การ อนุมาน จากข้อมูลอันเป็นเท็จ เรียกว่า ตรรกะ(บือ)

กระทู้สนทนา
มิใช่จะแกล้งว่า หรือ "ดูถูก" อะไรหรอก นะครับ แต่ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า เมื่อเห็นการ "ตีฝีปาก"
แทนการโต้แย้งด้วยเหตุผล และหลักฐาน (อย่างที่บัณฑิตพึงกระทำ) ของ คนถ่อย อย่าง คันโตนาซี แล้ว ก็ได้แต่นึกสมเพชเวทนาในใจ

ใจความหลักที่สนทนาโต้แย้งกันมานาน ก็คือ พวกเม็ดมะขาม มีความพยายามอย่างยิ่งที่จะให้มี สัตว์ บุคคล ฯลฯ
ในฐานะผู้เกิด ผู้ตาย หรือ ผู้เวียนว่ายตายเกิดในปฏิจจสมุปบาท ในฐานะ "ความเห็นชอบ" ในพระพุทธศาสนา
ทั้งๆ ที่ในความเป็นจริงแล้ว มันเป็นเพียงแค่ "ความเห็นผิด" ฝ่ายสัสสตทิฐิ ของอัญเดียรถีย์ ต่างหาก !

ขอให้ท่านทั้งหลายจงพิจารณา ข้อโต้แย้งโง่ๆ ของ คันโตนาซี ดังต่อไปนี้



ประเด็นที่ ๑

คันโตนาซี ได้ให้การ "ภาคเสธ" ดังนี้ว่า (๑) คันโตนาซีและพวก ยังกล่าวถึงสมมุติโดยความยึดติดถือมั่นด้วยอัตตาตัวตนอยู่
(๒) คันโตนาซี อ้างว่า แม้เขาจะมีความเข้าใจ(?) แต่เมื่อยังไม่เป็นอริยบุคคล จึงยังมีความยึดติดถือมั่นอยู่

ในข้อแรก ที่คันโตนาซี อ้างว่า มันและพวก "ยังกล่าวถึงสมมุติโดยความยึดติดถือมั่นด้วยอัตตาตัวตนอยู่"
นี้ย่อมเท่ากับเป็นการกล่าว "ยืนยัน" ด้วยตนเองแล้วนะครับว่า แกและพวก เป็น สัสสตทิฐิ โดยกำพืด
ดังนั้น ถ้าสหายร่วมบาปตนใดของ คันโตนาซี ต้องการแย้งความข้อนี้ว่า แก มิได้เป็น สัสสตทิฐิ ก็จงรีบแสดงตัวโดยพลัน นะครับ !

ส่วนในข้อที่ ๒ นั้น คันโตนาซี อ้างว่าตนกล่าวถึงสมมุติเหล่านั้น ด้วยความ "เข้าใจ" ความข้อนี้ เป็นการกล่าว "แก้ตัว" ที่ไม่ตรงกับความจริงนี่ครับ
เพราะถ้า คันโตนาซี และพวก กล่าวถึงสมมุติด้วยความเข้าใจจริงๆ ว่านั่นเป็นเพียงสมมุติบัญญัติ ไม่มีสภาวะที่แท้จริงในระดับปรมัตถ์ แล้วเหตุใด
แกและพวก จึงพยายามยืนยันว่า การกล่าวว่ามี สัตว์ บุคคล ฯ ในฐานะ ผู้เกิด ผู้ตาย เป็นความเห็นชอบในพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่มันเป็นความเห็นผิด

การกล่าวยืนยันในทิฐิความเห็นผิดแบบนั้น จะเรียกว่าเป็นความเข้าใจได้อย่างไร ?

ผมเห็นว่า เมื่อเป็นผู้มีความเห็นผิด ก็จง "แก้ไข" ให้มันถูกต้องเสีย โดยละเว้นการ "แก้ตัว" แบบน้ำขุ่นๆ
ด้วยการ "ตีฝีปาก" อย่างโง่ๆ ซึ่งไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ในทางดับทุกข์ จะเป็นการดีกว่า ไหมครับ ?

********************************************************************************************

ประเด็นที่ ๒

คันโตนาซี พยายาม "ตีฝีปาก" ยอกย้อนในทำนองว่า ผม(จ้าวนครเมฆขาว) อาศัยอะไร จึงกล้ายืนยันว่า กล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ
โดยปราศจาก ความสำคัญมั่นหมาย ว่าเป็น อัตตา ตัวตน เพราะถ้าอ้างเช่นนั้น ก็เท่ากับกล่าวว่า ตนเองเป็นพระอรหันต์ เช่นกัน !

ประการแรก ผม(จ้าวนครเมฆขาว) ขออนุญาตกล่าวตามตรงว่า ................
ผมไม่เคยยืนยันเอาไว้ในที่ใดเลยว่า ผมกล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ ด้วยความไม่สำคัญมั่นหมายว่าเป็นอัตตาตัวตน
แต่ผมกล่าวตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ในทุกๆ ครั้ง ที่กล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ ว่านั่นเป็นเพียงสมมุติ ไม่มีอยู่จริงในระดับปรมัตถ์

ก็ในเมื่อผมไม่เคยกล่าวยืนยันถึง มรรคผล ของตนเลยแม้สักครั้งว่า หมดความยึดติดถือมั่นในอัตตาตัวตน
แล้วมันจะมีความหมายว่า ผม กล่าวอวดอ้างว่าตนเป็นพระอรหันต์ ไปได้อย่างไร เล่าครับ ?

ในทางกลับกัน คันโตนาซีและพวก กล่าวอ้างมาโดยตลอดว่า มี สัตว์ บุคคล ในฐานะ ผู้เกิด ผู้ตาย อยู่จริง
และนี่เป็นความเห็นชอบในพระพุทธศาสนา โดยอ้างว่า พระอรหันต์ ก็กล่าวถึง การเวียนเกิดเวียนตายนี้ เช่นกัน

กรณีอย่างนี้ต่างหาก ที่เป็นการแอบอ้างตนว่าเป็นพระอรหันต์ เพราะ คันโตนาซี เห็นว่า พระอรหันต์กล่าวอย่างนี้ได้
พวกแก ก็สามารถกล่าวแบบนี้ได้เช่นกัน ในฐานะผู้เป็นสัมมาทิฐิ ทั้งๆ ที่มีความแตกต่างกันอยู่ว่า
พระอรหันต์ กล่าวด้วยความไม่ยึดติดถือมั่น แต่พวกแกกล่าวด้วยความยึดติดถือมั่นว่าเป็น อัตตาตัวตน !

พฤติกรรมของ คันโตนาซี มันเข้าตำรา "เห็นช้างขี้ ขี้ตามช้าง" นี่ครับ

เพราะเหตุที่ ผม และ ชาวพุทธเถรวาททั้งหลาย มิได้สำคัญตนว่า "สูงส่ง" เสียจนสามารถ "ตีเสมอ" พระอรหันต์ได้
ดังนั้น ผม จึงกล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ โดยกำกับ "สภาวะ" ตามความเป็นจริงระดับปรมัตถ์ เอาไว้เสมอว่า นั่นเป็นเพียงสมมุติ
เพื่อเตือนตน และเตือนชาวพุทธท่านอื่นๆ ว่าอย่าได้เข้าใจผิดเป็นอันขาดว่า สัตว์ บุคคล เหล่านั้นมีอยู่จริง ในฐานะ ผู้เกิด ผู้ตาย
ด้วยความระลึกอยู่เสมอว่า เราจะไปตีตัวเสมอ "พระอรหันต์" ไม่ได้

เพราะท่านเหล่านั้น หมดความยึดติดถือมั่นแล้ว แม้ท่านกล่าว สมมุติกถา ท่านก็กล่าวโดยปราศจากความยึดติดถือมั่น
แต่เราเป็นปุถุชน จะไปกล่าวตาม "สมมติกถา" ของท่าน แล้วอ้างตนว่าเป็น สัมมาทิฐิ เทียบเทียมกับท่าน นั้นไม่ได้ !

ทั้งหมดนี้ เป็นสิ่งที่เรียกว่า "ข้อเท็จจริง" ซึ่งแตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด
ระหว่างผม ชาวพุทธเถรวาท กับ คันโตนาซี และ สหายร่วมบาป

ชัดเจน ไหมครับ ?

********************************************************************************************

ประเด็นที่ ๓

ผมได้เห็นคำโต้แย้งของ คุณ เมตเตรย และ คุณ คนดู แล้วก็เห็นพ้องด้วยว่า เป็นคำโต้แย้งที่สมเหตุผลแล้วอย่างบัณฑิต
ขออนุโมทนา เอาไว้ ณ ที่นี้ด้วยความนับถืออย่างยิ่ง

แต่พอเห็นข้อโต้แย้งของ คันโตนาซี ก็ได้แต่ทอดถอนใจว่า มันยังโง่ได้อีก(เนอะ)



ขออนุญาต กล่าวสรุป เฉพาะใจความสำคัญ ล็อกอิน คันโตนาซี กล่าวแย้งในทำนองว่า เขา "ก็แค่ย้อนตรรกะเดิมไปใช้เท่านั้นเอง"

เรื่อง "ตรรกะ" นี้นับได้ว่า น่าเอือมระอา เป็นอย่างยิ่ง โดยเฉพาะเมื่อต้องกล่าวกับคนโง่ๆ แต่มักชอบอวดฉลาด อย่างคันโตนาซี
ก็ คันโตนาซี จะมาย้อนตรรกะของผมได้อย่างไร ในเมื่อพื้นฐานข้อเท็จจริง ระหว่างผม(จ้าวนครเมฆขาว) กับ แก(คันโตนาซี) มันเป็นคนละชุดกัน

ตัวอย่างง่ายๆ ก็เช่น ในขณะที่ คันโตนาซี และพวก พยายามยืนยันมาโดยตลอดว่า สัตว์ บุคคล ฯลฯ สามารถเกิดตายข้ามภพข้ามชาติได้จริง
แต่ผม กับชาวพุทธเถรวาททั้งหลาย กล่าวอย่างชัดแจ้งว่า การเกิด การตาย นั้นมีอยู่จริง แต่ผู้เกิด ผู้ตาย ไม่มีอยู่จริง

สรุปง่ายๆ ก็คือ ผมกล่าว "ข้อเท็จจริง" ตาม "หลักการ" ที่พระพุทธเจ้าตรัสสอน
ในขณะที่ คันโตนาซี กล่าวตาม "อัตตโนมัติ" ของตน อันเนื่องด้วย ตัณหา อุปาทาน

เมื่อข้อเท็จจริงขั้นพื้นฐาน มันคนละชุดกัน แล้วจะมาด่วนสรุปด้วย สมุฏฐานเดียวกัน ได้อย่างไรครับ ?

อธิบายอีกแบบหนึ่ง ก็คือ ก็ในเมื่อ "ข้อมูล" ที่เป็นข้อเท็จจริง ต่างกัน จึงสามารถกล่าวได้ว่า
คันโตนาซี กำลังทำการ "อนุมาน" อยู่บนพื้นฐานของ "ความเท็จ"
ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย ที่เราจะสามารถได้ "ความจริง" จากกระบวนการที่ "ผิดพลาด" แบบนั้น
เพราะโดยหลักตรรกะแล้ว แม้แต่การอนุมานจากความจริง ยังมิอาจรับประกันได้เลยว่า จะได้ผลลัพธ์เป็น "ความจริง"

การอนุมานจาก "ความเท็จ" จึงเป็นสิ่งที่แม้แต่ อัญเดียรถีย์ผู้มีปัญญา เขายังไม่ทำกัน
แต่ก็น่าแปลก ที่บุคคลผู้ซึ่งอ้างตัวว่าเป็นชาวพุทธ อย่าง คันโตนาซี กลับพยายามทำในเรื่องโง่ๆ แบบนั้น !

น่าทุเรศ ไหมล่ะ ?

ขออนุญาต กล่าวโดยสรุป ดังนี้ว่า สิ่งที่ คันโตนาซี อวดอ้างว่าเป็น ตรรกะ หรือ การย้อนตรรกะ อะไรนั่น
แท้ที่จริง มันก็เป็นเพียง การกล่าวหาผู้อื่น ด้วยเหตุผลโง่ๆ ของนักตีฝีปากชั้นต่ำ เท่านั้นเอง
มันมิได้เป็น "ข้อความ" ที่ประกอบไปด้วย ตรรกะ เหตุผล อะไร ตามที่อวดอ้างมานั่นหรอก

อีกทั้ง "ความจริง" ตามที่ปรากฏอยู่จริง ก็คือ ในขณะนี้ ชาวพุทธทั้งหลาย ย่อมทราบเป็นอย่างดีแล้วว่า

คันโตนาซี เป็นเพียงแค่ ปุถุชนขี้เหม็น



เป็นปุถุชน กิเลสหนาธรรมดา



แต่ที่ คันโตนาซีอ้างว่า "ไม่เคยกล่าวตู่พระพุทธเจ้า" นั้นไม่เป็นความจริง นี่ครับ



และเมื่อใดที่ คันโตนาซี กล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ ก็เป็นการกล่าวด้วยความยึดติดถือมั่นใน อัตตาตัวตน เสมอ



กล่าวโดยสรุป ก็คือ คันโตนาซี เป็นเพียงแค่ ปุถุชนมิจฉทิฐิ ฝ่าย สัสสตทิฐิ ที่อิงแอบ ความเป็นชาวพุทธตามทะเบียนบ้าน
แต่กลับยกตน อาจเอื้อม ตีเสมอพระอรหันต์ ด้วยความ "หลงผิด" คิดว่าตนเองเป็น สัมมาทิฐิ เหมือนท่าน

ที่น่าสมเพช ยิ่งไปกว่านั้น ก็คือ ไอ้มิจฉาทิฐิตนนี้นี่แหละ ที่บังอาจกล่าวออกมา อย่างหน้าตาเฉยว่า
มัน "ด่า" พระมหาเถระ อย่างท่านพุทธทาส "จนเบื่อ" แล้ว



คำถาม ก็คือ มิจฉาทิฐิ อย่างมัน
จะมี "น้ำหน้า" อะไร มาวิพากษ์วิจารณ์ พระมหาเถระ ผู้ทรงภูมิรู้ภูมิธรรม อย่างท่านพุทธทาส ?



เกมมันจบแล้ว นะครับ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่