ถ้าไม่ยอมรับความจริงว่า "เมื่อจิตตื่น จิตจึงเกิด เมื่อจิตหลับ จิตก็ดับ" ก็จะไม่มีวันเห็นธรรม เพราะนี่คือความจริงของธรรมชาติที่ไม่มีใครจะคัดค้านด้วยเหตุผลได้
เพราะ ความจริงนั้น จิตก็คือ สิ่งที่รู้สึกนึดคิดได้ คือ เมื่อจิตเป็นสิ่งปรุงแต่ง (มาจากวิญญาณขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์) มันก็ต้องมีกการเกิดและดับอยู่เสมอ
การเกิดก็คือการมีความรู้สึกนึกคิด ส่วนการดับก็คือ การไม่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งนี่คือความจริงที่เราทุกคนสามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้ด้วยจิตของเราเองทุกคนโดยไม่ต้องเชื่อจากใคร (แต่ถ้าเชื่อตามคนอื่นหรือเชื่อตามตำราก็จะไม่เห็นความจริงนี้)
ถ้าใครไม่ยอมรับความจริงจุดนี้ก็จะไม่มีวันได้เห็นธรรม (คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเรื่องการดับทุกข์ทั้งหมด) เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการเห็นธรรม
แต่ถ้าใครยอมรับความจริงจุดนี้ นี่ก็จะเป็นจุดเรื่มต้นในการเห็นธรรม เพราะยังมีความจริงที่เราต้องยอมรับอีกมากเมื่อศึกษามากยิ่งขึ้น เมื่อไม่ยอมรับความจริงพื้นฐานนี้เสียแล้ว ก็จะไม่สามารถยอมรับความจริงที่สูงขึ้นหรือลึกซึ้งต่อไปได้ แล้วก็จะกลายเป็นโมฆบุรุษ(บุรุษเปล่าหรือผู้มี่ไม่เห็นธรรม) ไปจนตลอดชีวิต แม้จะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอย่างมากมายแล้วก็ตาม
ถ้าไม่ยอมรับความจริงว่า "เมื่อจิตตื่นจิตจึงเกิด เมื่อจิตหลับ จิตก็ดับ" ก็จะไม่มีวันเห็นธรรม
เพราะ ความจริงนั้น จิตก็คือ สิ่งที่รู้สึกนึดคิดได้ คือ เมื่อจิตเป็นสิ่งปรุงแต่ง (มาจากวิญญาณขันธ์ เวทนาขันธ์ สัญญาขันธ์ สังขารขันธ์) มันก็ต้องมีกการเกิดและดับอยู่เสมอ
การเกิดก็คือการมีความรู้สึกนึกคิด ส่วนการดับก็คือ การไม่มีความรู้สึกนึกคิด ซึ่งนี่คือความจริงที่เราทุกคนสามารถสัมผัสหรือรับรู้ได้ด้วยจิตของเราเองทุกคนโดยไม่ต้องเชื่อจากใคร (แต่ถ้าเชื่อตามคนอื่นหรือเชื่อตามตำราก็จะไม่เห็นความจริงนี้)
ถ้าใครไม่ยอมรับความจริงจุดนี้ก็จะไม่มีวันได้เห็นธรรม (คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าเรื่องการดับทุกข์ทั้งหมด) เพราะนี่คือจุดเริ่มต้นของการเห็นธรรม
แต่ถ้าใครยอมรับความจริงจุดนี้ นี่ก็จะเป็นจุดเรื่มต้นในการเห็นธรรม เพราะยังมีความจริงที่เราต้องยอมรับอีกมากเมื่อศึกษามากยิ่งขึ้น เมื่อไม่ยอมรับความจริงพื้นฐานนี้เสียแล้ว ก็จะไม่สามารถยอมรับความจริงที่สูงขึ้นหรือลึกซึ้งต่อไปได้ แล้วก็จะกลายเป็นโมฆบุรุษ(บุรุษเปล่าหรือผู้มี่ไม่เห็นธรรม) ไปจนตลอดชีวิต แม้จะศึกษาคำสอนของพระพุทธเจ้ามาอย่างมากมายแล้วก็ตาม