ดูตัวอย่างง่ายๆคือร่างกายของเราเอง ซึ่งถ้ามองอย่างผิวเผิน มันก็มีตัวตนให้พบเห็นหรือรับรู้ได้จริงๆ
แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้งแล้วก็จะพบว่า แท้จริงมันไม่ได้มีร่างกายของเราหรือของใครๆจริงๆเลย
เพราะร่างกายก็คือการที่รูปธาตุ ๔ (คือของแข็ง ของเหลว ความร้อน ก๊าซ) มาประชุมหรือร่วมกันปรุงแต่งจนเกิดเป็นร่างกายขึ้นมา
นี่คือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างสิ่งมายาหรือสิ่งหลอกลวงขึ้นมาหลอกลวงทุกชีวิตให้เห็นว่ามีตัวตนของร่างกายจริงๆ ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไมได้มีอยู่จริง
สิ่งที่บ่งบอกว่าร่างกายไม่ได้มีอยู่จริงก็คือความไม่เที่ยงของร่างกาย คือร่างกายทั้งหลายล้วนกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และไม่ช้าก็เร็วร่างกายก็ต้องแตกสลาย(หรือตาย)ไปอย่างแน่นอน
ถ้าสมมติว่าจะมีร่างกายของมันเองอยู่จริงๆแล้ว ร่างกายนี้จะต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่มีการแตกสลายอย่างเด็ดขาด (คือจะไม่ตายหรือจะเป็นอมตะ) ไม่ว่าจะมีอะไรมาทำลายก็ตาม หรือไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปสักเท่าใดก็ตาม
เมื่อเข้าใจว่าร่างกายเป็นมายาดังนี้แล้ว ก็จะมองเห็นว่าร่างกายนี้เป็นสิ่งที่บอบบางเป็นอย่างยิ่ง (เหมือนฟองสบู่) เพราะมันสามารถที่จะแตกสลายได้ทุกขณะถ้ามีเหตุปัจจัยภายนอกมาทำลาย (เช่น อุบัติเหตุ หรือโรคร้ายต่างๆ เป็นต้น) หรือแม้ขณะที่ยังไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกมาทำลาย อวัยวะต่างๆของร่างกายก็ยังมีความเสื่อมอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
เมื่อมองเห็นความจริงเช่นนี้อย่างแรงกล้า (คือด้วยสมาธิ) ก็จะทำให้ความยึดถือว่าร่างกายนี้จะเป็นตัวตนของเรา (รวมทั้งของคนอื่นด้วย) จางคลายลง แล้วความทุกข์ของจิตใจก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย และถ้าสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จนสังโยชน์ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ความทุกข์ใจก็จะดับหายไปได้อย่างถาวร
นี่คือการปฏิบัติตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า เพื่อดับทุกข์โดยสรุปนั่นเอง
สิ่งปรุงแต่งคือมายาแสนมหัศจรรย์ของธรรมชาติ
แต่ถ้ามองอย่างลึกซึ้งแล้วก็จะพบว่า แท้จริงมันไม่ได้มีร่างกายของเราหรือของใครๆจริงๆเลย
เพราะร่างกายก็คือการที่รูปธาตุ ๔ (คือของแข็ง ของเหลว ความร้อน ก๊าซ) มาประชุมหรือร่วมกันปรุงแต่งจนเกิดเป็นร่างกายขึ้นมา
นี่คือความมหัศจรรย์ของธรรมชาติที่สร้างสิ่งมายาหรือสิ่งหลอกลวงขึ้นมาหลอกลวงทุกชีวิตให้เห็นว่ามีตัวตนของร่างกายจริงๆ ทั้งๆที่ความจริงแล้วมันไมได้มีอยู่จริง
สิ่งที่บ่งบอกว่าร่างกายไม่ได้มีอยู่จริงก็คือความไม่เที่ยงของร่างกาย คือร่างกายทั้งหลายล้วนกำลังเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลา และไม่ช้าก็เร็วร่างกายก็ต้องแตกสลาย(หรือตาย)ไปอย่างแน่นอน
ถ้าสมมติว่าจะมีร่างกายของมันเองอยู่จริงๆแล้ว ร่างกายนี้จะต้องไม่มีการเปลี่ยนแปลงและไม่มีการแตกสลายอย่างเด็ดขาด (คือจะไม่ตายหรือจะเป็นอมตะ) ไม่ว่าจะมีอะไรมาทำลายก็ตาม หรือไม่ว่ากาลเวลาจะผ่านไปสักเท่าใดก็ตาม
เมื่อเข้าใจว่าร่างกายเป็นมายาดังนี้แล้ว ก็จะมองเห็นว่าร่างกายนี้เป็นสิ่งที่บอบบางเป็นอย่างยิ่ง (เหมือนฟองสบู่) เพราะมันสามารถที่จะแตกสลายได้ทุกขณะถ้ามีเหตุปัจจัยภายนอกมาทำลาย (เช่น อุบัติเหตุ หรือโรคร้ายต่างๆ เป็นต้น) หรือแม้ขณะที่ยังไม่มีเหตุปัจจัยภายนอกมาทำลาย อวัยวะต่างๆของร่างกายก็ยังมีความเสื่อมอยู่ตลอดเวลาอีกด้วย
เมื่อมองเห็นความจริงเช่นนี้อย่างแรงกล้า (คือด้วยสมาธิ) ก็จะทำให้ความยึดถือว่าร่างกายนี้จะเป็นตัวตนของเรา (รวมทั้งของคนอื่นด้วย) จางคลายลง แล้วความทุกข์ของจิตใจก็จะลดน้อยลงตามไปด้วย และถ้าสามารถปฏิบัติได้เช่นนี้อย่างต่อเนื่องเป็นเวลานานๆ จนสังโยชน์ได้ถูกทำลายลงอย่างสิ้นเชิง ความทุกข์ใจก็จะดับหายไปได้อย่างถาวร
นี่คือการปฏิบัติตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า เพื่อดับทุกข์โดยสรุปนั่นเอง