ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๘
ระหว่างที่พารันกับมากิออกไปนั่งคุยกันตามประสานักเขียนกับแฟนคลับ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่อัลยามาเยี่ยมพลรบที่โรงพยาบาลพอดี อัลยาไม่เคยพบครอบครัวของพลรบ แต่ก็ทราบจากที่เขาเล่าให้ฟังว่ามีปัญหากันเพราะอะไร อัลยาไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากไปกว่าขอบเขตของเพื่อนที่ควรทำ
“หยา มาพอดีเลย นึกว่ากลับอินทนิลไปแล้วเสียอีก เอ่อ... คุณพ่อคุณแม่ผมน่ะ”
พลรบแนะนำให้อัลยารู้จักกับครอบครัวของเขา ถึงแม้อัลยาจะเคยได้ยินเรื่องราวของครอบครัวเขามาบ้างแต่ก็ไม่เคยได้พบ บิดาของพลรบเป็นชายร่างสูงใหญ่ รูปร่างสองพ่อลูกคล้ายกัน ส่วนมารดาเป็นสตรีรูปร่างเล็ก บอบบาง แต่แววตานั้นดูอ่อนโยน
“สวัสดีค่ะ คุณลุง คุณป้า”
“อัลยาเป็นเพื่อนทหารของผมเองครับแม่ เธอเป็นอาจารย์สอนภาษาประเทศเพื่อนบ้านให้กับกองทัพ แต่ว่าตอนนี้เธอย้ายไปช่วยราชการที่ชายแดนตะวันตกน่ะครับ”
พลรบอาการดีขึ้นจนไม่เหมือนคนที่เพิ่งถูกยิงมาอาการสาหัส อาจเพราะกำลังใจดี ซึ่งก็ไม่มีใครเดาออกว่ากำลังใจที่ว่านั้นมาจากใคร นอกจากเจ้าตัว
“เป็นผู้หญิง ทำไมถึงไปเป็นทหารเสียล่ะ ลำบากแย่เลยสินะ”
บิดาของพลรบเป็นคนทักขึ้น เขาไม่ชอบอาชีพนี้เอาเสียเลย เพราะนอกจากจะเสี่ยงอันตรายแล้วยังเงินเดือนไม่พอกินอีกต่างหาก คนที่ทำธุรกิจมาตลอดชีวิตอย่างบิดาของพลรบ ซึ่งวางอนาคตลูกชายคนเดียวไว้อย่างสวยหรูในการสืบทอดกิจการ ต้องมาฝันสลายเพราะลูกชายเลือกรับราชการ
“เป็นครูทหารอีกทีค่ะ”
อัลยาตอบกลางๆ เพราะทราบว่าบิดาของพลรบไม่ค่อยปลื้มอาชีพของเธอเท่าใดนัก
“คุณลุง คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณหมอที่นี่เก่ง อีกไม่นานรบก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะค่ะ”
“คราวหน้าคงไม่โดนแค่นี้”
น้ำเสียงประชดประชันของผู้เป็นบิดาทำให้ทุกคนในห้องพักผู้ป่วยเงียบลง
“คุณคะ”
มารดาของพลรบปรามสามี เธอเองก็ดูจะเหนื่อยไม่น้อยที่จะต้องคอยเป็นคนกลางระหว่างลูกชายกับสามี พ่อลูกที่เคยรักกันมากกลับมาบาดหมางกันเพียงเพราะการเลือกทางเดินในชีวิตของลูก อาจดูไม่ยุติธรรมกับพลรบนัก แต่หากเขานึกถึงใจคนที่เลี้ยงดูมา บางทีเขาอาจจะเข้าใจผู้ให้กำเนิดบ้างก็เป็นได้
“หยา เอ่อ... ขอตัวก่อนดีกว่านะคะ”
สถานการณ์ดูจะไม่เป็นใจให้เธอต้องอยู่ในห้องนั้นอีก อัลยาหยิบกระเป๋าถือ
“ไม่เป็นไรหรอกหนู อยู่เป็นเพื่อนตารบเถอะ ลุงกับป้าว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวแม่กลับมานะลูก”
มารดาพูดเท่านั้นก็ดึงแขนสามีออกมาด้านนอกเสียก่อนที่จะเขาจะพูดจาทำร้ายจิตใจลูกชายไปมากกว่านี้
“พ่อคะ ไปไหน พารันไปด้วย”
เด็กสาวสายตาไว เหลือบเห็นบิดามารดาเดินออกจากลิฟท์มาพอดี
“จะไปเดินเล่นแถวๆ นี้สักหน่อย ตรงวังพญาไทนั่นน่ะ จะไปกับแม่ไหมล่ะลูก”
มารดาเป็นคนตอบคำถาม
“ไปค่ะไป พี่มากิไปด้วยกันนะคะ”
“เอ่อ ขออนุญาตสละสิทธิ์ดีกว่านะคะน้องพารัน”
“งั้นพารันไปกับแม่นะคะ เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
มากิไม่ใช่หญิงสาวช่างเอาใจ เธอมีสัมมาคารวะ และรู้จักกาลเทศะ มีขอบเขตที่พอเหมาะพอควรกับผู้ใหญ่ ถึงแม้อยากจะทำความรู้จักคุ้นเคยกับครอบครัวของพลรบให้มากกว่านี้ แต่นั่นอาจจะเกินความเหมาะสม ที่สำคัญเธอยังไม่รู้เลยว่าเขาจะโกรธเธอเรื่องที่เธอโกหกเขาหรือเปล่า มากิอยากไปขอโทษพลรบ เธอจึงถือโอกาสที่คนในครอบครัวของเขาไม่อยู่ตรงนั้น เพื่ออธิบายให้เขาฟัง
มากิเธอกำลังเดินจ้ำไปที่ห้องพักผู้ป่วย รวบรวมความกล้าหาญที่จะสารภาพเรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็คงไม่เป็นทุกข์ใจที่กับการกระทำของตัวเองอีก
แต่ภาพที่มากิเห็นหลังเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยคือ ภาพที่พลรบกำลังพูดคุยอย่างออกรส แม้จะป่วยแต่ใบหน้าที่เปี่ยมรอยยิ้มนั้นก็ทำให้มากิรู้สึกได้ว่าเป็นเพราะอัลยาอยู่ใกล้ๆ แม้จะเข้าเฝือกที่ขาไว้แต่ความเจ็บปวดก็ดูจะหายไปจากชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้น
“คุณมากิทำไมกลับมาคนเดียวล่ะครับ พารันล่ะ”
“อยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ พี่หยา สวัสดีค่ะ”
อัลยาแปลกใจที่ได้เจอมากิ เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าทั้งคู่สนิทสนมกัน
“มากิมาเยี่ยมคุณรบค่ะ แต่เดี๋ยวจะกลับแล้วล่ะค่ะ เอ่อ งั้นขอตัวเลยนะคะ”
มากิวางตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าอัลยา และไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินจึงขอตัวกลับดื้อๆ เสียอย่างนั้น
“โอ๊ยยยย”
อยู่ๆ พลรบก็แหกปากขึ้นมา ทำให้คนที่กำลังเปิดประตูออกไปรีบวิ่งเข้ามาดูอาการข้างเตียง
“คุณรบเป็นอะไรไปคะ เจ็บตรงไหนเดี๋ยวเราเรียกหมอให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร”
และระหว่างที่มากิหันไปกดปุ่มเรียกหมอ พลรบก็รีบขยิบตาให้อัลยา เป็นอันเข้าใจกันในทันที
“เราออกไปตามหมอให้นะรบ”
อัลยาอาสา
“มากิไปตามเองดีกว่าค่ะ พี่หยาอยู่เป็นเพื่อนคุณรบเถอะค่ะ”
ไม่ทันได้เกี่ยงกันจบประโยค หมอณพเจ้าของไข้ และเพื่อนของทั้งคู่ก็เข้ามาตรวจดูอาการของพลรบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรมากนัก หมอก็ขอตัวไปดูแลคนไข้คนอื่น
“นี่ก็สายมากแล้ว รบจ๊ะ เราคงต้องกลับแล้วล่ะ ต้องกลับไปรายงานตัวที่สามเจ็ดสอง กว่าจะเดินทางไปถึงที่นั่น จะค่ำมืดเสียก่อน”
เพื่อนสาวหาข้ออ้างที่จะให้พลรบกับมากิได้อยู่กันตามลำพัง
“ไม่เป็นห่วงกันเลยเหรอ”
พลรบแกล้งทำเสียงอ้อน เผื่อว่าจะทำให้มากิแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง
“เป็นห่วงสิ แต่เท่าที่ดูอาการแล้วอีกสองสามวันก็วิ่งปร๋อได้แล้ว ไกลหัวใจขนาดนี้พลรบไม่ตายง่ายๆ หรอก เรารู้”
“ก็อยากให้มีคนเป็นห่วงบ้าง”
“มากิคะ พี่ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนจนเกินไปมั้ย ถ้าจะขอร้องให้มากิอยู่ดูแลพลรบสักระยะหนึ่ง พี่ต้องกลับอินทนิลแล้ว”
ไม่อ้อมค้อมตามประสาทหารไทย กระชับ ฉับไวได้ใจความ จนมากิอึ้งไม่นึกว่าจะถูกโยนระเบิดกันจะๆ แบบนี้
“นะครับมากิ”
“ค่ะ”
เท่านั้นเองที่ทำให้เพื่อนสองคนแอบสบตากัน และอัลยาขอตัวกลับ
“ดูแลตัวเองนะรบ แล้วเราจะโทร. มาถามความคืบหน้าเรื่อยๆนะ ฝากกราบลาคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะ”
“ขอให้ทุกเรื่องผ่านไปด้วยดีล่ะ”
พลรบเข้าใจตัวเองแล้วว่าความรู้สึกแบบเพื่อนเป็นอย่างไร และเมื่อพ้นเขตโรงพยาบาลออกมา สิ่งที่อัลยาครุ่นคิดไม่ใช่เรื่องอาการของพลรบ เพราะเธอรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะหายดี..บาดเจ็บเท่านี้ ไม่ทำให้ชายหนุ่มท้อแท้ หรือยอมแพ้กับสิ่งที่เลือกแล้วแน่นอน แต่สิ่งที่อัลยาหนักใจมากกว่าก็คือ จะทำยังไงให้สัตวแพทย์หนุ่มจอมวีนแห่งป่าอินทนิลหายโกรธ...
เรื่องราวที่เกิดขึ้น อัลยาไม่คิดเลยว่ามันจะร้ายแรงถึงกับทำให้เขาหุนหันออกจากบ้านไปแบบนั้น ทศพรรษไม่ฟังใคร และดูท่าทาง ไม่คิดจะฟังเสียด้วย แล้วอย่างนี้จะง้อยังไงล่ะเนี่ย เอาปืนจ่อขมับจับไขว้หลังให้ยอมยกโทษแต่โดยดี หรือจะใช้มารยาพันแปดร้อยเล่มเกวียนที่มีอยู่กอดขา ขอร้องดีล่ะ...
หลังจากที่อัลยาพ้นประตูห้องพักผู้ป่วยออกไป พลรบก็เริ่มยิงคำถามที่สงสัยอยู่ทันที
“คุณมากิทราบได้ยังไงครับว่าผมเข้าโรงพยาบาล”
“มากิโทรศัพท์ไปหาคุณรบน่ะค่ะ”
“อ๋อ คุณมากิน่ะเอง ที่ผมไม่ได้รับโทรศัพท์ พอดีกำลังซ่อมรถอยู่น่ะครับ มือเปื้อนน้ำมันเครื่องไม่อยากหยิบมือถือ ก็เลยให้ลูกน้องรับสายแทน เอ๊ะ แต่วันนั้นยังไม่เกิดเรื่องนี่ครับ”
“มีคนโทรศัพท์มาบอก เพราะว่ามากิส่งข้อความเข้ามือถือคุณรบ เขาก็เลยโทร.มา ตามเบอร์จากข้อความน่ะค่ะ”
“น่าจะเป็นลูกน้องผม เขายังเดินทางมาไม่ถึงเลย โทรศัพท์มือถือผมก็อยู่ที่เขาด้วย อยากรู้จังว่าคุณมากิส่งข้อความไปว่าอะไร”
“อืมม์ ที่จริงมากิมีเรื่องอยากจะบอกคุณรบ เป็นเรื่องที่อาจจะทำให้มิตรภาพของเราขาดสะบั้นลง คุณรบอาจจะไม่อยากเจอมากิอีกเลยตลอดชีวิต”
“เรื่องที่ทำให้ผมไม่ต้องการเจอใครบางคนตลอดชีวิตได้ ถ้าไม่เพราะมีใครตาย ครอบครัวเดือดร้อน หรือประเทศชาติล่มจม ก็ไม่ถือว่าเรื่องใหญ่สำหรับผมหรอกครับ”
มากิเบาใจลงเมื่อได้ยินประโยคนี้ อย่างน้อยเธอก็คิดว่าเขาน่าจะไม่โกรธมาก เพราะไม่ได้ทำให้ใครตาย ประเทศชาติก็ไม่ได้ล่มจม ครอบครัวก็ไม่ได้เดือดร้อนด้วย
“สัญญากับมากิแล้วนะคะว่าจะไม่โกรธ”
“มีไม่กี่คนในโลกหรอกครับที่ทำให้ผมโกรธได้”
“แต่...”
“เอางี้มั้ย ถ้าหากไม่สบายใจที่จะบอกก็ไม่ต้องบอก ผมน่ะ ไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะมีความลับอะไรปิดบังไว้... ที่ผมสนใจก็แค่ความรู้สึกของคุณเท่านั้นแหละ”
“แต่มากิก็ไม่สบายใจหรอกนะคะ บางเรื่องที่เราเองก็รู้ดีแก่ใจว่าทำอะไรไป”
“เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลงเถอะ แล้วก็คุยกัน”
“ที่คุณรบไปอินทนิล เพราะว่าคุณรบเป็นคนรักกับพี่หยาเหรอคะ”
“ไหนบอกมีเรื่องจะบอก ไหงกลายเป็นมีเรื่องมาถามเสียงั้นล่ะ”
“ก็ต้องมีเกริ่นๆ กันบ้าง”
“ฮ่าๆ เจ้าคารมจริง สมแล้วที่เป็นนักเขียน... เอ๊ะ ว่าแต่เป็นนักเขียนแล้วเป็นสัตวแพทย์ด้วยน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ มากิเป็นนักเขียนอย่างเดียว ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์”
“อีกทีซิ”
“ค่ะ มากิเป็นนักเขียน”
“แล้วเรื่องที่อินทนิล”
“มากิแค่คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะคิดว่าไม่นานคุณรบก็คงกลับและเราก็คงไม่ได้เจอกันอีก เพราะมากิก็ต้องกลับเหมือนกัน โอกาสที่จะได้พบกันอีกคงไม่มีแล้ว แต่มากิคิดตื้นไป”
“ทำไมเงียบไปล่ะคะ... คุณรบโกรธมากิแล้วใช่หรือเปล่าคะ”
“ผมว่าคนเราทุกคนย่อมมีเหตุผลในการทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง บางทีคุณมากิอาจจะมีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น และผมก็ดันเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์พอดี ผมว่าคุณมากิก็คงไม่ได้ต้องการจะโกหกหรือทำให้ใครเข้าใจผิด เพียงแต่อาจจะจำเป็นต้องทำอย่างนั้น”
นอกจากเทวดาแล้วก็คงไม่มีใครรู้ว่าทำไมพลรบถึงตอบไปแบบนั้น... เขารักมากิกระทั่งยอมให้อภัยเธอง่ายๆ หรือก็น่าจะไม่ เพราะสัมพันธภาพของทั้งคู่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน นับแล้วก็ไม่กี่ชั่วโมง พลรบไม่เชื่อว่าเป็นความรักนอกจากรู้สึกดีๆ
“คุณรบยังค้างคำตอบมากิอยู่นะคะ”
“ถามว่า”
“ไม่ทันไรก็ลืมเสียแล้ว”
“ก็เพราะว่ามันเป็นคำถามที่ไม่มีความสำคัญในคำตอบ จึงเลือกไม่ตอบดีกว่า”
“งั้นแปลว่าไม่โกรธมากิแล้วใช่มั้ยคะ”
“ถ้าไม่มีครั้งที่สองน่ะนะ”
ดูเหมือนความหม่นมัว อึมครึม ของมิตรภาพระหว่างมากิกับพลรบจะคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว ท้องฟ้าที่เหมือนฝนกำลังจะตกอยู่ตลอดเวลาของมากิ ก็สดใสขึ้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตั้งแต่พูดโกหกกับพลรบ มาจนถึงวันที่ได้บอกความจริงกับเขานั้นหัวใจของมากิ หนักอึ้งเหมือนแบกภูเขาไว้ทั้งลูก...
การที่ใครบางคน “ให้อภัย” มันสบายใจอย่างนี้นี่เอง
ท้องฟ้าของมากิแจ่มใส และความหนักอึ้งในหัวใจของอัลยาไม่ได้คลายลงไปเลย หลังจากที่เดินทางกลับถึงสามเจ็ดสองรายงานตัว และให้จ่าสิทธิ์ไปส่งที่อินทนิล ประโยคแรกที่ต้อนรับการกลับมาของเธอคือ
“มาทำไม”
น้ำเสียงงอนสุดฤทธิ์
“โอ้.. ถามแปลกมาทำไม ก็มาทำงานสิคะคุณก็”
หมอสัตว์ป่าเถียงไม่ออก นอกจากนิ่งเงียบ หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ณ นาทีนั้น เธอไม่แน่ใจในความรู้สึกของเขา
เรื่องยาว : ป่าอุ่นใจไออุ่นรัก ตอนที่ ๑๘
หญ้าเจ้าชู้
ตอนที่ ๑๘
ระหว่างที่พารันกับมากิออกไปนั่งคุยกันตามประสานักเขียนกับแฟนคลับ ก็เป็นเวลาเดียวกับที่อัลยามาเยี่ยมพลรบที่โรงพยาบาลพอดี อัลยาไม่เคยพบครอบครัวของพลรบ แต่ก็ทราบจากที่เขาเล่าให้ฟังว่ามีปัญหากันเพราะอะไร อัลยาไม่อยากก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากไปกว่าขอบเขตของเพื่อนที่ควรทำ
“หยา มาพอดีเลย นึกว่ากลับอินทนิลไปแล้วเสียอีก เอ่อ... คุณพ่อคุณแม่ผมน่ะ”
พลรบแนะนำให้อัลยารู้จักกับครอบครัวของเขา ถึงแม้อัลยาจะเคยได้ยินเรื่องราวของครอบครัวเขามาบ้างแต่ก็ไม่เคยได้พบ บิดาของพลรบเป็นชายร่างสูงใหญ่ รูปร่างสองพ่อลูกคล้ายกัน ส่วนมารดาเป็นสตรีรูปร่างเล็ก บอบบาง แต่แววตานั้นดูอ่อนโยน
“สวัสดีค่ะ คุณลุง คุณป้า”
“อัลยาเป็นเพื่อนทหารของผมเองครับแม่ เธอเป็นอาจารย์สอนภาษาประเทศเพื่อนบ้านให้กับกองทัพ แต่ว่าตอนนี้เธอย้ายไปช่วยราชการที่ชายแดนตะวันตกน่ะครับ”
พลรบอาการดีขึ้นจนไม่เหมือนคนที่เพิ่งถูกยิงมาอาการสาหัส อาจเพราะกำลังใจดี ซึ่งก็ไม่มีใครเดาออกว่ากำลังใจที่ว่านั้นมาจากใคร นอกจากเจ้าตัว
“เป็นผู้หญิง ทำไมถึงไปเป็นทหารเสียล่ะ ลำบากแย่เลยสินะ”
บิดาของพลรบเป็นคนทักขึ้น เขาไม่ชอบอาชีพนี้เอาเสียเลย เพราะนอกจากจะเสี่ยงอันตรายแล้วยังเงินเดือนไม่พอกินอีกต่างหาก คนที่ทำธุรกิจมาตลอดชีวิตอย่างบิดาของพลรบ ซึ่งวางอนาคตลูกชายคนเดียวไว้อย่างสวยหรูในการสืบทอดกิจการ ต้องมาฝันสลายเพราะลูกชายเลือกรับราชการ
“เป็นครูทหารอีกทีค่ะ”
อัลยาตอบกลางๆ เพราะทราบว่าบิดาของพลรบไม่ค่อยปลื้มอาชีพของเธอเท่าใดนัก
“คุณลุง คุณป้าไม่ต้องเป็นห่วงนะคะ คุณหมอที่นี่เก่ง อีกไม่นานรบก็ออกจากโรงพยาบาลได้แล้วล่ะค่ะ”
“คราวหน้าคงไม่โดนแค่นี้”
น้ำเสียงประชดประชันของผู้เป็นบิดาทำให้ทุกคนในห้องพักผู้ป่วยเงียบลง
“คุณคะ”
มารดาของพลรบปรามสามี เธอเองก็ดูจะเหนื่อยไม่น้อยที่จะต้องคอยเป็นคนกลางระหว่างลูกชายกับสามี พ่อลูกที่เคยรักกันมากกลับมาบาดหมางกันเพียงเพราะการเลือกทางเดินในชีวิตของลูก อาจดูไม่ยุติธรรมกับพลรบนัก แต่หากเขานึกถึงใจคนที่เลี้ยงดูมา บางทีเขาอาจจะเข้าใจผู้ให้กำเนิดบ้างก็เป็นได้
“หยา เอ่อ... ขอตัวก่อนดีกว่านะคะ”
สถานการณ์ดูจะไม่เป็นใจให้เธอต้องอยู่ในห้องนั้นอีก อัลยาหยิบกระเป๋าถือ
“ไม่เป็นไรหรอกหนู อยู่เป็นเพื่อนตารบเถอะ ลุงกับป้าว่าจะออกไปสูดอากาศข้างนอกบ้างเหมือนกัน แล้วเดี๋ยวแม่กลับมานะลูก”
มารดาพูดเท่านั้นก็ดึงแขนสามีออกมาด้านนอกเสียก่อนที่จะเขาจะพูดจาทำร้ายจิตใจลูกชายไปมากกว่านี้
“พ่อคะ ไปไหน พารันไปด้วย”
เด็กสาวสายตาไว เหลือบเห็นบิดามารดาเดินออกจากลิฟท์มาพอดี
“จะไปเดินเล่นแถวๆ นี้สักหน่อย ตรงวังพญาไทนั่นน่ะ จะไปกับแม่ไหมล่ะลูก”
มารดาเป็นคนตอบคำถาม
“ไปค่ะไป พี่มากิไปด้วยกันนะคะ”
“เอ่อ ขออนุญาตสละสิทธิ์ดีกว่านะคะน้องพารัน”
“งั้นพารันไปกับแม่นะคะ เดี๋ยวเจอกันนะคะ”
มากิไม่ใช่หญิงสาวช่างเอาใจ เธอมีสัมมาคารวะ และรู้จักกาลเทศะ มีขอบเขตที่พอเหมาะพอควรกับผู้ใหญ่ ถึงแม้อยากจะทำความรู้จักคุ้นเคยกับครอบครัวของพลรบให้มากกว่านี้ แต่นั่นอาจจะเกินความเหมาะสม ที่สำคัญเธอยังไม่รู้เลยว่าเขาจะโกรธเธอเรื่องที่เธอโกหกเขาหรือเปล่า มากิอยากไปขอโทษพลรบ เธอจึงถือโอกาสที่คนในครอบครัวของเขาไม่อยู่ตรงนั้น เพื่ออธิบายให้เขาฟัง
มากิเธอกำลังเดินจ้ำไปที่ห้องพักผู้ป่วย รวบรวมความกล้าหาญที่จะสารภาพเรื่องราวทั้งหมด ไม่ว่าผลออกมาจะเป็นอย่างไร อย่างน้อยก็คงไม่เป็นทุกข์ใจที่กับการกระทำของตัวเองอีก
แต่ภาพที่มากิเห็นหลังเปิดประตูห้องพักผู้ป่วยคือ ภาพที่พลรบกำลังพูดคุยอย่างออกรส แม้จะป่วยแต่ใบหน้าที่เปี่ยมรอยยิ้มนั้นก็ทำให้มากิรู้สึกได้ว่าเป็นเพราะอัลยาอยู่ใกล้ๆ แม้จะเข้าเฝือกที่ขาไว้แต่ความเจ็บปวดก็ดูจะหายไปจากชายหนุ่มที่นอนอยู่บนเตียงผู้ป่วยนั้น
“คุณมากิทำไมกลับมาคนเดียวล่ะครับ พารันล่ะ”
“อยู่กับคุณพ่อคุณแม่แล้วล่ะค่ะ พี่หยา สวัสดีค่ะ”
อัลยาแปลกใจที่ได้เจอมากิ เธอไม่เคยรู้มาก่อนว่าทั้งคู่สนิทสนมกัน
“มากิมาเยี่ยมคุณรบค่ะ แต่เดี๋ยวจะกลับแล้วล่ะค่ะ เอ่อ งั้นขอตัวเลยนะคะ”
มากิวางตัวไม่ถูกเมื่อต้องอยู่ต่อหน้าอัลยา และไม่อยากรู้สึกว่าตัวเองเป็นส่วนเกินจึงขอตัวกลับดื้อๆ เสียอย่างนั้น
“โอ๊ยยยย”
อยู่ๆ พลรบก็แหกปากขึ้นมา ทำให้คนที่กำลังเปิดประตูออกไปรีบวิ่งเข้ามาดูอาการข้างเตียง
“คุณรบเป็นอะไรไปคะ เจ็บตรงไหนเดี๋ยวเราเรียกหมอให้นะคะ”
“ไม่เป็นไรครับ ผมไม่เป็นไร”
และระหว่างที่มากิหันไปกดปุ่มเรียกหมอ พลรบก็รีบขยิบตาให้อัลยา เป็นอันเข้าใจกันในทันที
“เราออกไปตามหมอให้นะรบ”
อัลยาอาสา
“มากิไปตามเองดีกว่าค่ะ พี่หยาอยู่เป็นเพื่อนคุณรบเถอะค่ะ”
ไม่ทันได้เกี่ยงกันจบประโยค หมอณพเจ้าของไข้ และเพื่อนของทั้งคู่ก็เข้ามาตรวจดูอาการของพลรบ เมื่อเห็นว่าไม่มีอะไรมากนัก หมอก็ขอตัวไปดูแลคนไข้คนอื่น
“นี่ก็สายมากแล้ว รบจ๊ะ เราคงต้องกลับแล้วล่ะ ต้องกลับไปรายงานตัวที่สามเจ็ดสอง กว่าจะเดินทางไปถึงที่นั่น จะค่ำมืดเสียก่อน”
เพื่อนสาวหาข้ออ้างที่จะให้พลรบกับมากิได้อยู่กันตามลำพัง
“ไม่เป็นห่วงกันเลยเหรอ”
พลรบแกล้งทำเสียงอ้อน เผื่อว่าจะทำให้มากิแสดงความรู้สึกอะไรออกมาบ้าง
“เป็นห่วงสิ แต่เท่าที่ดูอาการแล้วอีกสองสามวันก็วิ่งปร๋อได้แล้ว ไกลหัวใจขนาดนี้พลรบไม่ตายง่ายๆ หรอก เรารู้”
“ก็อยากให้มีคนเป็นห่วงบ้าง”
“มากิคะ พี่ไม่รู้ว่าจะเป็นการรบกวนจนเกินไปมั้ย ถ้าจะขอร้องให้มากิอยู่ดูแลพลรบสักระยะหนึ่ง พี่ต้องกลับอินทนิลแล้ว”
ไม่อ้อมค้อมตามประสาทหารไทย กระชับ ฉับไวได้ใจความ จนมากิอึ้งไม่นึกว่าจะถูกโยนระเบิดกันจะๆ แบบนี้
“นะครับมากิ”
“ค่ะ”
เท่านั้นเองที่ทำให้เพื่อนสองคนแอบสบตากัน และอัลยาขอตัวกลับ
“ดูแลตัวเองนะรบ แล้วเราจะโทร. มาถามความคืบหน้าเรื่อยๆนะ ฝากกราบลาคุณพ่อคุณแม่ด้วยนะ”
“ขอให้ทุกเรื่องผ่านไปด้วยดีล่ะ”
พลรบเข้าใจตัวเองแล้วว่าความรู้สึกแบบเพื่อนเป็นอย่างไร และเมื่อพ้นเขตโรงพยาบาลออกมา สิ่งที่อัลยาครุ่นคิดไม่ใช่เรื่องอาการของพลรบ เพราะเธอรู้ว่าอีกไม่นานเขาจะหายดี..บาดเจ็บเท่านี้ ไม่ทำให้ชายหนุ่มท้อแท้ หรือยอมแพ้กับสิ่งที่เลือกแล้วแน่นอน แต่สิ่งที่อัลยาหนักใจมากกว่าก็คือ จะทำยังไงให้สัตวแพทย์หนุ่มจอมวีนแห่งป่าอินทนิลหายโกรธ...
เรื่องราวที่เกิดขึ้น อัลยาไม่คิดเลยว่ามันจะร้ายแรงถึงกับทำให้เขาหุนหันออกจากบ้านไปแบบนั้น ทศพรรษไม่ฟังใคร และดูท่าทาง ไม่คิดจะฟังเสียด้วย แล้วอย่างนี้จะง้อยังไงล่ะเนี่ย เอาปืนจ่อขมับจับไขว้หลังให้ยอมยกโทษแต่โดยดี หรือจะใช้มารยาพันแปดร้อยเล่มเกวียนที่มีอยู่กอดขา ขอร้องดีล่ะ...
หลังจากที่อัลยาพ้นประตูห้องพักผู้ป่วยออกไป พลรบก็เริ่มยิงคำถามที่สงสัยอยู่ทันที
“คุณมากิทราบได้ยังไงครับว่าผมเข้าโรงพยาบาล”
“มากิโทรศัพท์ไปหาคุณรบน่ะค่ะ”
“อ๋อ คุณมากิน่ะเอง ที่ผมไม่ได้รับโทรศัพท์ พอดีกำลังซ่อมรถอยู่น่ะครับ มือเปื้อนน้ำมันเครื่องไม่อยากหยิบมือถือ ก็เลยให้ลูกน้องรับสายแทน เอ๊ะ แต่วันนั้นยังไม่เกิดเรื่องนี่ครับ”
“มีคนโทรศัพท์มาบอก เพราะว่ามากิส่งข้อความเข้ามือถือคุณรบ เขาก็เลยโทร.มา ตามเบอร์จากข้อความน่ะค่ะ”
“น่าจะเป็นลูกน้องผม เขายังเดินทางมาไม่ถึงเลย โทรศัพท์มือถือผมก็อยู่ที่เขาด้วย อยากรู้จังว่าคุณมากิส่งข้อความไปว่าอะไร”
“อืมม์ ที่จริงมากิมีเรื่องอยากจะบอกคุณรบ เป็นเรื่องที่อาจจะทำให้มิตรภาพของเราขาดสะบั้นลง คุณรบอาจจะไม่อยากเจอมากิอีกเลยตลอดชีวิต”
“เรื่องที่ทำให้ผมไม่ต้องการเจอใครบางคนตลอดชีวิตได้ ถ้าไม่เพราะมีใครตาย ครอบครัวเดือดร้อน หรือประเทศชาติล่มจม ก็ไม่ถือว่าเรื่องใหญ่สำหรับผมหรอกครับ”
มากิเบาใจลงเมื่อได้ยินประโยคนี้ อย่างน้อยเธอก็คิดว่าเขาน่าจะไม่โกรธมาก เพราะไม่ได้ทำให้ใครตาย ประเทศชาติก็ไม่ได้ล่มจม ครอบครัวก็ไม่ได้เดือดร้อนด้วย
“สัญญากับมากิแล้วนะคะว่าจะไม่โกรธ”
“มีไม่กี่คนในโลกหรอกครับที่ทำให้ผมโกรธได้”
“แต่...”
“เอางี้มั้ย ถ้าหากไม่สบายใจที่จะบอกก็ไม่ต้องบอก ผมน่ะ ไม่สนใจหรอกนะว่าคุณจะมีความลับอะไรปิดบังไว้... ที่ผมสนใจก็แค่ความรู้สึกของคุณเท่านั้นแหละ”
“แต่มากิก็ไม่สบายใจหรอกนะคะ บางเรื่องที่เราเองก็รู้ดีแก่ใจว่าทำอะไรไป”
“เอ้า ถ้าอย่างนั้นก็นั่งลงเถอะ แล้วก็คุยกัน”
“ที่คุณรบไปอินทนิล เพราะว่าคุณรบเป็นคนรักกับพี่หยาเหรอคะ”
“ไหนบอกมีเรื่องจะบอก ไหงกลายเป็นมีเรื่องมาถามเสียงั้นล่ะ”
“ก็ต้องมีเกริ่นๆ กันบ้าง”
“ฮ่าๆ เจ้าคารมจริง สมแล้วที่เป็นนักเขียน... เอ๊ะ ว่าแต่เป็นนักเขียนแล้วเป็นสัตวแพทย์ด้วยน่ะเหรอ”
“ไม่ใช่ค่ะ มากิเป็นนักเขียนอย่างเดียว ไม่ได้เป็นสัตวแพทย์”
“อีกทีซิ”
“ค่ะ มากิเป็นนักเขียน”
“แล้วเรื่องที่อินทนิล”
“มากิแค่คิดว่าคงไม่เป็นไร เพราะคิดว่าไม่นานคุณรบก็คงกลับและเราก็คงไม่ได้เจอกันอีก เพราะมากิก็ต้องกลับเหมือนกัน โอกาสที่จะได้พบกันอีกคงไม่มีแล้ว แต่มากิคิดตื้นไป”
“ทำไมเงียบไปล่ะคะ... คุณรบโกรธมากิแล้วใช่หรือเปล่าคะ”
“ผมว่าคนเราทุกคนย่อมมีเหตุผลในการทำหรือไม่ทำอะไรบางอย่าง บางทีคุณมากิอาจจะมีเหตุผลที่ต้องทำอย่างนั้น และผมก็ดันเข้าไปอยู่ในเหตุการณ์พอดี ผมว่าคุณมากิก็คงไม่ได้ต้องการจะโกหกหรือทำให้ใครเข้าใจผิด เพียงแต่อาจจะจำเป็นต้องทำอย่างนั้น”
นอกจากเทวดาแล้วก็คงไม่มีใครรู้ว่าทำไมพลรบถึงตอบไปแบบนั้น... เขารักมากิกระทั่งยอมให้อภัยเธอง่ายๆ หรือก็น่าจะไม่ เพราะสัมพันธภาพของทั้งคู่เกิดขึ้นเพียงไม่กี่วัน นับแล้วก็ไม่กี่ชั่วโมง พลรบไม่เชื่อว่าเป็นความรักนอกจากรู้สึกดีๆ
“คุณรบยังค้างคำตอบมากิอยู่นะคะ”
“ถามว่า”
“ไม่ทันไรก็ลืมเสียแล้ว”
“ก็เพราะว่ามันเป็นคำถามที่ไม่มีความสำคัญในคำตอบ จึงเลือกไม่ตอบดีกว่า”
“งั้นแปลว่าไม่โกรธมากิแล้วใช่มั้ยคะ”
“ถ้าไม่มีครั้งที่สองน่ะนะ”
ดูเหมือนความหม่นมัว อึมครึม ของมิตรภาพระหว่างมากิกับพลรบจะคลี่คลายลงไปบ้างแล้ว ท้องฟ้าที่เหมือนฝนกำลังจะตกอยู่ตลอดเวลาของมากิ ก็สดใสขึ้น ตลอดหลายวันที่ผ่านมา ตั้งแต่พูดโกหกกับพลรบ มาจนถึงวันที่ได้บอกความจริงกับเขานั้นหัวใจของมากิ หนักอึ้งเหมือนแบกภูเขาไว้ทั้งลูก...
การที่ใครบางคน “ให้อภัย” มันสบายใจอย่างนี้นี่เอง
ท้องฟ้าของมากิแจ่มใส และความหนักอึ้งในหัวใจของอัลยาไม่ได้คลายลงไปเลย หลังจากที่เดินทางกลับถึงสามเจ็ดสองรายงานตัว และให้จ่าสิทธิ์ไปส่งที่อินทนิล ประโยคแรกที่ต้อนรับการกลับมาของเธอคือ
“มาทำไม”
น้ำเสียงงอนสุดฤทธิ์
“โอ้.. ถามแปลกมาทำไม ก็มาทำงานสิคะคุณก็”
หมอสัตว์ป่าเถียงไม่ออก นอกจากนิ่งเงียบ หญิงสาวเองก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรมากไปกว่านั้นแล้ว ณ นาทีนั้น เธอไม่แน่ใจในความรู้สึกของเขา