การเกิดใหม่ อธิบายอย่างไร..?


การเกิดใหม่


คำว่า “ การเกิดใหม่”  นี้  ในหลักพุทธธรรมขั้นปรมัตถ์ไม่มี   แต่มีในการสื่อความหมายของคนทั่วไป  เพราะหากมีการเกิดใหม่  ก็จะต้องมีการตาย  จึงมีคำถามว่า  คำว่า  คนตายหมายถึงอะไรตาย?  คนตายแล้วเกิดหรือไม่?   ถ้าตอบว่าไม่เกิด (ขาดสูญ)   ก็จบลงแค่นั้น แต่ถ้าตอบว่า  คนตายแล้วเกิด  จึงถามต่อไปอีกว่า  อะไรไปเกิด?  ฯลฯ

การตอบคำถามที่ยกมาข้างต้น  หากตอบตามหลักพุทธธรรมก็ตอบได้หลายนัย  

คือ  ตายแล้วเกิด  หมายถึง  กระบวนการที่มีการอิงอาศัยกันเกิดของเหตุปัจจัยตามหลักปฏิจจสมุปบาทเมื่อไม่มีการดับเหตุปัจจัยตัวใดตัวหนึ่ง   มันก็จะหมุนเวียนกันไปเป็นวงจรหรือวงเวียน  เรียกว่า “วัฏฏะ  3”   คือ  เมื่อกิเลส  ก็เป็นปัจจัยให้เกิดกรรม  เมื่อเกิดกรรม  (การกระทำ)  ก็จะต้องมีผลของกรรม  ครั้งครบหนึ่งรอบก็จะหมุนต่อไป  คือ  วิบาก  (ผลของกรรม)  ก็จะเป็นปัจจัยให้เกิดกิเลสอีก  เป็นการเกิดใหม่  ในหลักพุทธธรรมที่แท้นั้นมิใช่วิญญาณล่องลอยจากร่างกายที่ตายแล้วไปเกิดในร่างใหม่  ซึ่งหมายถึงชาติใหม่   แต่วิญญาณในพุทธธรรมนั้นเป็นสิ่งที่เกิดดับได้   ซึ่งมันเป็นอนัตตา  คือ  วิญญาณ  ก็มิใช่ตัวตนที่ถาวร   หรือไม่มีตัวตนเที่ยงแท้  

การเกิดใหม่จึงมิใช่วิญญาณเดิมที่ออกจากร่างเก่าแล้วไปอาศัยร่างใหม่ในชาติใหม่  แต่หมายถึง  วิญญาณมีการสืบต่อจากวิญญาณดวงหนึ่งไปเป็นวิญญาณอีกดวงหนึ่ง   เปรียบได้กับดวงเทียนเล่มหนึ่งมีเปลวไฟลุกอยู่  ต่อมาก็เอาเทียนอีกเล่มหนึ่งมาจุดไฟจากเทียนเล่มแรก   ไฟที่ได้มาจากเล่มเก่านั้นจะ  เรียกว่า  เป็นไฟดวงเก่าไม่ได้  มันก็เป็นไฟดวงใหม่  แต่อาศัยไฟดวงเก่า   แสงเทียนจากเล่มเก่ามาสู่เล่มใหม่

ก็เหมือนกับวิญญาณที่มีการสืบต่อจากเดิมไปสู่วิญญาณดวงใหม่   เหมือนกับพ่อแม่สร้างบุตรธิดา  พ่อแม่ก็ต้องให้เลือดเนื้ออันเป็นร่างกายและให้วิญญาณอันเป็นส่วนของจิตใจจึงเป็นไปตามหลักแห่งปฏิจจสมุปบาท  หรือหลักวัฏฏะ 3  คือ  กิเลส  กรรม  วิบาก  


ดังนั้น  การเกิด หรือการตาย (ดับ)  นั้นก็อยู่กับเหตุปัจจัย  เมื่อยังมีเหตุมีปัจจัยก็มีการเกิด  ครั้นสิ้นเหตุปัจจัยก็ตายหรือดับไป  เช่น  หากสามารถดับกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง ก็จะไม่มีกรรม เมื่อไม่มีกรรมก็ไม่มี วิบาก (คือผลของกรรม)  เพราะปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งดับ  ปัจจัยอื่นก็ดับ  เปรียบได้กับกองไฟการที่จะเกิดเป็นกองไฟที่ลุกโซนได้ก็ต้องอาศัยปัจจัย 3  ประการ  คือ  (1) เชื้อเพลิง (2) ออกซิเจน และ  (3) ความร้อน  ถ้าปัจจัยทั้ง 3  นี้มารวมกันเมื่อใด ก็เกิดเป็นกองไฟได้  และก็จะต้องลุกไหม้ต่อไป  หากปัจจัยทั้ง  3  ยังมีอยู่  ถ้าต้องการที่จะดับไฟก็ต้องกำจัดหรือตัดปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งออกไป  เช่น  ไม่ใส่เชื้อเพลิงเพิ่ม หรือเอาถังมาครอบกองไฟเพื่อไม่ให้มีออกซิเจน  เมื่อแยกเอาปัจจัยอย่างใดอย่างหนึ่งหรือปัจจัยทั้งสามออกจากกัน  ก็จะไม่มีไฟลุกไหม้อีกต่อไป  

ในเรื่องการเกิดหรือการตายของชีวิตมนุษย์ก็เช่นเดียวกับกองไฟนี้  เมื่อมีการประกอบกันของส่วนประกอบสำคัญ  5  ส่วน  คือ  รูปขันธ์  เวทนาขันธ์  สัญญาขันธ์  สังขารขันธ์ และวิญญาณขันธ์  ก็จะเรียกชีวิตหรือ คน  เราใช้ภาษาเป็นสื่อให้เข้าใจกันว่า  “เกิด” เมื่อส่วนประกอบทั้ง  5  ส่วนเหล่านี้ประกอบกันเข้าแล้ว  ก็ทำหน้าที่ควบคุมกันไปได้ระยะหนึ่งเท่านั้น   ในที่สุดส่วนประกอบเหล่านั้นก็จะแยกออกจากกัน   ไม่มีตัวตนเหลือให้เห็นต่อไป  ซึ่งเราใช้ภาษาเป็นสื่อให้เข้าใจว่า  คือ   “ตาย”

ดังนั้น  คำตอบที่ว่าตายแล้วเกิด   จึงหมายเอากระบวนการช่วงหนึ่งที่มีการสืบต่อกันไปเหมือนกับไฟที่ยังไม่สิ้นเชื้อ   ก็จะลุกไหม้ต่อไป  คำตอบอีกอย่างหนึ่งคือตายแล้วไม่เกิดอีก  ก็หมายถึง  การตัดวงจรคือตัดเหตุปัจจัยช่วงใดช่วงหนึ่งได้อย่างสิ้นเชิง  ก็จะไม่มีเหตุปัจจัยที่จะสืบต่ออีกต่อไป  เช่น  ตัดกิเลสได้อย่างสิ้นเชิง  ซึ่งเป็นเหตุปัจจัยช่วงหนึ่งเสีย  กรรมก็จะไม่มี  ไม่เกิดขึ้น หรืออีกนัยหนึ่ง  หยุดไว้แค่ผัสสะ  (การสัมผัส)  ไม่ให้เวทนา (ความรู้สึก) เกิดขึ้น ก็จะไม่เกิดเหตุปัจจัย  ตัวอื่น ๆ  ต่อไป  เมื่อตัดได้แล้วจิตก็เป็นสมาธิ  เมื่อจิตสงบก็สามารถจะพิจารณาสิ่งต่างๆ  ได้อย่างถูกต้อง  ซึ่งเป็นปัจจัยให้เกิดปัญญา  เมื่อจิตสงบจากกิเลส  ตัณหา  อวิชชา  อุปาทานแล้วก็เข้าสู่ภาวะแห่งนิพพาน  คือ  ดับสนิท  หมายถึง  ดับเพลิงกิเลส  อันเป็นกองทุกข์ได้อย่างสิ้นเชิงไม่เกิดอีก  เปรียบได้กับไฟที่สิ้นเชื้อ(เพลิง)  แล้วก็ดับลง

จึงสรุปได้ว่า  การเกิดใหม่  คือ  กระบวนการเปลี่ยนแปลงติดต่อกันไปเรื่อย ๆ  แห่งปรากฏการณ์ของนามรูป  การตาย   คือ  การยุติกระบวนการเปลี่ยนแปลงที่ติดต่อกันแห่งปรากฏการณ์ของนามรูป
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่