การตายแล้วเกิด การตายแล้วสูญ ที่ถกเถียงกัน เหมือนเส้นด้ายยุ่ง หรือป่าอันรกชัฏ ที่ไม่เห็นทางออกได้เลย ของปุถุชนทั้งหลาย.

การตายแล้วเกิด การตายแล้วสูญ ที่ถกเถียงกัน  เหมือนเส้นด้ายยุ่ง หรือป่าอันรกชัฏ ที่ไม่เห็นทางออกได้เลย ของปุถุชนทั้งหลาย.

    พระอริยะเบื้องต้นผู้มีอินทรีย์ 5 พร้อม ย่อมพ้นจากข้อสงสัย ด้วยมีสัมมาทิฏฐิ ทั้ง 2 แบบ เพราะแจ่มแจ้งด้วยตนเองและโดยปัญญาทราบชัด คลายจากการปรุงแต่งทางจินตมยปัญญา ที่เปรียบเสมือนเส้นด้ายยุ่ง หรือป่าอันรกชัฏ ที่ไม่เห็นทางออกได้เลยนั้นไปได้.

       สัมมาทิฏฐิ 2 แบบดังนี้
       แบบที่ 1  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ   ในพระไตรปิฎกเล่มที่ 14 (จัดให้อ่านง่าย)
------------------------------------------------------------
           [๒๕๗]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญ  ให้ผลแก่ขันธ์
เป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  
            ทานที่ให้แล้ว  มีผล  
             ยัญที่บูชาแล้ว  มีผล  
             สังเวยที่บวงสรวงแล้วมีผล  
             ผลวิบากของกรรมที่ทำดี  ทำชั่วแล้วมีอยู่  
             โลกนี้มี  โลกหน้ามี
              มารดามี  บิดามี  
             สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะมี  
             สมณพราหมณ์ทั้งหลาย  ผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้งเพราะรู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลก  มีอยู่  
นี้สัมมาทิฐิที่ยังเป็นสาสวะ  เป็นส่วนแห่งบุญให้ผลแก่ขันธ์  ฯ
-------------------------------------------------------------
  
   เมื่อกล่าวถึง สัมมาทิฏฐิ แบบที่ 1แล้ว ก็ควรกล่าว มิฉฉาทิฏฐิ ให้ทราบ(ไม่มีมิฉฉาทิฏฐิแบบที่ 1 ที่ 2 ) ดังนี้  
-------------------------------------------------------------
           [๒๕๕]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็มิจฉาทิฐิเป็นไฉน  คือ  ความเห็นดังนี้ว่า  ทานที่ให้แล้ว
ไม่มีผล  ยัญที่บูชาแล้ว  ไม่มีผล  สังเวยที่บวงสรวงแล้ว  ไม่มีผลผลวิบากของกรรมที่ทำดีทำชั่ว
แล้วไม่มี  โลกนี้ไม่มี  โลกหน้าไม่มี  มารดาไม่มีบิดาไม่มี  สัตว์ที่เป็นอุปปาติกะไม่มี
สมณพราหมณ์ทั้งหลายผู้ดำเนินชอบ  ปฏิบัติชอบ  ซึ่งประกาศโลกนี้โลกหน้าให้แจ่มแจ้ง  เพราะ
รู้ยิ่งด้วยตนเอง  ในโลกไม่มีนี้มิจฉาทิฐิ  ฯ
------------------------------------------------------------

     ต่อไปก็กล่าวถึง สัมมาทิฏฐิ แบบที่ 2  สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  ซึ่งอยู่ใน มรรคมีองค์ 8 ดังนี้
----------------------------------------------
           [๒๕๘]  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ก็สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะเป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  เป็นไฉน  ดูกรภิกษุทั้งหลาย  ปัญญา  ปัญญินทรีย์ปัญญาพละ  ธัมมวิจยสัมโพชฌงค์
ความเห็นชอบ  องค์แห่งมรรค  ของภิกษุผู้มีจิตไกลข้าศึก  มีจิตหาอาสวะมิได้  พรั่งพร้อมด้วย
อริยมรรค  เจริญอริยมรรคอยู่นี้แล  สัมมาทิฐิของพระอริยะที่เป็นอนาสวะ  เป็นโลกุตระ
เป็นองค์มรรค  ฯ
           ภิกษุนั้นย่อมพยายามเพื่อละมิจฉาทิฐิ  เพื่อบรรลุสัมมาทิฐิ  ความพยายามของเธอนั้น
เป็นสัมมาวายามะ  ฯ
           ภิกษุนั้นมีสติละมิจฉาทิฐิได้  มีสติบรรลุสัมมาทิฐิอยู่  สติของเธอนั้นเป็นสัมมาสติ  ฯ
          ด้วยอาการนี้  ธรรม  ๓  ประการนี้  คือ  สัมมาทิฐิ  สัมมาวายามะสัมมาสติ  ย่อมห้อมล้อม
เป็นไปตามสัมมาทิฐิของภิกษุนั้น  ฯ
-----------------------------------------------------------------

       ความจริงแล้วสำหรับผู้ปฏิบัติธรรมทั้งหลาย ที่ตรงตามธรรมที่พระพุทธเจ้าตรัสไว้ดีแล้วนั้น แม้จะยังเป็นปุถุชนอยู่ ย่อมข้ามทิฏฐิดังที่ว่า  ตายแล้วเกิด ตายแล้วสูญ ย่อมไม่ปรุงแต่ง ให้เป็นดังเส้นด้ายยุ่ง หรือดังป่ารกชัฏ เพราะใจนั้นมุ่งปฏิบัติตรง ต่อศีล ต่อสมาธิ อันเจริญกรรมฐาม ทั้งแต่ อินทรีย์สังวร อิริยาบถบรรพ อนุสติต่างๆ รวมทั้ง อานาปานุสติ จนถึง สติปัฏฐาน 4 แล้วเจริญปัญญาในมรรคมีองค์ 8. นั้นเอง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่