ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๒
กระเป๋ายาของหมอทศถูกนำมาใช้งาน ขณะที่เครื่องบันทึกเสียงขนาดจิ๋วของนักเขียนสาว ยังทำหน้าที่ของมันอย่างสงบเสงี่ยมด้วยคุณภาพของแบตเตอรี่คุณภาพดีที่สุดในโลก สามารถให้พลังงานนานถึงสามวัน ขณะที่เจ้าของเครื่องบันทึกเสียงที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เปิดประตูหน้าบ้านออกมา เพราะเสียงจี๊ปวิลลี่เอ็มบีของจ่าสิทธิ์ ซึ่งตอนที่มากิเปิดประตูออกมานั้นรถของจ่าสิทธิ์ก็เหลือแต่ควันดำไว้ดูต่างหน้า กับชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำในชุดทหารยืนเก้งก้างอยู่หน้าบ้าน... มีใครบอกนะว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ มั่วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ ตอนนี้มากิใจเต้นแรงผิดปกติ
“สวัสดีครับ คุณหมอ”
ประโยคทักทายเริ่มต้นแบบนั้น น้ำเสียงที่อบอุ่นละมุนใจขนาดนั้น... มากิไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงและพบในป่า เจ้าป่าเจ้าเขาส่งมาชัดๆ เลย
“สวัสดีค่ะ”
“ผมเป็นเพื่อนของอัลยา ชื่อพลรบครับ”
ทหารนี่แปลก เจอหน้าเป็นรายงานตัว...
“เอ่อ... มากิค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มาไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า พยายามโทรศัพท์ติดต่อกับหยาแล้วแต่สัญญาณมือถือไม่มี ก็เลยถือวิสาสะมาโดยไม่ได้บอก ต้องรบกวนหมอด้วยนะครับ”
สรุปว่าพ่อทหารสุดหล่อคนนี้ เข้าใจว่ามากิคือสัตวแพทย์เจ้าของพื้นที่... แสดงว่าพี่หยาไม่ได้บอกสินะว่าสัตวแพทย์สัตว์ป่าที่นี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ก็นะ.... ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์ให้เกียรติเรียกว่าหมอแล้ว จะโมเมสวมรอยเป็นพี่ทศสักวันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ข้อมูลก็เพียบอยู่แล้วนี่นา...
“แล้วตอนนี้ไม่ทราบว่าอัลยาอยู่หรือเปล่าครับ”
“พี่หยา เอ้ย คุณอัลยาไปสำรวจพื้นที่ในป่าน่ะค่ะ”
โกหกนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรมั้ง...
“อ๋อ... ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตรอก็แล้วกัน”
มากิคันปากอยากบอกเหลือเกินว่า ไม่อนุญาต เพราะไม่รู้ว่าอัลยากับทศพรรษจะกลับจากในป่าเมื่อไหร่... แต่แหมนะ... ไหนๆ เขาก็มาแล้วนี่นะ จะอยู่สักวันสองวันให้เธอได้ “เก็บข้อมูล” ไว้เขียนนิยายบ้างจะเป็นไรไป
“แต่ที่นี่ไม่มีที่พักนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเต๊นท์มา แล้วคุณหมออยู่ที่นี่คนเดียวเลยเหรอครับ”
“เอ่อ มีเจ้าหน้าที่อีกสี่ห้าคน แต่วันนี้เป็นวันหยุด นอกจากคนที่มีงาน อย่างให้อาหารสัตว์ เปลี่ยนน้ำ ก็จะมาตามเวลา”
“เหงาแย่เลยนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ... ชินแล้ว”
ไปชินตอนไหนก็ไม่รู้...มากิเอ๊ย แต่เอานะ เนียนๆ ไว้ คงยังไม่ถูกจับได้ไวนักหรอกน่า มากิบอกตัวเอง
“แล้วงานคุณหมอยุ่งมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะไม่ยุ่งเลย”
“ผมนึกว่าสัตวแพทย์จะต้องงานเยอะๆ”
“ก็เยอะค่ะ ยุ่งด้วย แต่ตอนนี้ไม่ยุ่ง”
พูดเอง งง เอง... ที่จริงไม่งง เท่ากับเขินหรอก มีผู้ชายมาจ้องหน้ายิ้มให้ ใครไม่เขินก็แปลกละ
“ขออนุญาตเดินเล่นแถวนี้นะครับ”
“ไปเป็นเพื่อนมั้ยคะ... กลัวจะหลง”
“ไม่รบกวนคุณหมอจนเกินไปเหรอครับ”
“ไม๊ ไม่ค่ะ ไม่เลย”
มากิบอกตัวเองว่า นี่เป็นโอกาสที่จะได้ทดสอบความรู้หลังจากที่ได้สัมภาษณ์หมอทศมาเป็นที่เรียบร้อย หากเธอแสดงบทสัตวแพทย์สาวได้แนบเนียนจนชายหนุ่มคนนี้จับไม่ได้ ตัวละครในเรื่องที่เธอเขียนก็คงแนบเนียนไม่แพ้กันแน่นอน
ส่วนคนที่กำลังถูกสวมรอยดูจะเหนื่อยล้ากับการเดินป่า เสื้อผ้าเปียกและมอมแมมชวนเป็นไข้จนต้องบอกให้อัลยาถอดรองเท้าหนักๆ นั่นออกไป ขณะที่หญิงสาวยังกำปืนในมือแน่น... กระสุนในรังเพลิงไม่ใช่กระสุนยิงยาสลบช้าง เป็นใครก็รู้ และแม้แต่คนที่พาตัวเธอมาก็รู้ว่านั่นคือไรเฟิล แต่เมื่อเธอและทศพรรษไม่ได้รับอันตราย ปืนก็ไม่ควรถูกใช้งานโดยไม่จำเป็น หญิงเจ้าของบ้านนำน้ำดื่มมาวางให้ พร้อมๆ กับอาหาร ซึ่งก็คือผักที่เก็บได้จากป่ากับน้ำพริกและเนื้อสัตว์ย่างแห้งๆ เด็กชายวัยไม่เกินสี่ขวบวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ผู้เป็นมารดา
“ไม่เป็นไรมากหรอกเป็นไข้หวัด ไม่ใช่มาลาเรีย กินยาแล้วนอนพักเยอะๆ”
“พรุ่งนี้จะออกไปส่ง อีกเดี๋ยวจะมืดแล้ว ออกไปไม่ได้”
เจ้าของบ้านพูดเรียบๆ ไม่แสดงทีท่าอาการอะไรพูดจบก็หันไปเอาใจใส่ลูกน้อย ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ ทศพรรษกับอัลยาช่วยกันกางเต๊นท์ ทั้งคู่มีเต๊นท์มาหลังเดียวเพราะอัลยา “ลืม” เปลสนามพร้อมๆ กับที่ “ลืม” เสื้อกันฝน
“นอกจากเปลสนามแล้วยังลืมอะไรอีก”
“ลืมตา”
“ฮื้อ...ตอบมาได้ ลืมตา ไม่ตลกเลยนะ ไม่รู้ล่ะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของคุณเพราะงั้นคืนนี้ก็ช่วยไม่ได้นะที่จะต้องนอนด้วยกันในเต๊นท์เนี่ย”
“แล้วฉันมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะคะ”
“ไม่น่านะ”
ไม่พูดเปล่าแต่ทำสายตากรุ้มกริ่มเหมือนจะแกล้งให้อีกฝ่ายกลัว แต่ดูเหมือนจะผิดคาดเพราะนอกจากจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านแล้วยังหยิบปืนมาขู่อีกต่างหาก
“แตะต้องแม้แต่นิดเดียว... ตายคาไรเฟิล”
“กลัวตายล่ะ”
พูดไปอย่างนั้นแต่ก็รีบหลบกระบอกปืนทันควัน
“ก็ลองดู”
กล่องยา กระเป๋าสัมภาระ และปืนวางขวางตรงกลางระหว่างคนทั้งคู่ อัลยารู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ มีอะไรกั้นๆ ไว้บ้างจะได้ไม่ถูกหาว่าเต็มใจนอนเคียงข้างมากเกินไป เหอะ ถ้าไม่เพราะจำเป็น แล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะได้นอนหายใจรดต้นคอเธอเป็นแน่...
ความใกล้ชิดเป็นจุดกำเนิดของความผูกพัน มีคนว่าเอาไว้อย่างนั้น และตอนนี้ความผูกพันของทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะเกิดจากความใกล้ชิดจริงๆ
เวลาเดียวกับที่สำนักงาน พลรบกางเต๊นท์นอนบนอาคารที่ทำงานของหมอทศ พลรบนึกถึงอัลยา เธอจะจำได้หรือเปล่านะ ว่าช่วงนี้เป็นวันหยุดเขา และเป็นกิจวัตรที่ทั้งคู่จะต้องพบกันที่กรุงเทพฯ ซึ่งเธอจะต้องโทรศัพท์ไปหาเขาก่อนทุกครั้งหากไม่สามารถจะกลับกรุงเทพฯ ได้ แต่ครั้งนี้นอกจากจะไม่โทรฯ บอกแล้วยังโทรฯ มาไม่ติดอีกด้วย ความรู้สึกของพลรบคือไม่สบายใจ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ.. และถ้าไม่เพราะเป็นห่วง พลบรบก็คงไม่พาตัวเองมาถึงที่นี่
ความเงียบสงบของป่าอินทนิล แตกต่างกับป่าแถบชายแดนภาคใต้ที่เขาไม่เคยหลับตาลงสนิทได้เลยแม้สักครั้ง ไม่ใช่เพราะนอนไม่หลับเอง แต่เพราะความวิตกว่าชาวบ้านที่เขาดูแลความปลอดภัยให้นั้นจะนอนหลับสนิทกันสักกี่มากน้อยเมื่อมีเสียงปืนดังปลุกอยู่บ่อยๆ พลรบยังนึกภาพไม่ออกเลยว่า หากอัลยาต้องอยู่ที่โน่นจริงๆ เธอจะเป็นยังไง โชคดีที่เป็นสามเจ็ดสอง.... โชคดีที่เป็นสัตวแพทย์หญิง
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ เดี๋ยวเชิญไปทานข้าวที่บ้านพักนะคะ”
สัตวแพทย์หญิงตัวปลอม เดินขึ้นอาคารสำนักงานมาพร้อมกับเชิญแขกผู้มาเยือนไปรับประทานมื้อเช้า ขณะที่นายทหารหนุ่มเพิ่งเก็บเต๊นท์เรียบร้อย
“อ้าวคุณหมอ ขอโทษทีครับนอนเพลินไปหน่อย ไม่ค่อยได้นอนท่ามกลางเสียงสัตว์ป่ามานานแล้ว”
“ว่างๆ ก็แวะมาได้นี่คะ”
“ผมคงมาบ่อยๆ ไม่ได้หรอกครับ งานที่โน่นเยอะมาก”
“เหมือนกันเลยค่ะ ที่นี่ก็งานเยอะ”
“แล้วหยาเป็นไงบ้างครับ เค้าได้ช่วยงานคุณหมอบ้างหรือเปล่า หรือเป็นภาระคุณหมอมั้ย”
“ไม่เลยค่ะ ไม่เป็นภาระเลย... เอ่อ คุณรบนี่เป็นแฟนที่น่ารักนะคะ เป็นห่วงเป็นใยคุณหยา ตามมาดูแลถึงหน่วยเลย”
ข้อสงสัยที่หนึ่งถูกยิงออกไปในรูปแบบของบทสนทนา มากิรู้ว่าการถามตรงๆ นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วอาจจะทำให้พลรบไม่พอใจก็เป็นได้
“อ๋อ.... ก็ไม่เชิงตามมาดูแลหรอกครับแค่พอดีนัดกันไว้ที่กรุงเทพฯ แต่หยาเค้าไม่ได้ไปตามนัดก็เลยเป็นห่วง”
อุตส่าห์รอฟังว่าจะยอมรับเป็นแฟนหรือเปล่าก็ดันไปตอบอีกเรื่องซะงั้น แต่แหมนะ... ถ้าไม่ใช่แฟน แล้วใครจะทะลึ่งตามเข้าป่ามากันล่ะ ด้วยสัญชาตญาณของนักเขียนขั้นเทพ มากิแน่ใจว่าชายหนุ่มคนนี้คงเป็นคนรักของอัลยา เอ..ถ้างั้นพี่ทศก็อกหักน่ะสิ แล้วนี่สัตวแพทย์ตัวจริงจะรู้หรือเปล่านะว่าหญิงสาวที่ตัวเองแอบหลงรักอยู่มีคนรักแล้วเนี่ย...
“อีกไม่กี่วันก็น่าจะกลับ... ที่นี่ก็ไม่มีที่เที่ยวซะด้วยสิคะ คุณรบคงเหงานิดนึงนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่ป่าชินแล้ว ว่าแต่คุณหมอมาอยู่ที่นี่นานหรือยังครับ เห็นหยาเล่าว่า หมอเก่งมาก รักษาสัตว์ไม่เคยมีตัวไหนตายเลย”
มากิแอบขำที่พี่หยาเล่าถึงหมอทศ
“เอ่อ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งคะ คุณหยาก็ยกยอกันเกินไป”
สวมรอยทั้งที งานนี้ก็ต้องเอาให้รอดแหละนะ
“แล้ววันนี้หมอไม่มีงานเหรอครับ”
“มี๊... แต่ว่าเป็นห่วงว่าแขกมาทั้งทีจะกินอยู่ ลำบาก ก็ต้องมาดูแลหน่อย งั้นขอตัวเลยก็แล้วกันนะคะ ไปทำงานก่อน”
“อ้าว แล้วไม่ทานข้าวเหรอครับ”
“ทานสิคะ ทาน”
มากิก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องเขินผู้ชายคนนี้ด้วย ในเมื่อเค้ามีแฟนแล้วชัดๆ ถึงแม้ความอบอุ่นละมุนละไมอยู่ใกล้แล้วรู้สึกแปลกๆ มือสั่น ใจสั่น ทำอะไรไม่ถูก จะพูดก็ยังพูดไม่ค่อยถูกเลย...
“คุณหมอทำอาหารทานเองเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ มีทหารจากสามเจ็ดสองมาช่วยทำกับข้าว ทำงานบ้านให้น่ะ”
“อ่อ ครับ”
“แต่ก็ทำกับข้าวเป็นนะคะ วันหลังจะทำให้ทานนะคะ”
“ขอบคุณครับ ผู้หญิงสมัยนี้เก่งหลายอย่างนะครับ ทำขนมก็เป็น ทำกับข้าวก็เก่ง แต่อัลยาสิครับ เจียวไข่ยังไหม้เลย”
พูดถึงแทบทุกเวลาเชียว ท่าทางจะรักกันมาก
“คุณรบคงรักคุณหยามากสินะคะ”
“อืมม์ ก็มากเหมือนกัน... รักอยู่ข้างเดียว แต่ก็แปลกนะครับหมอ คนเราถ้าลงว่าได้รักแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่ายังไงก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้มากกว่าแค่เพื่อน ก็ยอมที่จะอยู่อย่างนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นอัลยา”
มากิหัวใจสั่นเหมือนมีเครื่องเสียงสิบตัวเปิดเพลงพร้อมกันดังอยู่ในใจ... พลรบไม่ได้เป็นแฟนกับอัลยาอย่างที่คิด น่าแปลกที่รู้สึก “โล่งใจ” ซะงั้น...
“หรือว่าเพราะคุณรบไม่ค่อยได้ทำความรู้จักคนกับอื่นบ้างมั้งคะ”
“เป็นไปได้ เพราะอาชีพของผม ไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้รู้จักใครมากไปกว่าผู้คนในพื้นที่ ที่ดูแลอยู่”
“นี่ไง อย่างน้อยตอนนี้คุณรบก็ได้รู้จักฉันไงคะ”
ยิงเข้าประตูตัวเองไปอีกหนึ่งดอก
“ครับ มาคราวหน้าก็ไม่อดตายแล้ว มีคุณหมออยู่ทั้งคน”
“ไว้โอกาสดีๆ มากิจะไปเยี่ยมเยือนคุณรบบ้าง”
“ได้สิครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ว่าแต่ ต้องซ้อมหลบลูกปืนให้เก่งๆ ก่อนนะครับ”
“น่ากลัวจัง”
“ผมล้อเล่น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอกครับ คนในพื้นที่เค้าก็อยู่กันอย่างสงบ เป็นพี่เป็นน้องกันดี แต่ก็มีบ้างที่มีผู้ก่อความไม่สงบเพื่อหวังทำลายความมั่นคง แต่ถ้าคุณมากิจะไปจริงๆ ก็บอกล่วงหน้าได้ นะครับ จะได้พาไปเที่ยวในที่ที่ปลอดภัย”
“ขอบคุณนะคะ”
มิตรภาพที่ก่อร่างสร้างตัวง่ายๆ มากิรับมาอย่างไม่เต็มร้อยนัก เพราะรู้ตัวว่า ไม่ได้พูดความจริงกับพลรบ หากเขารู้ว่าเธอไม่ใช่สัตวแพทย์แห่งป่าอินทนิล ไม่ใช่คนที่อัลยาทำงานด้วย เขาคงจะโกรธและไม่นับเป็นมิตรกับเธอก็เป็นได้ แต่จะเป็นไรไป ถ้าเขากลับไปแล้วทุกอย่างก็จบ หรือไม่อีกที เธอก็ควรชิงกลับก่อน ก่อนที่พี่ทศกับพี่หยาจะกลับมาจากป่า... แต่เอ๊ะ ไม่ได้สิ เครื่องบันทึกเสียงที่เต็มไปด้วยข้อมูลสำหรับเขียนนิยาย ยังไงก็ต้องหาทางเอากลับไปด้วยให้ได้
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก (ตอนที่ ๑๒)
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๒
กระเป๋ายาของหมอทศถูกนำมาใช้งาน ขณะที่เครื่องบันทึกเสียงขนาดจิ๋วของนักเขียนสาว ยังทำหน้าที่ของมันอย่างสงบเสงี่ยมด้วยคุณภาพของแบตเตอรี่คุณภาพดีที่สุดในโลก สามารถให้พลังงานนานถึงสามวัน ขณะที่เจ้าของเครื่องบันทึกเสียงที่ไม่ได้อยู่ในสถานการณ์เปิดประตูหน้าบ้านออกมา เพราะเสียงจี๊ปวิลลี่เอ็มบีของจ่าสิทธิ์ ซึ่งตอนที่มากิเปิดประตูออกมานั้นรถของจ่าสิทธิ์ก็เหลือแต่ควันดำไว้ดูต่างหน้า กับชายหนุ่มร่างสูงผิวคล้ำในชุดทหารยืนเก้งก้างอยู่หน้าบ้าน... มีใครบอกนะว่าดวงตาเป็นหน้าต่างของหัวใจ มั่วหรือเปล่าก็ไม่รู้ ที่รู้ๆ ตอนนี้มากิใจเต้นแรงผิดปกติ
“สวัสดีครับ คุณหมอ”
ประโยคทักทายเริ่มต้นแบบนั้น น้ำเสียงที่อบอุ่นละมุนใจขนาดนั้น... มากิไม่คิดว่าจะได้ยินเสียงและพบในป่า เจ้าป่าเจ้าเขาส่งมาชัดๆ เลย
“สวัสดีค่ะ”
“ผมเป็นเพื่อนของอัลยา ชื่อพลรบครับ”
ทหารนี่แปลก เจอหน้าเป็นรายงานตัว...
“เอ่อ... มากิค่ะ”
“ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มาไม่ได้บอกก่อนล่วงหน้า พยายามโทรศัพท์ติดต่อกับหยาแล้วแต่สัญญาณมือถือไม่มี ก็เลยถือวิสาสะมาโดยไม่ได้บอก ต้องรบกวนหมอด้วยนะครับ”
สรุปว่าพ่อทหารสุดหล่อคนนี้ เข้าใจว่ามากิคือสัตวแพทย์เจ้าของพื้นที่... แสดงว่าพี่หยาไม่ได้บอกสินะว่าสัตวแพทย์สัตว์ป่าที่นี่เป็นผู้หญิงหรือผู้ชาย แต่ก็นะ.... ไหนๆ เขาก็อุตส่าห์ให้เกียรติเรียกว่าหมอแล้ว จะโมเมสวมรอยเป็นพี่ทศสักวันคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง ข้อมูลก็เพียบอยู่แล้วนี่นา...
“แล้วตอนนี้ไม่ทราบว่าอัลยาอยู่หรือเปล่าครับ”
“พี่หยา เอ้ย คุณอัลยาไปสำรวจพื้นที่ในป่าน่ะค่ะ”
โกหกนิดๆ หน่อยๆ ไม่เป็นไรมั้ง...
“อ๋อ... ครับ ถ้าอย่างนั้นผมขออนุญาตรอก็แล้วกัน”
มากิคันปากอยากบอกเหลือเกินว่า ไม่อนุญาต เพราะไม่รู้ว่าอัลยากับทศพรรษจะกลับจากในป่าเมื่อไหร่... แต่แหมนะ... ไหนๆ เขาก็มาแล้วนี่นะ จะอยู่สักวันสองวันให้เธอได้ “เก็บข้อมูล” ไว้เขียนนิยายบ้างจะเป็นไรไป
“แต่ที่นี่ไม่มีที่พักนะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมมีเต๊นท์มา แล้วคุณหมออยู่ที่นี่คนเดียวเลยเหรอครับ”
“เอ่อ มีเจ้าหน้าที่อีกสี่ห้าคน แต่วันนี้เป็นวันหยุด นอกจากคนที่มีงาน อย่างให้อาหารสัตว์ เปลี่ยนน้ำ ก็จะมาตามเวลา”
“เหงาแย่เลยนะครับ”
“ไม่หรอกค่ะ... ชินแล้ว”
ไปชินตอนไหนก็ไม่รู้...มากิเอ๊ย แต่เอานะ เนียนๆ ไว้ คงยังไม่ถูกจับได้ไวนักหรอกน่า มากิบอกตัวเอง
“แล้วงานคุณหมอยุ่งมั้ยครับ”
“ไม่ค่ะไม่ยุ่งเลย”
“ผมนึกว่าสัตวแพทย์จะต้องงานเยอะๆ”
“ก็เยอะค่ะ ยุ่งด้วย แต่ตอนนี้ไม่ยุ่ง”
พูดเอง งง เอง... ที่จริงไม่งง เท่ากับเขินหรอก มีผู้ชายมาจ้องหน้ายิ้มให้ ใครไม่เขินก็แปลกละ
“ขออนุญาตเดินเล่นแถวนี้นะครับ”
“ไปเป็นเพื่อนมั้ยคะ... กลัวจะหลง”
“ไม่รบกวนคุณหมอจนเกินไปเหรอครับ”
“ไม๊ ไม่ค่ะ ไม่เลย”
มากิบอกตัวเองว่า นี่เป็นโอกาสที่จะได้ทดสอบความรู้หลังจากที่ได้สัมภาษณ์หมอทศมาเป็นที่เรียบร้อย หากเธอแสดงบทสัตวแพทย์สาวได้แนบเนียนจนชายหนุ่มคนนี้จับไม่ได้ ตัวละครในเรื่องที่เธอเขียนก็คงแนบเนียนไม่แพ้กันแน่นอน
ส่วนคนที่กำลังถูกสวมรอยดูจะเหนื่อยล้ากับการเดินป่า เสื้อผ้าเปียกและมอมแมมชวนเป็นไข้จนต้องบอกให้อัลยาถอดรองเท้าหนักๆ นั่นออกไป ขณะที่หญิงสาวยังกำปืนในมือแน่น... กระสุนในรังเพลิงไม่ใช่กระสุนยิงยาสลบช้าง เป็นใครก็รู้ และแม้แต่คนที่พาตัวเธอมาก็รู้ว่านั่นคือไรเฟิล แต่เมื่อเธอและทศพรรษไม่ได้รับอันตราย ปืนก็ไม่ควรถูกใช้งานโดยไม่จำเป็น หญิงเจ้าของบ้านนำน้ำดื่มมาวางให้ พร้อมๆ กับอาหาร ซึ่งก็คือผักที่เก็บได้จากป่ากับน้ำพริกและเนื้อสัตว์ย่างแห้งๆ เด็กชายวัยไม่เกินสี่ขวบวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ผู้เป็นมารดา
“ไม่เป็นไรมากหรอกเป็นไข้หวัด ไม่ใช่มาลาเรีย กินยาแล้วนอนพักเยอะๆ”
“พรุ่งนี้จะออกไปส่ง อีกเดี๋ยวจะมืดแล้ว ออกไปไม่ได้”
เจ้าของบ้านพูดเรียบๆ ไม่แสดงทีท่าอาการอะไรพูดจบก็หันไปเอาใจใส่ลูกน้อย ทั้งสองมองหน้ากันเงียบๆ ทศพรรษกับอัลยาช่วยกันกางเต๊นท์ ทั้งคู่มีเต๊นท์มาหลังเดียวเพราะอัลยา “ลืม” เปลสนามพร้อมๆ กับที่ “ลืม” เสื้อกันฝน
“นอกจากเปลสนามแล้วยังลืมอะไรอีก”
“ลืมตา”
“ฮื้อ...ตอบมาได้ ลืมตา ไม่ตลกเลยนะ ไม่รู้ล่ะ ทั้งหมดมันเป็นความผิดของคุณเพราะงั้นคืนนี้ก็ช่วยไม่ได้นะที่จะต้องนอนด้วยกันในเต๊นท์เนี่ย”
“แล้วฉันมีทางเลือกอื่นมั้ยล่ะคะ”
“ไม่น่านะ”
ไม่พูดเปล่าแต่ทำสายตากรุ้มกริ่มเหมือนจะแกล้งให้อีกฝ่ายกลัว แต่ดูเหมือนจะผิดคาดเพราะนอกจากจะไม่รู้สึกสะทกสะท้านแล้วยังหยิบปืนมาขู่อีกต่างหาก
“แตะต้องแม้แต่นิดเดียว... ตายคาไรเฟิล”
“กลัวตายล่ะ”
พูดไปอย่างนั้นแต่ก็รีบหลบกระบอกปืนทันควัน
“ก็ลองดู”
กล่องยา กระเป๋าสัมภาระ และปืนวางขวางตรงกลางระหว่างคนทั้งคู่ อัลยารู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรหรอก แต่อย่างน้อยก็อุ่นใจ มีอะไรกั้นๆ ไว้บ้างจะได้ไม่ถูกหาว่าเต็มใจนอนเคียงข้างมากเกินไป เหอะ ถ้าไม่เพราะจำเป็น แล้วล่ะก็ ไม่มีทางที่จะได้นอนหายใจรดต้นคอเธอเป็นแน่...
ความใกล้ชิดเป็นจุดกำเนิดของความผูกพัน มีคนว่าเอาไว้อย่างนั้น และตอนนี้ความผูกพันของทั้งคู่ก็ดูเหมือนจะเกิดจากความใกล้ชิดจริงๆ
เวลาเดียวกับที่สำนักงาน พลรบกางเต๊นท์นอนบนอาคารที่ทำงานของหมอทศ พลรบนึกถึงอัลยา เธอจะจำได้หรือเปล่านะ ว่าช่วงนี้เป็นวันหยุดเขา และเป็นกิจวัตรที่ทั้งคู่จะต้องพบกันที่กรุงเทพฯ ซึ่งเธอจะต้องโทรศัพท์ไปหาเขาก่อนทุกครั้งหากไม่สามารถจะกลับกรุงเทพฯ ได้ แต่ครั้งนี้นอกจากจะไม่โทรฯ บอกแล้วยังโทรฯ มาไม่ติดอีกด้วย ความรู้สึกของพลรบคือไม่สบายใจ กลัวว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับเธอ.. และถ้าไม่เพราะเป็นห่วง พลบรบก็คงไม่พาตัวเองมาถึงที่นี่
ความเงียบสงบของป่าอินทนิล แตกต่างกับป่าแถบชายแดนภาคใต้ที่เขาไม่เคยหลับตาลงสนิทได้เลยแม้สักครั้ง ไม่ใช่เพราะนอนไม่หลับเอง แต่เพราะความวิตกว่าชาวบ้านที่เขาดูแลความปลอดภัยให้นั้นจะนอนหลับสนิทกันสักกี่มากน้อยเมื่อมีเสียงปืนดังปลุกอยู่บ่อยๆ พลรบยังนึกภาพไม่ออกเลยว่า หากอัลยาต้องอยู่ที่โน่นจริงๆ เธอจะเป็นยังไง โชคดีที่เป็นสามเจ็ดสอง.... โชคดีที่เป็นสัตวแพทย์หญิง
“สวัสดีตอนเช้าค่ะ เดี๋ยวเชิญไปทานข้าวที่บ้านพักนะคะ”
สัตวแพทย์หญิงตัวปลอม เดินขึ้นอาคารสำนักงานมาพร้อมกับเชิญแขกผู้มาเยือนไปรับประทานมื้อเช้า ขณะที่นายทหารหนุ่มเพิ่งเก็บเต๊นท์เรียบร้อย
“อ้าวคุณหมอ ขอโทษทีครับนอนเพลินไปหน่อย ไม่ค่อยได้นอนท่ามกลางเสียงสัตว์ป่ามานานแล้ว”
“ว่างๆ ก็แวะมาได้นี่คะ”
“ผมคงมาบ่อยๆ ไม่ได้หรอกครับ งานที่โน่นเยอะมาก”
“เหมือนกันเลยค่ะ ที่นี่ก็งานเยอะ”
“แล้วหยาเป็นไงบ้างครับ เค้าได้ช่วยงานคุณหมอบ้างหรือเปล่า หรือเป็นภาระคุณหมอมั้ย”
“ไม่เลยค่ะ ไม่เป็นภาระเลย... เอ่อ คุณรบนี่เป็นแฟนที่น่ารักนะคะ เป็นห่วงเป็นใยคุณหยา ตามมาดูแลถึงหน่วยเลย”
ข้อสงสัยที่หนึ่งถูกยิงออกไปในรูปแบบของบทสนทนา มากิรู้ว่าการถามตรงๆ นอกจากจะไม่ได้คำตอบแล้วอาจจะทำให้พลรบไม่พอใจก็เป็นได้
“อ๋อ.... ก็ไม่เชิงตามมาดูแลหรอกครับแค่พอดีนัดกันไว้ที่กรุงเทพฯ แต่หยาเค้าไม่ได้ไปตามนัดก็เลยเป็นห่วง”
อุตส่าห์รอฟังว่าจะยอมรับเป็นแฟนหรือเปล่าก็ดันไปตอบอีกเรื่องซะงั้น แต่แหมนะ... ถ้าไม่ใช่แฟน แล้วใครจะทะลึ่งตามเข้าป่ามากันล่ะ ด้วยสัญชาตญาณของนักเขียนขั้นเทพ มากิแน่ใจว่าชายหนุ่มคนนี้คงเป็นคนรักของอัลยา เอ..ถ้างั้นพี่ทศก็อกหักน่ะสิ แล้วนี่สัตวแพทย์ตัวจริงจะรู้หรือเปล่านะว่าหญิงสาวที่ตัวเองแอบหลงรักอยู่มีคนรักแล้วเนี่ย...
“อีกไม่กี่วันก็น่าจะกลับ... ที่นี่ก็ไม่มีที่เที่ยวซะด้วยสิคะ คุณรบคงเหงานิดนึงนะคะ”
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมอยู่ป่าชินแล้ว ว่าแต่คุณหมอมาอยู่ที่นี่นานหรือยังครับ เห็นหยาเล่าว่า หมอเก่งมาก รักษาสัตว์ไม่เคยมีตัวไหนตายเลย”
มากิแอบขำที่พี่หยาเล่าถึงหมอทศ
“เอ่อ ไม่ถึงขนาดนั้นมั้งคะ คุณหยาก็ยกยอกันเกินไป”
สวมรอยทั้งที งานนี้ก็ต้องเอาให้รอดแหละนะ
“แล้ววันนี้หมอไม่มีงานเหรอครับ”
“มี๊... แต่ว่าเป็นห่วงว่าแขกมาทั้งทีจะกินอยู่ ลำบาก ก็ต้องมาดูแลหน่อย งั้นขอตัวเลยก็แล้วกันนะคะ ไปทำงานก่อน”
“อ้าว แล้วไม่ทานข้าวเหรอครับ”
“ทานสิคะ ทาน”
มากิก็ไม่เข้าใจตัวเองว่าทำไมต้องเขินผู้ชายคนนี้ด้วย ในเมื่อเค้ามีแฟนแล้วชัดๆ ถึงแม้ความอบอุ่นละมุนละไมอยู่ใกล้แล้วรู้สึกแปลกๆ มือสั่น ใจสั่น ทำอะไรไม่ถูก จะพูดก็ยังพูดไม่ค่อยถูกเลย...
“คุณหมอทำอาหารทานเองเหรอครับ”
“เปล่าหรอกค่ะ มีทหารจากสามเจ็ดสองมาช่วยทำกับข้าว ทำงานบ้านให้น่ะ”
“อ่อ ครับ”
“แต่ก็ทำกับข้าวเป็นนะคะ วันหลังจะทำให้ทานนะคะ”
“ขอบคุณครับ ผู้หญิงสมัยนี้เก่งหลายอย่างนะครับ ทำขนมก็เป็น ทำกับข้าวก็เก่ง แต่อัลยาสิครับ เจียวไข่ยังไหม้เลย”
พูดถึงแทบทุกเวลาเชียว ท่าทางจะรักกันมาก
“คุณรบคงรักคุณหยามากสินะคะ”
“อืมม์ ก็มากเหมือนกัน... รักอยู่ข้างเดียว แต่ก็แปลกนะครับหมอ คนเราถ้าลงว่าได้รักแล้ว ถึงแม้จะรู้ว่ายังไงก็เป็นอย่างอื่นไปไม่ได้มากกว่าแค่เพื่อน ก็ยอมที่จะอยู่อย่างนั้น ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมต้องเป็นอัลยา”
มากิหัวใจสั่นเหมือนมีเครื่องเสียงสิบตัวเปิดเพลงพร้อมกันดังอยู่ในใจ... พลรบไม่ได้เป็นแฟนกับอัลยาอย่างที่คิด น่าแปลกที่รู้สึก “โล่งใจ” ซะงั้น...
“หรือว่าเพราะคุณรบไม่ค่อยได้ทำความรู้จักคนกับอื่นบ้างมั้งคะ”
“เป็นไปได้ เพราะอาชีพของผม ไม่ค่อยเอื้ออำนวยให้รู้จักใครมากไปกว่าผู้คนในพื้นที่ ที่ดูแลอยู่”
“นี่ไง อย่างน้อยตอนนี้คุณรบก็ได้รู้จักฉันไงคะ”
ยิงเข้าประตูตัวเองไปอีกหนึ่งดอก
“ครับ มาคราวหน้าก็ไม่อดตายแล้ว มีคุณหมออยู่ทั้งคน”
“ไว้โอกาสดีๆ มากิจะไปเยี่ยมเยือนคุณรบบ้าง”
“ได้สิครับ ยินดีเป็นอย่างยิ่ง ว่าแต่ ต้องซ้อมหลบลูกปืนให้เก่งๆ ก่อนนะครับ”
“น่ากลัวจัง”
“ผมล้อเล่น จริงๆ แล้วก็ไม่ได้ขนาดนั้นหรอกครับ คนในพื้นที่เค้าก็อยู่กันอย่างสงบ เป็นพี่เป็นน้องกันดี แต่ก็มีบ้างที่มีผู้ก่อความไม่สงบเพื่อหวังทำลายความมั่นคง แต่ถ้าคุณมากิจะไปจริงๆ ก็บอกล่วงหน้าได้ นะครับ จะได้พาไปเที่ยวในที่ที่ปลอดภัย”
“ขอบคุณนะคะ”
มิตรภาพที่ก่อร่างสร้างตัวง่ายๆ มากิรับมาอย่างไม่เต็มร้อยนัก เพราะรู้ตัวว่า ไม่ได้พูดความจริงกับพลรบ หากเขารู้ว่าเธอไม่ใช่สัตวแพทย์แห่งป่าอินทนิล ไม่ใช่คนที่อัลยาทำงานด้วย เขาคงจะโกรธและไม่นับเป็นมิตรกับเธอก็เป็นได้ แต่จะเป็นไรไป ถ้าเขากลับไปแล้วทุกอย่างก็จบ หรือไม่อีกที เธอก็ควรชิงกลับก่อน ก่อนที่พี่ทศกับพี่หยาจะกลับมาจากป่า... แต่เอ๊ะ ไม่ได้สิ เครื่องบันทึกเสียงที่เต็มไปด้วยข้อมูลสำหรับเขียนนิยาย ยังไงก็ต้องหาทางเอากลับไปด้วยให้ได้