พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ หมดกิเลสด้วยญาณทัสสนะของพระธรรมกาย


พระธรรมเทศนาของหลวงพ่อวัดปากน้ำ
คัดมาบางส่วนจาก  
กัณฑ์ที่ ๑ พระพุทธคุณ พระธรรมคุณ พระสังฆคุณ
อ่านเนื้อหาเต็มๆ ได้ที่นี่ http://khunsamatha.com/new/001.html



ขันธ์ ๕ เป็นชื่อของอุปาทาน ถ้าปล่อยขันธ์ ๕ หรือวางขันธ์ ๕ ไม่ได้ก็พ้นจากภพไม่ได้ คงเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในกามภาพ รูปภพ อรูปภพ นี้เอง  มืดมนวนอยู่ในที่มืด คือโลกนี้เอง ได้ในคำว่า อนฺธภูโต อยํ โลโก ซึ่งแปลว่า โลกนี้น่ะมืด ผู้แสวงหาโมกขธรรม ถ้ายังติดขันธ์ ๕ อยู่แล้ว ยังจะพบโมกขธรรมไม่ได้เป็นอันขาด  กายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหม เหล่านี้อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕ กล่าวคือ มนุษย์ เทวดา รูปพรหม อรูปพรหม  เหล่านี้อยู่ในพวกมีขันธ์ ๕ สัตว์ดิรัจฉาน สัตว์นรกก็พวกมีขันธ์ ๕ พวกมืดทั้งนั้น ยิ่งในโลกันตนรก เรียกว่า มืดใหญ่ทีเดียว

                วิชชาที่ว่านี้หมายเอา วิชชา ๓  คือ ๑ วิปัสสนาวิชชา  ๒ มโนมยิทธิวิชชา  ๓ อิทธิวิธิวิชชา  แต่ถ้านับรวมตลอดถึงอภิญญา ซึ่งเป็นประเภทหนึ่งของวิชชาเข้าด้วยกันแล้วรวมกันเป็น ๘ คือ ๔ ทิพพจักขุวิชชา ๕ ทิพพโสตวิชชา ๖ ปรจิตตวิชา ๗ ปุพเพนิวาสวิชชา ๘ อาสวักขยวิชชา

ส่วนจรณะ นั้น มี ๑๕ คือ ๑ ศีลสังวร ๒ อินทรียสังวร ๓ โภชเน มัตตัญญุตา ๔ ชาคริยานุโยค ๕ สัทธา ๖ สติ ๗ หิริ ๘ โอตตัปปะ ๙ พาหุสัจจะ ๑๐ อุปักกโม ๑๑ ปัญญา กับรูปฌาน ๔  จึงรวมเป็น ๑๕

วิปัสสนา  ต่อไปนี้จักแสดงถึงวิชชา  และจะยกเอา วิปัสสนาวิชชา  ขึ้นแสดงก่อน "วิปัสสนา" คำนี้  แปลตามศัพท์ เห็นแจ้ง เห็นวิเศษ หรือนัยหนึ่งว่าเห็นต่างๆ เห็นอะไร?  เห็นนามรูป, แจ้งอย่างไร?  แจ้งโดยสามัญลักษณะว่าเป็นของไม่เที่ยง  เต็มไปด้วยทุกข์ และเป็นอนัตตา ใช่ตัวตน สัตว์ บุคคล เรา เขา มีข้อสำคัญที่ว่า เห็นอย่างไร? เป็นเรื่องแสดงยากอยู่  เห็นด้วยตาเรานี่หรือเห็นด้วยอะไร? ตามนุษย์ไม่เห็น ต้องหลับตาของมนุษย์เสีย ส่งใจไปจดจ่ออยู่ที่ศูนย์ดวงปฐมมรรค เห็น จำ คิด รู้ มีอยู่ในดวงปฐมมรรคนั้น ตากายทิพย์ รูปพรหม อรูปพรหมไม่เห็น  ก็เพราะว่าพวกเหล่านี้ยังไม่พ้นโลก  เสมือนลูกไก่อยู่ในกระเปาะไข่  จะให้แลลอดออกไปเห็นข้างนอกย่อมไม่ได้  เพราะอยู่ในกระเปาะของตัว  เพราะโลกมันบัง  ด้วยเหตุว่าโลกมันมืดดังกล่าวมาแล้วข้างต้น  พวกเหล่านี้จึงไม่สามารถจะเห็น  กล่าวคือ  พวกที่บำเพ็ญได้จนถึงชั้นรูปฌาน และอรูปฌาน  ก็ยังอยู่ในกระเปาะภพของตัว  ยังอยู่จำพวกโลก  หรือที่เรียกกันว่า ฌานโลกีย์ ยังเรียกวิปัสสนาไม่ได้  เรียกสมถะได้ แต่อย่างไรก็ดี วิปัสสนาก็ต้องอาศัยทางสมถะเป็นรากฐานก่อนจึงจะก้าวขึ้นสู่ชั้นวิปัสสนาได้
การบำเพ็ญสมถะนั้น ส่งจิตเพ่งดวงปฐมมรรคอยู่ตรงศูนย์ คือ กึ่งกลางกายภายในตรงกลางพอดี ไม่เหลื่อมซ้ายขวาหน้าหลัง แล้วเลื่อนสูงขึ้น ๒ นิ้ว เมื่อถูกส่วนก็จะเห็นกายมนุษย์ กายทิพย์ กายรูปพรหม กายอรูปพรหมเป็นชั้นๆ ซ้อนกันอยู่ภายในตามลำดับจากกายมนุษย์เข้าไป พิจารณาประกอบธาตุธรรมถูกส่วนรูปจะกะเทาะล่อนออกจากกัน  เห็นตามลำดับเข้าไป  กายมนุษย์กะเทาะออกเห็นกายทิพย์ กายทิพย์กะเทาะออกเห็นกายรูปพรหม กายรูปพรหมกะเทาะออกเห็นกายอรูปพรหม  ในเมื่อประกอบธาตุธรรมถูกส่วน  วอกแวกไม่เห็น นิ่งหยุดจึงเห็น หยาบไม่เห็น ละเอียดจึงเห็น อาตาปี สัมปชาโน สติมา ประกอบความเพียรมั่นรู้อยู่เสมอไม่เผลอ  เพียงแต่ชั้นกายทิพย์เท่านั้นก็ถอดส่งไปยังที่ต่างๆ ได้  ไปรู้ไปเห็นเหตุการณ์ได้เหมือนตาเห็น  คล้ายกับนอนหลับฝัน  แต่นี่ไม่ใช่หลับเห็นทั้งตื่นๆ การนอนคนธรรมดาสามัญจะหลับเมื่อไรไม่รู้  จะตื่นเมื่อไรก็ไม่รู้  แต่ถ้าถึงชั้นกายทิพย์แล้ว  จะต้องการให้หลับเมื่อไร  จะให้ตื่นเมื่อไรทำได้ตามใจชอบ  พวกฤาษีที่ได้บำเพ็ญฌานเขาก็ทำได้  แต่ทั้งนี้ก็อยู่ในขั้นสมถะนั้นเอง  สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าของเรา  ก็ได้เรียนฌานมาแล้วจากในสำนักฤาษี  กล่าวคือ อาฬารดาบสและอุทกดาบสก็ได้ผลเพียงแค่นั้น  พระองค์เห็นว่ายังมีอะไรดียิ่งกว่านั้น  จึงได้ประกอบพระมหาวิริยะบำเพ็ญเพียรต่อไป จนในที่สุดพระองค์ได้บรรลุวิปัสสนาวิชชา  เมื่อถึงขั้นนี้แล้วจึงมองเห็นสามัญลักษณะ เห็นนามรูปด้วยตาธรรมกาย เพราะพระองค์ทะลุกระเปาะไข่ คือ โลกออกมาได้แล้ว

พระองค์เห็นโลกหมดทั่วทุกโลก  ด้วยตาธรรมกาย  พระองค์รู้ด้วยฌานธรรมกาย  ผิดกว่าพวกกายทิพย์ รูปพรหมและอรูปพรหมเหล่านั้นเพราะพวกเหล่านั้นรู้ด้วยวิญญาณ  แต่พระองค์รู้ด้วยญาน จึงผิดกัน  สภาพเหตุการณ์ทั้งหลายแหล่พระองค์รู้เห็น แต่ไม่ใช่รู้ก่อนเห็น  พระองค์เห็นก่อนรู้ทั้งสิ้น

                การเห็นรูปด้วยตามนุษย์  อย่างเช่นพระยสะกับพวกไปพบซากศพและช่วยกันเผา  ขณะเผาได้เห็นศพนั้นมีการแปรผันไปต่างๆ  เดิมเป็นตัวคนอยู่เต็มทั้งตัว  รูปร่าง สี สัณฐานก็เป็นรูปคน  ครั้นถูกความร้อนของไฟเผาลน  สีก็ดำต่างแปรไป  ดำจนคล้ายตะโก  หดสั้นเล็กลงทุกทีๆ แล้วแขนขาหลุดจากกัน  จนดูไม่ออกว่าเป็นร่างคนหรือสัตว์  ไม่เพียงเท่านั้น  ครั้นเนื้อถูกไฟกินหมดก็เหลือแต่กระดูกเป็นท่อนเล็กท่อนน้อย  ในที่สุดกระดูกเหล่านั้นแห้งเปราะแตกจากกันล้วนเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย  จนดูไม่ออกว่าเป็นกระดูกสัตว์หรือกระดูกมนุษย์พระยสะปลงสังเวชถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา แห่งสังขารร่างกายที่เป็นซากศพนั้น  แม้กระนั้นก็ยังไม่ทำให้บรรลุมรรคผล  จนกว่าจะได้ไปพบพระพุทธเจ้าจึงบรรลุมรรคผล  นี่ก็เป็นหลักฐานที่ยืนยันว่า เห็นด้วยตามนุษย์ ไม่ทำให้บรรลุมรรคผลได้ อย่างมากก็เป็นเพียงปัจจัย  เพื่อจะให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น การเห็นด้วยตาทิพย์ตารูปพรหม  และอรูปพรหมก็เช่นเดียวกัน  เป็นเพียงปัจจัยเพื่อให้บรรลุมรรคผลเท่านั้น  ต้องเห็นด้วยตาธรรมกาย  จึงจะบรรลุมรรคผลได้

               รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ เรียกว่า เบญจขันธ์ คือ ขันธ์ ๕ รูปจะกล่าวในที่นี้  เฉพาะรูปหยาบๆ คือสิ่งซึ่งธาตุทั้ง ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ประกอบกันเข้า  รวมกันเป็นก้อนเป็นชิ้น  เป็นอัน  แลเห็นด้วยตา  เช่นร่างกายมนุษย์และสัตว์  ที่เรียกว่ารูปเพราะเหตุว่าเป็นของซึ่งย่อมจะต้องแตกสลายไปด้วยเหตุต่างๆ มีหนาวและร้อนเป็นต้น  กล่าวคือ หนาวจัด เย็นจัด จนเกินขีด หรือถูกร้อนจนเกินขีดย่อมแตกสลายไป  แต่ถ้าแยกโดยละเอียดแล้ว รูป  นี้มีหลายประเภทด้วยกัน เช่น อุปาทายรูปเป็นต้น  แต่ว่าจักยังไม่นำมาแสดงในที่นี้การพิจารณาโดยสามัญลักษณะ  พิจารณาไปๆ ละเอียดเข้าซึ้งเข้าทุกที  จนเห็นชัดว่านี่มิใช่ตัวตน  เรา เขา อะไรสักแต่ว่าธาตุประชุมตั้งขึ้นแล้วก็ดับไปตาธรรมกายนั้นเห็นชัดเจน  เห็นเกิดเห็นดับติดกันไปทีเดียว คือ เห็นเกิดดับๆๆๆ คู่กันไปทีเดียว  ที่เห็นว่าเกิดดับๆ นั้นเหมือนอะไร เหมือนฟองน้ำ เหมือนอย่างไร เราเอาของฝาด เช่น เปลือกสนุ่นมาต้มแล้วรินใส่อ่างไว้  ชั้นต้นจะแลเห็นเป็นน้ำเปล่าๆ ต่อมาเมื่อเอามือแกว่งเร็ว ๆ อย่างที่เขาเรียกว่าฟองน้ำ ดูให้ดีจะเห็นในฟองน้ำนั้นมีเม็ดเล็กๆ เป็นจำนวนมากติดต่อกันเป็นพืดรวมกัน  เรียกว่า ฟองน้ำ  เราจ้องดูให้ดีจะเห็นว่าเม็ดเล็กๆ นั้นพอตั้งขึ้นแล้วก็แตกย่อยไปเรื่อยๆ ไม่อยู่นานเลย  นี่แหละเห็นเกิดดับๆ ตาธรรมกายเห็นอย่างนี้  เห็นเช่นนี้จึงปล่อยอุปาทานได้

               เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณอีก ๔ กองนั้นก็ทำนองเดียวกันเห็นเกิดดับๆ ยิบไป เช่นเดียวกับเห็นในรูป  ทุกข์เป็นของมีและขึ้นประจำกับขันธ์ ๕ เป็นของธรรมดา  แต่ที่เราเดือดร้อนก็เป็นเพราะไปขืนธรรมดาของมันเข้า  ขันธ์ ๕ เป็นอนิจจังไม่เที่ยง  ย่อมแปรผันไปตามธรรมดาของมัน  เกิดแล้วธรรมดามันก็ต้องแก่ ต้องเจ็บ ต้องตาย  เมื่อมันถึงคราวแก่  เราไม่อยากจะแก่หรือไม่ยอมแก่ อาการของมันที่แสดงออกมามีผมหงอกเป็นต้น  ถ้าเราขืนมัน  ตะเกียกตะกายหายาย้อมมันไว้  นี่ว่าอย่างหยาบๆ  ก็เห็นแล้วว่าเกิดทุกข์แล้วเกิดลำบากแล้ว ถ้าเราปล่อยตามเรื่องของมันก็ไม่มีอะไรมาเป็นทุกข์

               เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณก็ทำนองเดียวกัน  ความทุกข์เกิดขึ้นเพราะขืนมัน  ขืนธรรมดาของมัน สิ่งไม่เที่ยงจะให้เที่ยง  สิ่งที่ไม่ใช่ตัวตนก็ยังขืนยึดว่าเป็นตัวตน  เหตุที่ให้ขืนธรรมดาของมันเช่นนี้ อะไร? อุปาทาน  นั่นเอง  ถ้าปล่อยอุปาทานได้  การขืนธรรมดาก็ไม่มี  ตามแนวที่ประปัญจวัคคีย์ตอบกระทู้ถามสมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า  ที่ตรัสถามว่าเมื่อมันมีอาการแปรผันไป  เป็นธรรมดาแก่ เจ็บ ตาย เช่นนี้แล้วเบญจขันธ์นี้จะเรียกว่าเป็นของเที่ยงไหม?  ตอบว่าไม่เที่ยง  เมื่อไม่เที่ยงแล้วเป็นทุกข์หรือเป็นสุข?  ตอบว่าเป็นทุกข์พระพุทธเจ้าข้า  ถ้าเช่นนั้นควรละหรือจะยึดเป็นตัวตน? ไม่ควรพระพุทธเจ้าข้า
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่