(คำถามที่ผู้คนส่วนมากชอบถาม จึงขอนำมาตอบในที่นี้)
นี่เป็นความเข้าใจของคนธรรมดาที่มักสงสัยกันอย่างนี้
ก่อนอื่นขอย้อนความว่า มนุษย์เกิดมาต้องการความสุขเท่าที่จะแสวงหาได้ แต่ตัวความสุขนั้นมันนำความทุกข์มาให้ทั้งแก่ร่างกายและจิตใจ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม อีกทั้งในความสุขนั้นมันมีความรู้สึกดิ้นรนหรือทรมานซ่อนอยู่ด้วยเสมอ ลองดูให้ดี(เขาเรียกทุกขซ่อนเร้น) ซึ่งเราต้องตั้งใจพิจารณาให้ดีก็จะพบความจริงว่าความสุขนำความทุกข์มาให้อย่างไรบ้าง?
เมื่อเราได้สิ่งที่น่าพอใจ เราก็จะรู้สึกมีความสุข แต่แล้วความสุขมันก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วเราก็ต้องเหนื่อยยากลำบากแสวงหามาใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปจนตายโดยไม่ได้อะไร ถ้าเมื่อใดที่แสวงหาไม่ได้ หรือได้มาแล้วแต่สูญหายไป หรือเกิดผิดหวัง คราวนี้ความทุกข์ก็จะมาเยือน ยิ่งถ้าลุ่มหลงติดใจในความสุขมากๆ เมื่อร่างกายแก่ หรือพิการ หรือเกิดโรคร้ายแรง (เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง) หรือใกล้จะตาย คราวนี้ก็จะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์เลยทีเดียว ถ้าไม่กลัวทุกข์พวกนี้ก็ไม่ต้องมากำจัดมันก็ได้
เมื่อรู้จักความทุกข์ถูกต้องแล้ว ทีนี้ก็มารู้จักจิตที่ไม่มีทุกข์ หรือนิพพาน คือความสงบเย็นของจิตที่ไม่มีความอยาก(ได้ความสุข)ใดๆมาทำให้จิตดื้นรนเร่าร้อนหรือทรมาน ซึ่งปกติเราก็พอจะมีนิพพานกันอยู่บ้างแล้วในชีวิตประจำว้น แต่มันก็มีไม่บ่อยและเราก็ไม่มาก ซึ่งก็คืออาการที่จิตสงบ เยือกเย็น สดชื่น แจ่มใส เบา สบาย นั่นเอง (ไม่มีแม้ความเบื่อหน่าย) ซึ่งแม้ร่างกายจะแก่ เจ็บ หรือจะตาย จิตใจก็จะไม่มีความทุกข์หรือกลัวหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อยนิด ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า นิพพานไมได้เกี่ยวกับความตายเลย ไม่ว่าโลกหน้าจะมีหรือไม่ถ้าจิตไม่เป็นทุกข์เสียแล้วก็ไม่เป็นปัญหา
จึงขอให้ทุกคนได้รู้จักว่าความสุขมันมีความทุกข์ตามมาด้วยเสมอ จึงทำให้ต้องมาปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากอำนาจของความสุข เท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้จะไม่มีความทุกข์เลยอย่างถาวรจนตลอดชีวิต หรือมีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้
เมื่อไม่มีโลกนี้โลกหน้า ชอบสุรานารีก็เสพกันไป จะมีการบวชรักษาพรหมจรรย์ไปทำไม หาความสุขในชีวิตไม่ดีกว่าหรือ?
นี่เป็นความเข้าใจของคนธรรมดาที่มักสงสัยกันอย่างนี้
ก่อนอื่นขอย้อนความว่า มนุษย์เกิดมาต้องการความสุขเท่าที่จะแสวงหาได้ แต่ตัวความสุขนั้นมันนำความทุกข์มาให้ทั้งแก่ร่างกายและจิตใจ ทั้งในปัจจุบันและในอนาคต ไม่โดยตรงก็โดยอ้อม อีกทั้งในความสุขนั้นมันมีความรู้สึกดิ้นรนหรือทรมานซ่อนอยู่ด้วยเสมอ ลองดูให้ดี(เขาเรียกทุกขซ่อนเร้น) ซึ่งเราต้องตั้งใจพิจารณาให้ดีก็จะพบความจริงว่าความสุขนำความทุกข์มาให้อย่างไรบ้าง?
เมื่อเราได้สิ่งที่น่าพอใจ เราก็จะรู้สึกมีความสุข แต่แล้วความสุขมันก็จะหายไปอย่างรวดเร็ว แล้วเราก็ต้องเหนื่อยยากลำบากแสวงหามาใหม่อีก วนเวียนอยู่อย่างนี้ไปจนตายโดยไม่ได้อะไร ถ้าเมื่อใดที่แสวงหาไม่ได้ หรือได้มาแล้วแต่สูญหายไป หรือเกิดผิดหวัง คราวนี้ความทุกข์ก็จะมาเยือน ยิ่งถ้าลุ่มหลงติดใจในความสุขมากๆ เมื่อร่างกายแก่ หรือพิการ หรือเกิดโรคร้ายแรง (เช่น โรคเอดส์ มะเร็ง) หรือใกล้จะตาย คราวนี้ก็จะพบกับความทุกข์อย่างมหันต์เลยทีเดียว ถ้าไม่กลัวทุกข์พวกนี้ก็ไม่ต้องมากำจัดมันก็ได้
เมื่อรู้จักความทุกข์ถูกต้องแล้ว ทีนี้ก็มารู้จักจิตที่ไม่มีทุกข์ หรือนิพพาน คือความสงบเย็นของจิตที่ไม่มีความอยาก(ได้ความสุข)ใดๆมาทำให้จิตดื้นรนเร่าร้อนหรือทรมาน ซึ่งปกติเราก็พอจะมีนิพพานกันอยู่บ้างแล้วในชีวิตประจำว้น แต่มันก็มีไม่บ่อยและเราก็ไม่มาก ซึ่งก็คืออาการที่จิตสงบ เยือกเย็น สดชื่น แจ่มใส เบา สบาย นั่นเอง (ไม่มีแม้ความเบื่อหน่าย) ซึ่งแม้ร่างกายจะแก่ เจ็บ หรือจะตาย จิตใจก็จะไม่มีความทุกข์หรือกลัวหรือเสียใจเลยแม้แต่น้อยนิด ซึ่งนี่ก็แสดงถึงว่า นิพพานไมได้เกี่ยวกับความตายเลย ไม่ว่าโลกหน้าจะมีหรือไม่ถ้าจิตไม่เป็นทุกข์เสียแล้วก็ไม่เป็นปัญหา
จึงขอให้ทุกคนได้รู้จักว่าความสุขมันมีความทุกข์ตามมาด้วยเสมอ จึงทำให้ต้องมาปฏิบัติธรรม เพื่อที่จะได้หลุดพ้นจากอำนาจของความสุข เท่าที่จะทำได้ เพื่อที่จะได้จะไม่มีความทุกข์เลยอย่างถาวรจนตลอดชีวิต หรือมีความทุกข์น้อยที่สุดเท่าที่จะทำได้