เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๑๕)

กระทู้สนทนา
ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้

ตอนที่ ๑๕
เรื่องความรักไม่ใช่สาระสำคัญของชีวิตอัลยามากไปกว่าเรื่องงาน แต่สำหรับเวลานี้เธอต้องมาจัดการกับเรื่องที่นอกเหนือจากเรื่องงานซึ่งดูท่าจะจัดการได้ยากกว่าเรื่องงานเสียด้วย... รู้อย่างนี้ไม่กลับมาก็ดี

“ว่าไง...ไหนแฟน”  บิดายังคาดคั้น ขณะนั่งรถว่าที่ลูกเขยในร้านอาหารภายในสนามบิน

“รอเดี๋ยวก่อนสิคะ ใจร้อนเป็นวัยรุ่นไปได้ ออนดาเว โอเค๊ ปาป้า”

“ถ้าหยามีแฟนแล้ว พ่อยังจะให้แต่งกับคุณพีทอยู่อีกมั้ย”

“ถ้ามีก็คงไม่ ฉันไม่ข่มเขาโคขืนฝืนใจให้กินหญ้าหรอกน่า”  ไม่พูดเปล่าแต่ใช้สายตาประหนึ่งว่า... ฉันเป็นพ่อสมัยใหม่พอ

“ค่อยสมเป็นพ่อหน่อย”

“แต่ก็ไม่แน่ ถ้าแฟนแกไม่เอาไหน ไม่เหมาะสมที่จะเป็นลูกเขยฉัน แกก็ต้องแต่งกับตาพีทเหมือนเดิม”  ก็ยังมีข้อแม้พอให้เป็นกระษัย

“พ่อนี่ ขี้บีบบังคับอ่ะ”

“แล้วใครมันชอบแหกกฎนัก พูดดีๆ ไม่รู้เรื่อง ไอ้ลูกคนนี้ ไม่รู้หรือไงว่าพ่อแม่เป็นห่วงแค่ไหน”

“ก็รู้.... แต่โตแล้ว ไม่ต้องทำเหมือนเป็นเด็กก็ได้ อ่ะนั่นมาพอดีเลย”  ชายหนุ่มร่างสูงที่เดินตรงเข้ามาหาอย่างงงๆ นั้นช่วยชีวิตอัลยาไม่ให้โดนพ่อด่า... เทวดาส่งมาชัดๆ

ชายหนุ่มยกมือไหว้บิดาของอัลยา ว่าที่พ่อตามองตั้งแต่หัวจรดเท้า นึกไม่ออกว่าหน้าเหมือนใครสักคนแต่ก็ช่างเหอะ ตอนนี้ชายหนุ่มคนนี้มีสถานะศัตรู ต้องรู้ให้ได้ว่ามาไม้ไหนกับลูกสาว

“คุณทศค่ะพ่อ ทำงานด้วยกัน คุณทศเป็นสัตวแพทย์สัตว์ป่าที่หยาไปอยู่ด้วยไงคะ”

“อยู่ด้วยกัน”

“เอ่อ อยู่บ้านติดกันครับ”

“อยู่บ้านติดกันด้วย งั้นนายก็เข้าหาลูกสาวฉันแล้วน่ะสิ”

“อู้ย... คุณพ่อคิดว่าว่าลูกสาวคุณพ่อน่ะ เข้าหาได้ง่ายๆ งั้นหรือครับ”

“อ๊ะ ไอ้หมอนี่รู้จักต่อปากต่อคำซะด้วยนะเรา แล้วไปรู้จักมักจี่กันได้ยังไง”

“หยาเค้าไปทำงานกับผมครับ”

“ทหารกับหมอสัตว์ ทำงานด้วยกันได้เหรอ”

“ได้ครับ นอกจากทหารแล้วยังมีตำรวจชายแดน อาสาสมัคร และชาวบ้านในละแวกนั้น ช่วยกันในการปกป้องผืนป่าไม่ให้ใครมาใช้พื้นที่ป่าในทางมิชอบครับ”

“แล้วรู้จักกันนานแค่ไหนถึงได้เป็นแฟนกัน ไม่ใช่ว่ามองตากันแล้วจูงมือกันหายวับ เหมือนเด็กสมัยนี้บางคนนะ”

“บิดาคะ จะหมิ่นหยามลูกสาวตัวเองมากไปแล้วนะคะ ถ้าหยาจะใจง่ายก็ได้เชื้อจากพ่อนั่นแหละค่ะ”

“แน๊ะ ไอ้นี่มีออกรับแทนด้วย พ่อแค่เปรียบเทียบเท่านั้นโว้ย ไม่ได้หมายความว่าลูกจะทำอย่างนั้นเสียหน่อยนี่”

“แน่นอน เพราะหยาน่ะ ไม่จูงมือกันหายวับหรอกค่ะ แต่จูงมือกันไปอะไรต่อมิอะไรแทน”

“เห็นมั้ย... มันทิ้งลายพ่อมันเสียที่ไหน”
ชายหนุ่มที่กำลังนั่งฟังและศึกษารายละเอียดว่าที่พ่อตาไปเรื่อยๆ เขาพูดน้อย ผิดกับตอนอยู่ป่าจนอัลยาแอบหมั่นไส้... จะช่วยอะไรได้มั้ยเนี่ย

“ตกลงนายจะแต่งงานกับลูกสาวฉัน”

“เอ่อ...”

“ลังเล”  ว่าที่พ่อตารีบแย็บหมัดตามไม่ให้ฝ่ายตรงข้ามตั้งตัว

“แต่งสิพ่อ เป็นแฟนกันก็ต้องแต่งงานกันอยู่แล้ว”

“ใครถามแก”

“เอ๊า พ่อนี่..”

“ว่าไงไอ้หนุ่ม”

“อืมม์ ก็ขึ้นอยู่กับเค้าแหละครับว่าจะยอมแต่งกับผมมั้ย”

“ชัดมั้ยพ่อ ทีนี้เลิกมัดมือชก คลุมถุงชน ได้แล้ว”

“พรุ่งนี้ไปบ้านโน้นด้วยกัน โอเค๊”

“ผมด้วยเหรอ”

“ก็นายเป็นหลักฐาน ถ้าไม่ไปแล้วเค้าจะรู้ได้ยังไงว่าลูกสาวฉันมีคนรักแล้วจริงๆ เกิดเขาเข้าใจผิดคิดว่าเรารังเกียจเขาไม่ยอมแต่งกับลูกเขาจะทำยังไง”

“พ่อคะ เข้าใจอะไรผิดหรือเปล่า นี่ลูกสาวนะ ไม่ใช่ลูกชายจะได้ต้องไปคอยเคลียร์ขนาดนั้น”

“ได้ครับ พรุ่งนี้ผมจะไปด้วย”

“มันต้องอย่างนั้น ไอ้ลูกเขย”

“เอาเข้าไป...”

“งั้นเดี๋ยวผมไปส่งนะครับ”
ว่าที่ลูกเขยพูดน้อย เรียบร้อย สุภาพ คนอัลยาแอบหมั่นไส้ แหม...ทีตอนอยู่ป่านี่ปากนี่คมกริบบาดคอถึงเลือดสาด

ถ้าหากโลกนี้มีความจริงกับความเท็จ... จริงๆ แล้วอะไรคือความจริง แล้วอะไรคือความเท็จ ความเท็จคือจริง ความจริงคือเท็จ... อย่างนั้นหรือ ต่างคนก็กำลังหลอกกันไปมา ท้ายสุดแล้วสิ่งที่จะตามมาคืออะไรกัน... มากิปิดหน้าจอลง เธออาศัยรีสอร์ทแห่งนี้เป็นสถานที่ “ตั้งหลัก” อีกสักวันสองวันนั่นแหละ เธอถึงจะกลับบ้าน หรือไม่ก็อาจจะพาตัวเองไปอยู่ที่ไหนสักแห่งไกลผู้คน ตั้งใจเขียนนิยายให้จบเรื่องโดยไม่ให้อะไรมาเป็นอุปสรรค พักเรื่องที่ไม่เป็นเรื่อง โดยเฉพาะเรื่องของหัวใจ มากินั่งมองโทรศัพท์... อยากกดเบอร์ไปหาพลรบสักครั้ง เธอแค่อยากได้ยินเสียงของเขา แต่ก็นั่นแหละนะ ถ้าหากเขารู้แล้วว่าเธอเป็นใคร เขาอาจจะไม่อยากคุยกับเธออีก แค่ได้ยินเสียงก็คงกดตัดสายทิ้ง ระหว่างเธอกับเขาก็คงเป็นได้แค่...สายลมที่พัดผ่านใจ ผ่านไปไม่นานก็คงลืม ที่สำคัญมากิลืมเครื่องบันทึกเสียงขนาดจิ๋วคุณภาพดีระดับโลกไว้ในกระเป๋ายาหมอทศ... เหอะ ตอนนี้มากิคงโดนคว่ำบาตรจากพี่ๆ ไม่ให้กลับไปที่อินทนิลอีกแน่ๆ

ข้างฝ่ายพลรบ แม้เขาจะให้เบอร์มากิไป แต่เขากลับลืมที่จะขอเบอร์เธอมา อันที่จริงเขาไม่กล้าที่จะทำอย่างนั้นมากกว่า มันคงเป็นการเสียมารยาทที่จะขอเบอร์โทฯ ใคร แต่อย่างน้อยเขาก็รู้ว่าเธออยู่ที่อินทนิล จะเป็นไรไปหากจะไปเยี่ยมอัลยาอีกบ่อยๆ

และดูเหมือนความคิดของทั้งสองคนจะทำให้ทั้งคู่ไม่มีโอกาสได้พบกันอีก... เว้นแต่พรหมลิขิต
แต่พรหมลิขิตก็ช่างแกล้ง เพราะยิ่งทำให้ห่าง ก็ยิ่งทำให้คิดถึง

มากิไม่รู้ว่าควรทำยังไงดี... จะโทรฯ ไปขอโทษพลรบ แล้วเขาจะให้อภัยเธอหรือ? คงไม่มีทางหรอก ทหารน่ะ ชัดเจน เด็ดขาด ถ้าเขาบอกว่าไม่ ก็คงไม่ แต่ก็นั่นแหละ เธอยังไม่ได้ลองโทรฯ เลยนี่นา บางทีอาจจะไม่เป็นอย่างที่กลัวก็ได้ เอานะไหนๆ ก็ไหนๆ แล้ว ทำไมต้องยอมให้ความรู้สึกผิดเอาชนะความรู้สึกอื่นด้วยล่ะ อืมม์ แล้วความรู้สึกอื่น มันคืออะไรกันแน่นะ

“ฮัลโหล...”
มากิกดเบอร์มือถือต่อสายไปยังปลายทาง เกิดมาก็ไม่เคยรู้สึก “ตื่นเต้น” เท่านี้มาก่อน นี่แค่โทรศัพท์ยังมือสั่น ใจสั่น แล้วถ้าต้องสารภาพต่อหน้า มากิคงหัวใจวายเอาง่ายๆ

“ครับ...”
เสียงไม่คุ้น แต่บางทีอาจจะเป็นเพราะสัญญาณไม่สมบูรณ์ก็เป็นได้

“ขอเรียนสายคุณพลรบค่ะ”

“ไม่ทราบจากไหนครับ”
น้ำเสียงย้อนถามสุภาพ

“เอ่อ...”

“ตอนนี้ผู้กองไม่สะดวกรับสายครับ”

“งั้นไม่รบกวนแล้วนะคะ”

“จะให้บอกว่าใครโทรฯ มาครับ”

“ไม่เป็นไรค่ะ... โทรฯ ผิด”
แล้วก็ชิงวางสายไป ให้อีกคนงงเป็นไก่ชนถูกถีบ จะโทรฯ ผิดได้ยังไง ในเมื่อเรียกชื่อถูกต้องเป๊ะขนาดนั้น

“มีอะไรหรือจ่า”
เจ้าของเครื่องที่กำลังมือเลอะน้ำมันเครื่อง ขณะง่วนช่วยชาวบ้านซ่อมรถ เรียกมาจากหน้าฐาน

“เขาโทรฯ ผิดครับ... โทรฯ ผิดแต่ขอสายเจ้าของเครื่องได้ถูกต้อง พิลึก”
พลรบยังไม่มีเวลาสนใจเรื่องราวจากโทรศัพท์มากไปกว่าสนใจชาวบ้านที่มาขอความช่วยเหลือ ส่วนมากิ พอได้ยินว่าพลรบไม่สะดวกรับสาย ก็คิดไปไกล... เขาคงไม่อยากคุยกับเธอ เขาคงรู้แล้วว่าเธอโกหก นั่นสินะ ใครจะอยากคุยกับคนขี้โกหก มากิปิดมือถือหนีไปเสียอย่างนั้น ยังไงก็ขอตั้งหลักเงียบๆ ก่อนก็แล้วกัน

หลังจากรถสตาร์ทติดแล้วทุกคนยิ้มได้ จนสิ้นควันรถ ฝุ่นหายตลบนั่นแหละพลรบจึงได้ไปล้างไม้ล้างมือ และหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหมายเลข ก่อนเรียกกลับไปยังปลายทาง... แต่ไม่สามารถติดต่อได้ แว้บหนึ่งเขาคิดว่าคงเป็นมากิ แต่อาจจะไม่ใช่หรอก เธอจะโทฯ หาเขาทำไมกัน... อาจจะมีใครโทรฯ ผิดจริงๆ ก็ได้

บางทีนี่อาจจะเป็นอีก “เกม” ของเบื้องบนที่ชอบเล่นตลกกับผู้คนกระมัง....

“แล้วพรุ่งนี้ผมจะมารับตอนเช้านะครับ”
ผู้ที่ถูกเบื้องบนเล่นตลกอีกคน บอกลาพ่อลูกที่ถูกมัดมือชกให้เป็นลูกเขย กลับบ้านที่ไม่ค่อยจะอบอุ่นเท่าไหร่นัก เขาขึ้นบ้านและจมตัวเองอยู่ในห้อง ทั้งๆ ที่ไม่ค่อยได้กลับบ้าน การกลับบ้านน่าจะทำให้เขาสุขใจเหมือนดังคำพูดที่ว่า บ้านคือวิมานของเรา แต่สำหรับเขา อืมม์ ถ้าไม่มีพี่ชายสักคน บางทีเขาคงไม่รู้สึกว่าบ้านอึดอัดเท่านี้ก็ได้

มื้อเย็นแบบเสียมิได้ เพราะแม่บังคับให้ลงมานั่งร่วมโต๊ะกับคนอื่นๆ แต่ยังไม่ทันที่จะตักข้าวเข้าปากสักคำ พี่ชายก็เริ่มสงครามประสาทกับเขาอีก

“ไงวะ...ทำหน้าเป็นตูดลิง”

“หน้าผมก็เป็นอย่างนี้ พี่จะอะไรกับหน้าผมนักหนา”

“เฮ้ย ไอ้หมอนี่ ชักจะทำตัวเป็นคนป่ามากเกินไปแล้วนะ”

“แต่คนป่าอย่างผมก็ไม่เคยแย่งคนรักของใคร”

“บ๊ะ ไอ้นี่ ไม่ยอมจบเว้ย”

“หรือไม่จริง”
น้องชายย้อนทันควัน

“โอเค ไม่ยุ่งก็ได้”
พี่ชายตอบแบบนั้น ทศพรรษลุกจากเก้าอี้ ไม่สนใจว่ารู้สึกอย่างไร คนเป็นมารดาถอนหายใจอย่างระอากับความไม่รู้จักโตของลูกชายทั้งคู่

สัตวแพทย์หนุ่มแห่งป่าอินทนิลกลับมาอยู่กับตัวเองอีกครั้ง ครุ่นคิดถึงเรื่องราวต่างๆ ในชีวิตที่ผ่านมา เขาไม่ได้โกรธพี่ชายเรื่องปรายปรางค์ เขาเพียงแต่ไม่ชอบนิสัยของพี่ชายที่ไม่เคยจริงจังกับใคร ไม่เคยคบใครได้นาน และคนที่เลือกพี่ชาย โอกาสที่จะเสียใจมีสูง ถ้าคนรักของเขาเลือกคนอื่น เขาจะไม่เสียใจเท่านี้เลย ไม่รู้ว่าป่านนี้ปรายปรางค์จะเป็นยังไงบ้าง ทศพรรษกดเบอร์มือถือที่คุ้นเคยไปยังปลายทาง แต่เสียงที่ตอบมาจากอีกทางคือเลขหมายยังไม่เปิดใช้บริการ...
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่