หลัก สันทิฏฐิโก ที่ชาวพุทธต้องรู้จัก

คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้านั้นต้องเป็น สันทิฏฐิโก คือต้องเห็นแจ้งเอง อย่างเช่น เมื่อจิตของเราไม่มีกิเลส มันก็จะนิพพาน (สงบเย็น) ทันที เป็นต้น

แต่คำสอนใดถ้าไม่เป็นสันทิฏฐิโก คำสอนนั้นก็ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า อย่างเช่น คำสอนเรื่องการตายแล้วไม่เกิดอีกนั่นคือนิพพาน รวมทั้งคำสอนเรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่า และเรื่องนรกใต้ดิน สวรรค์บนฟ้า เทวดา นางฟ้า เป็นต้น (ที่เป็นคำสอนของพราหมณ์ปลอมปนเข้าในภายหลัง)

คำว่า สันทิฏฐิโก หมายถึง เห็นแจ้งด้วยจิตของเราเองจริงๆ ซึ่งมันก็คือตรงกับหลักกาลามสูตร ที่ว่า "อย่าเชื่อใคร แม้แต่ตัวเราเอง แต่ให้เชื่อจากการที่ได้พิสูจน์จนเห็นผลอย่างแน่ชัดแล้วเท่านั้น" และก็ตรงกับหลัก ภาวณามยปัญญา (ปัญญาที่เกิดมาจากการลงมือปฏิบัติจนเห็นผลด้วยจิตของเราเองแล้ว)

การฟังมาหรืออ่านมา แล้วเอามาคิดคำนวณหรือจินตนการเอาโดยไม่มีของจริงมาให้จิตของเราสัมผัสหรือรับรู้ได้นั้น ไม่ใช่สันทิฏฐิโก เมื่อไม่ใช่สันทิฏฐิโก ก็ไม่ใช่คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้า

อย่างเช่น เรื่องการเวียนว่ายตาย-เกิดเพื่อมารับผลกรรมเก่านั้น มันเป็นแค่ความเชื่อที่เจืออยู่ด้วยความงมงาย มันไม่มีเหตุผลมาอธิบายให้เข้าใจได้ และพิสูจน์ให้เห็นจริงไม่ได้ แล้วมันจะเป็นสันทิฏฐิโกและภาวณามยปัญญาได้อย่างไร รวมทั้งขัดกับหลักกาลามสูตรอย่างเต็มที่อีกด้วย  แล้วอย่างนี้คำสอนเช่นนี้สมควรหรือที่จะเป็นคำสอนของผู้มีปัญญา?  

อย่าลืมว่า ความเชื่อไม่ใช่ปัญญา ความเชื่อเหมือนการหลอก ซึ่งเราก็ไม่รู้ว่าเป็นจริงหรือเปล่า เพราะเรายังไม่พบความจริง

เมื่อไม่มีปัญญา แล้วจะแก้ไขปัญหา คือความทุกข์ของจิตใจในปัจจุบัน และความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตได้อย่างไร?

อีกทั้งจะมาพัฒนาชีวิตและประเทศชาติได้อย่างไร ในเมื่อประชาขนยังงมงมงายในความเชื่อกันอยู่เช่นนี้

ผู้มีปัญญาเขาไม่สอนให้มีความเชื่อหรอก เขาต้องสอนให้เกิดปัญญาจึงจะเป็นผู้มีปัญญาจริง
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่