ในอันที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า สัมมาทิฐิระดับโลกียะในพระพุทธศาสนา
นั้นต้องหมายถึง การมีความคิดความเชื่ออย่าง "ถูกต้อง" ว่า ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว นั้นมีอยู่จริง
โดยที่วิบากผลนั้นย่อมส่งผลแก่ขันธ์ มิใช่ "เมาหมก" เข้าใจอย่างผิดๆ ว่ามีการส่งผลให้แก่ นาย ก. นาย ข.
ตามที่ ล็อกอิน ชาวมหาวิหาร เข้าใจอย่างผิดๆ และพยายามจะดึงดันให้ได้ว่า ความเชื่อโง่ๆ นั้นถูกต้อง
แทนที่เมื่อทราบข้อเท็จจริงว่า การแสดงความเห็นโง่ๆ นั้นเป็นความผิด ที่จำต้องแก้ไขให้ถูกต้อง
ตรงตามพระดำรัสที่ปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้ง จาก มหาจัตตารีสกสูตร มันก็ไม่ทำ !
แต่กลับพยายาม "แถกแถ" จะให้ความเห็นผิดของพวกมัน กลายเป็นความเห็นถูกให้จงได้(อย่างไม่สมควร)
ท่านปยุตโต ได้อธิบายความว่า มันเป็นธรรมดาอย่างยิ่งสำหรับผู้เป็น "ปุถุชน"
ที่ย่อมมีความยึดถือใน "ตัวตน" อย่างเหนียวแน่น กล่าวคือ มันย่อมถือเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในขันธ์ ๕ นี่แหละเป็นตัวเป็นตนของมันเสมอ ในทุกๆ ครั้ง ที่คิด พูด หรือ ทำ
เมื่อกล่าวอย่างนี้ พวกเม็ดมะขาม เขาก็จะเถียงคอเป็นเอ็น ในทำนองว่า เขารู้อยู่แล้วว่า อัตตา ตัวตน
จนแม้แต่ สัตว์ บุคคล เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หากแต่มันเป็นเพียงแค่ สมมุติ แต่ประเด็นปัญหา ก็คือ
การที่นายคนนี้ พยายามยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทำนองว่า หาก ตัวมัน เป็นคนทำกรรม
ก็ต้องเป็น ตัวของมัน นั่นแหละที่เป็นผู้รับผลแห่งการกระทำนั้น
ดังนั้น สิ่งที่พึงพิจารณาได้ โดยไม่ยาก จากคำพูดดังกล่าว ก็คือ
(๑) นั่นเป็นการพูดโดยมี อัตตานุทิฐิ ความตามเห็นว่าเป็นตัวตน และ อัตตวาทุปาทาน
ความยึดถือสำคัญมั่นหมาย(ขันธ์ ๕) ว่าเป็นตน เป็นพื้นฐานในการคิดการพูด อย่างชัดเจน
(๒) คำพูดโง่ๆ นั้น มิอาจกล่าวได้เลยว่าเป็นสัมมาทิฐิ เพราะขัดกับพุทธพจน์จาก มหาจัตตารีสกสูตร !
ทีนี้ หากนายคนนั้น อยากจะเถียงว่า นั่นเป็นเพียงการพูดโดยสมมุติ แต่เขาก็มิได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง ก็ยังไม่เห็นสมอยู่ดี
เนื่องจาก เมื่อได้มีการชี้แจงโดยหลักฐานแล้วว่า สัมมาทิฐิ ระดับโลกียะในพระพุทธศาสนา ระบุเพียงว่า
ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว นั้นมีอยู่จริง โดยที่วิบากผลนั้นย่อมส่งผลแก่ ขันธ์ ไม่ใช่ นาย ก. นาย ข. ตามที่มันกล่าวอ้าง
ทั้งนี้ หากนายนั่น กล่าวโดยสมมุติจริง และมิได้มีความยึดติดถือมั่นในสมมุติที่กล่าวนั้น
เขาย่อมจะต้องกล่าวยอมรับตามธรรมว่า แท้ที่จริง วิบากย่อมส่งผลแก่ขันธ์ ตามความจากพระบาลี
จึงจะกล่าวได้ว่า เป็นสัมมาทิฐิระดับโลกียะ ในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง(แต่มันก็ไม่ทำ)
อีกทั้ง ท่านปยุตโต ได้กล่าวอธิบายเอาไว้ว่า การกล่าวโดยสมมุติตามโวหารโลก แต่ไม่มีความยึดถือนั้น
จะมีก็แต่พระอรหันต์เท่านั้น(ที่มีความเป็นไปดังว่า) แต่ถ้าหากเป็น ปุถุชน ผู้บริโภคกามทั้งหลาย
ก็ล้วนแต่กล่าวด้วยความยึดติดถือมั่น ในอัตตาตัวตน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก อวิชชา ตัณหา ด้วยกันทั้งนั้น
หมายความว่า ตราบเท่าที่ นายชาวมหาวิหาร ยังเป็น ปุถุชน อุจจาระเหม็น อย่างที่มันเป็นอยู่นี้
มันก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า ที่มันพูดว่า .................
"ก็ใช่สิครับ ใครทำบุญ หรือบาป คนนั้นก็ต้องรับผลของกรรม คนอื่นจะมารับแทนไม่ได้"
จะมิได้เป็นการพูดด้วยความยึดติดถือมั่นในอัตตา ตัวตน ที่เนื่องมาจาก ตัณหา อวิชชา
ดังนั้น เมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง สมมุติ ให้ถูกต้อง ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
หรือแม้หากต้องการพูดตามโวหารโลก ที่สมมุติพูดกันอยู่แบบนั้น มันก็ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า
ทั้งหมดที่มันกล่าวออกมา เป็นการพูดด้วยสำนวนของพวก สัสสตทิฐิ ที่ยังยึดติดถือมั่นอยู่ใน อัตตาตัวตน
จะมากล่าวยกตัวว่า เป็นสัมมาทิฐิ ในพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ยังเมาหมกเหนียวแน่นอยู่ใน สัสสตทิฐิ มิได้ !
สรุป
จนถึงบัดนี้ พวกเม็ดมะขามทั้งหลาย จะยอมรับความจริง ได้หรือยังครับว่า
ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่จริงใน มหาจัตตารีสกสูตร สัมมาทิฐิ ระดับโลกียะ ในพระพุทธศาสนา
ต้องหมายถึง ผู้ที่มี ความคิดความเชื่อ ที่ว่า ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว นั้นมีอยู่จริง
โดยที่วิบากผลนั้นย่อมส่งผลแก่ ขันธ์ ไม่ใช่ นาย ก. นาย ข. หรือ สัตว์ บุคคล ใดๆ ทั้งสิ้น
หรือว่า จะยัง หน้าด้าน แถกแถ ต่อไปเรื่อยๆ อย่างที่พยายามทำๆ กันอยู่ ?
คริคริ
ธรรมดาว่า ปุถุชน ย่อมมีความยึดถือใน ตัวตน อย่างเหนียวแน่น
ในอันที่จริงแล้ว พระพุทธเจ้าก็ตรัสเอาไว้อย่างชัดเจนว่า สัมมาทิฐิระดับโลกียะในพระพุทธศาสนา
นั้นต้องหมายถึง การมีความคิดความเชื่ออย่าง "ถูกต้อง" ว่า ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว นั้นมีอยู่จริง
โดยที่วิบากผลนั้นย่อมส่งผลแก่ขันธ์ มิใช่ "เมาหมก" เข้าใจอย่างผิดๆ ว่ามีการส่งผลให้แก่ นาย ก. นาย ข.
ตามที่ ล็อกอิน ชาวมหาวิหาร เข้าใจอย่างผิดๆ และพยายามจะดึงดันให้ได้ว่า ความเชื่อโง่ๆ นั้นถูกต้อง
แทนที่เมื่อทราบข้อเท็จจริงว่า การแสดงความเห็นโง่ๆ นั้นเป็นความผิด ที่จำต้องแก้ไขให้ถูกต้อง
ตรงตามพระดำรัสที่ปรากฏอยู่อย่างชัดแจ้ง จาก มหาจัตตารีสกสูตร มันก็ไม่ทำ !
แต่กลับพยายาม "แถกแถ" จะให้ความเห็นผิดของพวกมัน กลายเป็นความเห็นถูกให้จงได้(อย่างไม่สมควร)
ท่านปยุตโต ได้อธิบายความว่า มันเป็นธรรมดาอย่างยิ่งสำหรับผู้เป็น "ปุถุชน"
ที่ย่อมมีความยึดถือใน "ตัวตน" อย่างเหนียวแน่น กล่าวคือ มันย่อมถือเอาอย่างใดอย่างหนึ่ง
ในขันธ์ ๕ นี่แหละเป็นตัวเป็นตนของมันเสมอ ในทุกๆ ครั้ง ที่คิด พูด หรือ ทำ
เมื่อกล่าวอย่างนี้ พวกเม็ดมะขาม เขาก็จะเถียงคอเป็นเอ็น ในทำนองว่า เขารู้อยู่แล้วว่า อัตตา ตัวตน
จนแม้แต่ สัตว์ บุคคล เป็นสิ่งที่ไม่มีอยู่จริง หากแต่มันเป็นเพียงแค่ สมมุติ แต่ประเด็นปัญหา ก็คือ
การที่นายคนนี้ พยายามยืนยันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ในทำนองว่า หาก ตัวมัน เป็นคนทำกรรม
ก็ต้องเป็น ตัวของมัน นั่นแหละที่เป็นผู้รับผลแห่งการกระทำนั้น
ดังนั้น สิ่งที่พึงพิจารณาได้ โดยไม่ยาก จากคำพูดดังกล่าว ก็คือ
(๑) นั่นเป็นการพูดโดยมี อัตตานุทิฐิ ความตามเห็นว่าเป็นตัวตน และ อัตตวาทุปาทาน
ความยึดถือสำคัญมั่นหมาย(ขันธ์ ๕) ว่าเป็นตน เป็นพื้นฐานในการคิดการพูด อย่างชัดเจน
(๒) คำพูดโง่ๆ นั้น มิอาจกล่าวได้เลยว่าเป็นสัมมาทิฐิ เพราะขัดกับพุทธพจน์จาก มหาจัตตารีสกสูตร !
ทีนี้ หากนายคนนั้น อยากจะเถียงว่า นั่นเป็นเพียงการพูดโดยสมมุติ แต่เขาก็มิได้ยึดถือเป็นจริงเป็นจัง ก็ยังไม่เห็นสมอยู่ดี
เนื่องจาก เมื่อได้มีการชี้แจงโดยหลักฐานแล้วว่า สัมมาทิฐิ ระดับโลกียะในพระพุทธศาสนา ระบุเพียงว่า
ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว นั้นมีอยู่จริง โดยที่วิบากผลนั้นย่อมส่งผลแก่ ขันธ์ ไม่ใช่ นาย ก. นาย ข. ตามที่มันกล่าวอ้าง
ทั้งนี้ หากนายนั่น กล่าวโดยสมมุติจริง และมิได้มีความยึดติดถือมั่นในสมมุติที่กล่าวนั้น
เขาย่อมจะต้องกล่าวยอมรับตามธรรมว่า แท้ที่จริง วิบากย่อมส่งผลแก่ขันธ์ ตามความจากพระบาลี
จึงจะกล่าวได้ว่า เป็นสัมมาทิฐิระดับโลกียะ ในพระพุทธศาสนาอย่างแท้จริง(แต่มันก็ไม่ทำ)
อีกทั้ง ท่านปยุตโต ได้กล่าวอธิบายเอาไว้ว่า การกล่าวโดยสมมุติตามโวหารโลก แต่ไม่มีความยึดถือนั้น
จะมีก็แต่พระอรหันต์เท่านั้น(ที่มีความเป็นไปดังว่า) แต่ถ้าหากเป็น ปุถุชน ผู้บริโภคกามทั้งหลาย
ก็ล้วนแต่กล่าวด้วยความยึดติดถือมั่น ในอัตตาตัวตน อันเป็นผลสืบเนื่องมาจาก อวิชชา ตัณหา ด้วยกันทั้งนั้น
หมายความว่า ตราบเท่าที่ นายชาวมหาวิหาร ยังเป็น ปุถุชน อุจจาระเหม็น อย่างที่มันเป็นอยู่นี้
มันก็ปฏิเสธไม่ได้หรอกครับว่า ที่มันพูดว่า .................
"ก็ใช่สิครับ ใครทำบุญ หรือบาป คนนั้นก็ต้องรับผลของกรรม คนอื่นจะมารับแทนไม่ได้"
จะมิได้เป็นการพูดด้วยความยึดติดถือมั่นในอัตตา ตัวตน ที่เนื่องมาจาก ตัณหา อวิชชา
ดังนั้น เมื่อยังเป็นปุถุชนอยู่ ก็มีความจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้อง สมมุติ ให้ถูกต้อง ตรงตามที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้
หรือแม้หากต้องการพูดตามโวหารโลก ที่สมมุติพูดกันอยู่แบบนั้น มันก็ต้องยอมรับความจริงด้วยว่า
ทั้งหมดที่มันกล่าวออกมา เป็นการพูดด้วยสำนวนของพวก สัสสตทิฐิ ที่ยังยึดติดถือมั่นอยู่ใน อัตตาตัวตน
จะมากล่าวยกตัวว่า เป็นสัมมาทิฐิ ในพระพุทธศาสนา ทั้งๆ ที่ยังเมาหมกเหนียวแน่นอยู่ใน สัสสตทิฐิ มิได้ !
สรุป
จนถึงบัดนี้ พวกเม็ดมะขามทั้งหลาย จะยอมรับความจริง ได้หรือยังครับว่า
ตามหลักฐานเท่าที่ปรากฏอยู่จริงใน มหาจัตตารีสกสูตร สัมมาทิฐิ ระดับโลกียะ ในพระพุทธศาสนา
ต้องหมายถึง ผู้ที่มี ความคิดความเชื่อ ที่ว่า ผลวิบากแห่งกรรมดีกรรมชั่ว นั้นมีอยู่จริง
โดยที่วิบากผลนั้นย่อมส่งผลแก่ ขันธ์ ไม่ใช่ นาย ก. นาย ข. หรือ สัตว์ บุคคล ใดๆ ทั้งสิ้น
หรือว่า จะยัง หน้าด้าน แถกแถ ต่อไปเรื่อยๆ อย่างที่พยายามทำๆ กันอยู่ ?
คริคริ