ผมไม่แน่ใจนะครับ
ตายแล้วจบหรอครับ
ทาน ศิล ภาวนา ทำไปเพื่อแค่สบายใจเท่านั้นหรอครับ
แล้วนิพพานละครับ. ไม่มีจริงใช่มัยในเมื่อไม่มีพบไม่มีชาติ
ถ้าผิดพลาดขออภัยนะครับแต่ผมไม่เข้าใจครับ
สมาชิกหมายเลข 1344643
------------------------
นี่คือการศึกษาที่ผิดพลาดมาโดยตลอดของชาวพุทธ จึงทำให้ไม่เข้าใจหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
ดังนั้นจึงต้องย้อนกลับมาหาเรื่องพื้นฐานที่สุด อันได้แก่เรื่อง ความทุกข์อันเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับเราและมนุษย์ทุกคน
ความทุกข์นี้ก็ได้แก่ความทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน (ไม่ใช่ความทุกข์ของร่างกาย) อันได้แก่ ความเศร้าโศก ความคับแค้นใจ ความแห้งเหี่ยวใจ ความไม่สบายใจ เป็นต้น ที่เกิดมาจากจิตใต้สำนึกที่โง่ (จิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ) ปรุงแต่งขึ้นมาเอง ซึ่งนิพพานก็คือสภาวะที่ตรงข้ามกับความทุกข์นั่นเอง คือเมื่อใดที่จิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมของมัน ซึ่งก็คือความสงบเย็น หรือที่พุทธศาสนาสมมติเรียกว่า นิพพาน ที่แปลว่า ดับเสียซึ่งความร้อน ซึ่งก็หมายถึงความเย็นของจิตใจนั่นเอง (นิพพานของพระพุทธเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับความตายเลย)
นิพพานที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านี้ก็มันทั้งแบบชั่วคราวและถาวร (ถาวรคือตลอดชีวิต) โดยวิธิปฏิบัติเพื่อให้จิตนิพพานทั้งสองชนิดนั้นก็สรุปอยู่ที่การใช้ปัญญา (ความเข้าใจและเห็นแจ้งว่ามันไม่มีตัวตนของเราและของใครๆอยู่จริง) กับสมาธิมาทำงานร่วมกัน โดยมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งนิพพานที่หมายถึงความสงบเย็นของจิตใจในปัจจุบันนี้เองที่เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสันทิฏฐิโก (คือเห็นแจ้งด้วยตนเอง โดยไม่เชื่อจากใครๆ)
ส่วนนิพพาที่หมายถึงตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกเป็นต้นนั้น ไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้าเพราะไม่เป็นสันทิฏฐิโก คือเป็นคำสอนที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาในภายหลังจากคนที่ไม่เข้าใจในคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นสันทิฏฐิ (คือเห็นแจ้งด้วยตนเองโดยไม่เชื่อจากใครๆ) เท่านั้น
นิพพานที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นสันทิฏฐิโก คือเห็นแจ้งด้วยตนเองโดยไม่เชื่อจากใครๆ
ตายแล้วจบหรอครับ
ทาน ศิล ภาวนา ทำไปเพื่อแค่สบายใจเท่านั้นหรอครับ
แล้วนิพพานละครับ. ไม่มีจริงใช่มัยในเมื่อไม่มีพบไม่มีชาติ
ถ้าผิดพลาดขออภัยนะครับแต่ผมไม่เข้าใจครับ
สมาชิกหมายเลข 1344643
------------------------
นี่คือการศึกษาที่ผิดพลาดมาโดยตลอดของชาวพุทธ จึงทำให้ไม่เข้าใจหลักคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า
ดังนั้นจึงต้องย้อนกลับมาหาเรื่องพื้นฐานที่สุด อันได้แก่เรื่อง ความทุกข์อันเป็นปัญหาที่ใหญ่หลวงที่สุดสำหรับเราและมนุษย์ทุกคน
ความทุกข์นี้ก็ได้แก่ความทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน (ไม่ใช่ความทุกข์ของร่างกาย) อันได้แก่ ความเศร้าโศก ความคับแค้นใจ ความแห้งเหี่ยวใจ ความไม่สบายใจ เป็นต้น ที่เกิดมาจากจิตใต้สำนึกที่โง่ (จิตที่ถูกอวิชชาครอบงำ) ปรุงแต่งขึ้นมาเอง ซึ่งนิพพานก็คือสภาวะที่ตรงข้ามกับความทุกข์นั่นเอง คือเมื่อใดที่จิตไม่มีความทุกข์ มันก็จะกลับคืนสู่สภาวะเดิมของมัน ซึ่งก็คือความสงบเย็น หรือที่พุทธศาสนาสมมติเรียกว่า นิพพาน ที่แปลว่า ดับเสียซึ่งความร้อน ซึ่งก็หมายถึงความเย็นของจิตใจนั่นเอง (นิพพานของพระพุทธเจ้าไม่ได้เกี่ยวกับความตายเลย)
นิพพานที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านี้ก็มันทั้งแบบชั่วคราวและถาวร (ถาวรคือตลอดชีวิต) โดยวิธิปฏิบัติเพื่อให้จิตนิพพานทั้งสองชนิดนั้นก็สรุปอยู่ที่การใช้ปัญญา (ความเข้าใจและเห็นแจ้งว่ามันไม่มีตัวตนของเราและของใครๆอยู่จริง) กับสมาธิมาทำงานร่วมกัน โดยมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว ซึ่งนิพพานที่หมายถึงความสงบเย็นของจิตใจในปัจจุบันนี้เองที่เป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า เพราะเป็นสันทิฏฐิโก (คือเห็นแจ้งด้วยตนเอง โดยไม่เชื่อจากใครๆ)
ส่วนนิพพาที่หมายถึงตายแล้วไม่กลับมาเกิดอีกเป็นต้นนั้น ไม่ใช่นิพพานของพระพุทธเจ้าเพราะไม่เป็นสันทิฏฐิโก คือเป็นคำสอนที่ถูกแต่งเติมขึ้นมาในภายหลังจากคนที่ไม่เข้าใจในคำสอนเรื่องอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้าอย่างถูกต้อง ถ้าเป็นคำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าจะต้องเป็นสันทิฏฐิ (คือเห็นแจ้งด้วยตนเองโดยไม่เชื่อจากใครๆ) เท่านั้น