เอาเถอะ อย่างน้อยก็เก็บไว้เขียนในนิยายได้ก็แล้วกัน
มีคำพูดมากมายที่มากิอยากจะเอ่ยออกไป แต่เธอก็ทำได้เพียงแค่เก็บมันไว้ ความรู้สึกที่ไม่บ่อยนักที่จะเกิดขึ้นกับชีวิต มากิไม่รู้ว่าทำไมต้องเป็นพลรบ ทั้งที่ในชีวิตของเธอมีผู้คนมากมายให้รู้จัก ให้รัก... แต่กลับมาเจอกับคนที่ทำให้รู้สึกอย่างนั้นได้ กลางป่าลึกแถมยังบอกความรู้สึกของตัวเองไม่ได้อีกต่างหาก ตอนนี้มากิเข้าใจแล้วล่ะว่าความรู้สึกแอบรัก ของตัวละครบางตัวในนิยายนั้นเป็นอย่างไร
สำหรับอัลยา แม้ความกลัวจะมาก แต่ก็ไม่เท่าความรู้สึกบางอย่างในใจ... ถึงแม้หัวหน้าร่มฉัตรจะให้กำลังใจเรื่องการทำงาน แต่พอเจอสถานการณ์จริงที่เธอเองไม่สามารถจะแก้ไข หรือช่วยเหลืออะไรใครได้ สิ่งที่เรียนมา ไม่เคยสอนเลยว่าจะเอาตัวรอดในสถานการณ์การเป็นตัวประกันได้อย่างไร โดยเฉพาะเมื่อคุยกันคนละภาษา อัลยาคิดและตัดสินใจอะไรบางอย่างให้กับตัวเอง
“เอ๊ะ คุณหมอถ้าจำไม่ผิด คุณไม่ได้พูดภาษาไทยกับพวกเขานี่คะ”
“หือ... อื้อ เพิ่งจะนึกออกหรือ”
“คุณพูดภาษาพม่าได้นี่นา”
“นิดหน่อย พูดแล้วอย่าเอาไปบอกต่อนะ... ลูกจ้างที่นี่ก็มีบางส่วนเป็นชาวพม่า ผมก็เลยให้เค้าช่วยสอนภาษาง่ายๆให้น่ะ” ทศพรรษกระซิบใกล้ๆ
“แต่ที่คุณสนทนากับพวกเขา มันไม่ใช่ภาษาง่ายๆ นะ นั่นระดับแอดวานซ์ นี่ตกลงว่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นทั้งหมดนี่มันเรื่องจริงแน่ๆ ใช่มั้ย”
“เอ๊า คุณนี่ จะขี้ระแวงมากไปแล้วนะ อยู่ๆ ใครจะเอาตัวเองไปให้ลูกซองจ่อหัวเล่นกันเล่า”
“แล้วไป นึกว่านี่เป็นการฝึก”
“อืมม์ มองว่าเป็นการฝึกก็ดีเหมือนกันนะ จะได้รู้สึกกลัวน้อยลง อ๊ะ นั่นใกล้จะถึงชายแดนละ อีกนิดเดียว ทางโน้นคงต้องรออยู่แน่ๆ เลย”
“หวังว่าก่อนข้ามเขตไป คงไม่มีอะไรเกิดขึ้นอีกนะ”
“ก็ไม่แน่.. อ๊ะรอยเท้าช้าง แปลกมั้ยคุณ ช้างตัวเบ้อเริ่มแต่ทำไมรอยเท้าถึงได้เป็นหลุมลึกลงไปแค่นิดเดียว”
“แหม ก็มีตั้งสี่ขามันก็ต้องมีการถ่วงดุลน้ำหนักบ้าง ถ้าทิ้งน้ำหนักตัวลงมาทั้งหมดในเท้าเดียว แน่นอนว่ารอยเท้าก็จะต้องเป็นหลุมใหญ่กว่านี้”
“เริ่มฉลาดแล้ว”
“ฉันฉลาดมาตั้งนานแล้วย่ะ” และไม่นานเกินไปนัก ทศพรรษ และอัลยาก็กลับเข้าฐานรายงานตัวอย่างปลอดภัย โดยที่ไม่มีใครถามถึงการ “หายไป” ของทั้งคู่เลยสักนิด จนทศพรรษต้องอธิบายให้เธอฟัง
“เรื่องแบบนี้น่ะ เกิดขึ้นประจำ นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ติดต่อเจ้าหน้าที่ลาดตระเวนไม่ได้เพราะวิทยุสื่อสารขัดข้อง แบตหมด ตกน้ำ หรืออะไรต่างๆ ส่วนกรณีที่โดนจับตัว นี่ก็ไม่ใช่ครั้งแรก เพราะคนที่ใช้ผืนป่าแห่งนี้ทำมาหากิน มีทั้งชนกลุ่มน้อย พรานป่า พวกค้ายา ค้าสัตว์ป่า และระยะหลังเริ่มมีนายทุนบุกรุก ซึ่งแต่ละกลุ่มก็อันตรายต่อเจ้าหน้าที่ทั้งนั้น มีเคยถูกจับและหายสาปสูญไป บางครั้งเจออีกทีก็เสียชีวิตแล้วก็บ่อยไป”
“ฉันน่ะ... ช่วยอะไรใครไม่ได้เลยจริงๆ”
“ใครเขาบอกคุณอย่างนั้นเหรอ”
“ก็มันเป็นแบบนั้นจริงๆ นี่นา”
“คิดมากเกินไปแล้วนะ” หลังจากรายงานตัว รายงานการปฏิบัติงาน สิ่งที่ได้พบ การแก้ปัญหาและกระทั่งการถูกปล่อยตัวออกมา ทั้งหมดให้หัวหน้าชุดฟังแล้วก็หมดหน้าที่ของทศพรรษ แต่อัลยายังต้องกลับไปรายงานหัวหน้าร่มฉัตรเรื่องนี้อีกครั้ง และนั่นดูจะเป็นเรื่องหนักใจสำหรับอัลยา..
“คืนนี้คงต้องนอนที่ฐานก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยออกเดินทาง คุณโอเคนะ”
“ค่ะ ฉันไม่เป็นไร ขอบคุณมากนะคะ”
“เรื่อง?”
“ทุกเรื่องนั่นแหละค่ะ.. ขอบคุณจริงๆ”
“ถ้างั้น... พรุ่งนี้เช้าอย่าลืมปลุกผมด้วยนะ”
“เจ้าค่ะ เจ้านาย”
และในค่ำคืนที่พระจันทร์กลมโตเหมือนลูกบอลสีส้ม หลังจากที่ผ่านเรื่องราวที่น่ากลัวเรื่องหนึ่งในชีวิตผ่านไปแล้ว สิ่งที่อัลยาพยายามทบทวนกับตัวเอง นั่นก็คือ เธอล้มเหลวในการปฏิบัติงานใช่หรือไม่... เธอควรจะทำอะไรได้มากกว่านี้ ไม่ใช่ปล่อยให้ตัวเองกลายเป็นตัวประกัน ถูกชาวบ้านจับตัวเพื่อให้หมอทศรักษาคนป่วย แทนที่จะเป็นคนคุ้มครองเขา ตัวเองกลับกลายมาเป็นภาระให้เขาอีกต่างหาก แล้วอย่างนี้ จะมีหน้าไหนไปพบกับหัวหน้าหน่วยสามเจ็ดสองกันล่ะนี่..
หญิงสาวไม่สามารถข่มตาให้หลับลงได้ แม้จะอยู่ในฐานที่มั่นปลอดภัย เวรยามแน่นหนา แต่เรื่องราวของสองวันที่ผ่านมาก็ทำให้เธอถอดใจจากการทำงานที่นี่... อัลยาพยายามทบทวนเรื่องราวต่างๆ เธอไม่ได้ถูกออกแบบมาให้ทำงานผจญภัยตั้งแต่แรกนแต่ก็ยังดันทุรังมาทั้งๆ ที่ความสามารถไม่มี...
ถึงแม้พระจันทร์จะกลมและส้มได้ขนาดไหน ก็ยังมีคนที่นอนไม่หลับอีกมากมายในโลก นั่นรวมถึงมากิ นักเขียนสาวที่สวมรอยเป็นสัตวแพทย์แห่งป่าอินทนิล เพียงเพื่อที่จะได้ใกล้ชิดกับชายหนุ่มที่เธอทำให้เธอหัวใจเต้นแรง... พรุ่งนี้ นั่นก็แปลว่าอีกไม่กี่ชั่วโมงเท่านั้นที่พลรับจะต้องกลับไปทำงาน เธออยากบอกเขาเหมือนกันว่าเธอเป็นแค่นักเขียนธรรมดา ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์อย่างที่ทำให้พลรบเข้าใจผิด แต่ถ้าเธอบอกเขา มากิแน่ใจว่าชาตินี้คงไม่มีโอกาสได้พบกับพลรบอีกแน่ๆ