พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 155
โรหิตัสสวรรคที่ ๕
๑๐. สมาธิสูตร
ว่าด้วยสมาธิภาวนา ๔
[๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้ สมาธิภาวนา
๔ ประการคืออะไร คือสมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มาก. แล้วย่อมเป็นไป
เพื่อ (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร) ความพักผ่อนอยู่สำราญในอัตภาพปัจจุบันก็มี
สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อ (ญาณทัสนปฏิลาภ)
ความได้ญาณทัสนะก็มี สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อมเป็น
ไปเพื่อสติสัมปชัญญะก็มี สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อม
เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะก็มี
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญการทำให้มากแล้วเป็นไปเพื่อความพักผ่อน อยู่
สำราญในอัตภาพปัจจุบันเป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ได้ปฐมฌานอันประกอบด้วยวิตก ประกอบด้วย
วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
เพราะวิตกวิจารสงบไป เธอได้ทุติยฌานอันเป็นเครื่องผ่องใสใน
ภายใน ประกอบด้วยความที่ใจเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติ
และสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
เพราะปีติคลายไปด้วย ภิกษุเพ่งอยู่ด้วย มีสติสัมปชัญญะด้วย เสวยสุข
ทางกายด้วย ได้ตติยฌาน ซึ่งพระอริยะกล่าว (ผู้ที่ได้ตติยฌานนี้) ว่า ผู้มี
สติเพ่งอยู่เป็นสุข
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 156
เพราะละสุข (กาย) และทุกข์ (กาย) ได้ เพราะโสมนัส (สุขใจ)
และโทมนัส (ทุกข์ใจ) ดับไปก่อน ได้จตุตถฌานอันไม่ทุกข์ไม่สุข มีความ
บริสุทธิ์ด้วยอุเบกขาและสติอยู่
นี้ สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อความพักผ่อน
อยู่สำราญในอัตภาพปัจจุบัน
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้วเป็นไปเพื่อความได้ญาณทัสนะ
เป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ทำในใจซึ่งอาโลกสัญญา (ความสำคัญใน
แสงสว่าง) อธิฏฐานทิวาสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นเวลากลางวัน ) ให้เหมือน
กันหมดทั้งกลางวันและกลางคืน มีใจสงบสงัดไม่มีอะไรหุ้มห่อ ยังจิตอัน
ประกอบด้วยความสว่างไสวให้เกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ นี้ สมาธิภาวนาที่
เจริญการทำให้มากแล้วเป็นไปเพื่อฌาณทัสนะ
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญการทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
เป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เวทนาเกิดขึ้นก็รู้ เวทนาตั้งอยู่ก็รู้ เวทนา
ดับไปก็รู้ สัญญาเกิดขึ้นก็รู้ สัญญาตั้งอยู่ก็รู้ สัญญาดับไปก็รู้ วิตกเกิดขึ้นก็รู้
วิตกตั้งอยู่ก็รู้ วิตกดับไปก็รู้ นี้ สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้วเป็น
ไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
เป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาดูเนือง ๆ ซึ่งความเกิดและ
ความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่ารูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นอย่างนี้
ความดับไปแห่งรูปเป็นอย่างนี้ เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณเป็นอย่างนี้ ความ
เกิดขึ้นแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอย่างนี้ ความดับไปแห่งเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอย่างนี้ นี้ สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้ว
เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 157
ภิกษุทั้งหลาย นี้แล สมาธิภาวนา ๔.
ก็แล คำที่เรากล่าวในปุณณกปัญหาในปารายนวรรคว่า
ความหวั่นไหวในโลกไหน ๆ ของ
ผู้ใดไม่มี เพราะพิจารณารู้อารมณ์อันยิ่ง
และหย่อนในโลก ผู้นั้นเป็นคนสงบไม่มี
โทษดุจควัน ไม่มีทุกข์ใจ ไม่มีความหวัง
เรากล่าวว่า ข้ามชาติและชราได้แล้ว
ดังนี้นี่ หมายเอาความที่กล่าวมานี้.
จบสมาธิสูตรที่ ๑
โรหิตัสสวรรคที่ ๕
อรรถกถาสมาธิสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสมาธิสูตรที่ ๑ วรรคที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า าณทสฺสนปฏิลาภาย ความว่า เพื่อได้ญาณทัสนะคือ
ทิพยจักษุ. บทว่า ทิวา สญฺ อธิฏฺาติ ความว่า ย่อมตั้งความกำหนด-
หมายอย่างนี้ว่า กลางวัน ดังนี้. บทว่า ยถา ทิวา ตถา รตฺตึ ความว่า
ทำในใจถึงอาโลกสัญญาความกำหนดหมายว่าแสงสว่างในเวลากลางวัน ฉันใด
ย่อมทำในใจถึงอาโลกสัญญานั้น แม้ในกลางคืนก็ฉันนั้นนั่นแหละ. แม้ในบท
ที่สองก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สปฺปภาส ได้แก่ มีแสงสว่างคือทิพยจักษุ-
ญาณ แม้ทำจิตให้เป็นเสมือนแสงสว่างได้แล้วก็จริง ถึงกระนั้น บัณฑิตก็พึง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 158
กำหนดเนื้อความอย่างนี้. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์แสงสว่างคือทิพยจักษุญาณ.
บทว่า วิทิตา ได้แก่ปรากฏแล้ว . ถามว่า อย่างไร เวทนาที่รู้แล้ว ชื่อว่า
เกิดขึ้น ที่รู้แล้ว ชื่อว่าดับไป. ตอบว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมกำหนดวัต

่อมกำหนดอารมณ์ เพราะภิกษุนั้นกำหนดวัตถุและอารมณ์แล้ว เวทนาที่รู้
อย่างนี้ว่า เวทนาเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งอยู่อย่างนี้ ดับไปอย่างนี้ ชื่อว่าเกิดขึ้น
ที่รู้แล้ว ชื่อว่าตั้งอยู่ ที่รู้แล้ว ชื่อว่าดับไป. แม้ในสัญญาและวิตกก็นัยนี้
เหมือนกัน. บทว่า อุทยพฺพยานุปสฺสี แปลว่า พิจารณาเห็นความเกิดและ
ความเสื่อม. บทว่า อิติ รูป ความว่า รูปเป็นอย่างนี้ รูปมีเท่านี้ รูปอื่น
นอกนี้ไม่มี. บทว่า อิติ รูปสฺส สมุทโย ความว่า ความเกิดขึ้นแห่งรูป
เป็นอย่างนี้. ส่วนบทว่า อตฺถงฺคโม ท่านหมายถึงความแตกดับ. แม้ใน
เวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อิทญฺจ ปน เม ต ภิกฺขเว สนฺธาย ภาสิต ความว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำเป็นต้นว่า สงฺขาย โลกสฺมิ ใด เรากล่าวแล้ว
ในปุณณกปัญหา (โสฬสปัญหา) คำนั้นเรากล่าวหมายถึงผลสมาบัตินี้ . ในบท
เหล่านั้น บทว่า สงฺขาย ได้แก่ รู้ด้วยญาณ. บทว่า โลกสฺมิ ได้แก่
ในโลกคือหมู่สัตว์. บทว่า ปโรปรานิ ได้แก่ ความยิ่งและหย่อน คือสูง
และต่ำ. บทว่า อิชิต ได้แก่ ความหวั่นไหว. บทว่า นตฺถิ กุหิฺจิ
โลเก ความว่า ความหวั่นไหวของผู้ใด ในที่ไหน ๆ ไม่ว่าจะในขันธ์หนึ่งก็ดี
อายตนะหนึ่งก็ดี ธาตุหนึ่งก็ดี อารมณ์หนึ่งก็ดี ย่อมไม่มีในโลก. บทว่า
สนฺโต ความว่า ผู้นั้นเป็นคนสงบ เพราะสงบกิเลสที่เป็นข้าศึก. บทว่า
วิธูโม ความว่า เป็นผู้ปราศจากกิเลสดุจควัน เพราะควันคือความโกรธ.
ในพระสูตรนี้ ตรัสถึงเอกัคคตาในมรรค ในคาถาตรัสผลสมาบัติอย่างเดียว
ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสมาธิสูตรที่ ๑
ที่มา
http://www.tripitaka91.com/91book/book35/151_200.htm
สมาธิภาวนา มี ๔ แบบ
โรหิตัสสวรรคที่ ๕
๑๐. สมาธิสูตร
ว่าด้วยสมาธิภาวนา ๔
[๔๑] ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย สมาธิภาวนา ๔ ประการนี้ สมาธิภาวนา
๔ ประการคืออะไร คือสมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มาก. แล้วย่อมเป็นไป
เพื่อ (ทิฏฐธรรมสุขวิหาร) ความพักผ่อนอยู่สำราญในอัตภาพปัจจุบันก็มี
สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อมเป็นไปเพื่อ (ญาณทัสนปฏิลาภ)
ความได้ญาณทัสนะก็มี สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อมเป็น
ไปเพื่อสติสัมปชัญญะก็มี สมาธิภาวนาที่บุคคลเจริญกระทำให้มากแล้วย่อม
เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะก็มี
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญการทำให้มากแล้วเป็นไปเพื่อความพักผ่อน อยู่
สำราญในอัตภาพปัจจุบันเป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้สงัดจากกาม
สงัดจากอกุศลธรรมทั้งหลาย ได้ปฐมฌานอันประกอบด้วยวิตก ประกอบด้วย
วิจาร มีปีติและสุขอันเกิดแต่วิเวกอยู่
เพราะวิตกวิจารสงบไป เธอได้ทุติยฌานอันเป็นเครื่องผ่องใสใน
ภายใน ประกอบด้วยความที่ใจเป็นหนึ่งผุดขึ้น ไม่มีวิตก ไม่มีวิจาร มีปีติ
และสุขอันเกิดแต่สมาธิอยู่
เพราะปีติคลายไปด้วย ภิกษุเพ่งอยู่ด้วย มีสติสัมปชัญญะด้วย เสวยสุข
ทางกายด้วย ได้ตติยฌาน ซึ่งพระอริยะกล่าว (ผู้ที่ได้ตติยฌานนี้) ว่า ผู้มี
สติเพ่งอยู่เป็นสุข
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 156
เพราะละสุข (กาย) และทุกข์ (กาย) ได้ เพราะโสมนัส (สุขใจ)
และโทมนัส (ทุกข์ใจ) ดับไปก่อน ได้จตุตถฌานอันไม่ทุกข์ไม่สุข มีความ
บริสุทธิ์ด้วยอุเบกขาและสติอยู่
นี้ สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อความพักผ่อน
อยู่สำราญในอัตภาพปัจจุบัน
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้วเป็นไปเพื่อความได้ญาณทัสนะ
เป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ทำในใจซึ่งอาโลกสัญญา (ความสำคัญใน
แสงสว่าง) อธิฏฐานทิวาสัญญา (ความสำคัญว่าเป็นเวลากลางวัน ) ให้เหมือน
กันหมดทั้งกลางวันและกลางคืน มีใจสงบสงัดไม่มีอะไรหุ้มห่อ ยังจิตอัน
ประกอบด้วยความสว่างไสวให้เกิดขึ้นด้วยอาการอย่างนี้ นี้ สมาธิภาวนาที่
เจริญการทำให้มากแล้วเป็นไปเพื่อฌาณทัสนะ
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญการทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
เป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ เวทนาเกิดขึ้นก็รู้ เวทนาตั้งอยู่ก็รู้ เวทนา
ดับไปก็รู้ สัญญาเกิดขึ้นก็รู้ สัญญาตั้งอยู่ก็รู้ สัญญาดับไปก็รู้ วิตกเกิดขึ้นก็รู้
วิตกตั้งอยู่ก็รู้ วิตกดับไปก็รู้ นี้ สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้วเป็น
ไปเพื่อสติสัมปชัญญะ
ก็สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้ว เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
เป็นไฉน ? ภิกษุในพระธรรมวินัยนี้ พิจารณาดูเนือง ๆ ซึ่งความเกิดและ
ความเสื่อมในอุปาทานขันธ์ ๕ ว่ารูปเป็นอย่างนี้ ความเกิดขึ้นแห่งรูปเป็นอย่างนี้
ความดับไปแห่งรูปเป็นอย่างนี้ เวทนา สัญญา สังขารวิญญาณเป็นอย่างนี้ ความ
เกิดขึ้นแห่งเวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอย่างนี้ ความดับไปแห่งเวทนา
สัญญา สังขาร วิญญาณเป็นอย่างนี้ นี้ สมาธิภาวนาที่เจริญกระทำให้มากแล้ว
เป็นไปเพื่อความสิ้นอาสวะ
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 157
ภิกษุทั้งหลาย นี้แล สมาธิภาวนา ๔.
ก็แล คำที่เรากล่าวในปุณณกปัญหาในปารายนวรรคว่า
ความหวั่นไหวในโลกไหน ๆ ของ
ผู้ใดไม่มี เพราะพิจารณารู้อารมณ์อันยิ่ง
และหย่อนในโลก ผู้นั้นเป็นคนสงบไม่มี
โทษดุจควัน ไม่มีทุกข์ใจ ไม่มีความหวัง
เรากล่าวว่า ข้ามชาติและชราได้แล้ว
ดังนี้นี่ หมายเอาความที่กล่าวมานี้.
จบสมาธิสูตรที่ ๑
โรหิตัสสวรรคที่ ๕
อรรถกถาสมาธิสูตร
พึงทราบวินิจฉัยในสมาธิสูตรที่ ๑ วรรคที่ ๕ ดังต่อไปนี้ :-
บทว่า าณทสฺสนปฏิลาภาย ความว่า เพื่อได้ญาณทัสนะคือ
ทิพยจักษุ. บทว่า ทิวา สญฺ อธิฏฺาติ ความว่า ย่อมตั้งความกำหนด-
หมายอย่างนี้ว่า กลางวัน ดังนี้. บทว่า ยถา ทิวา ตถา รตฺตึ ความว่า
ทำในใจถึงอาโลกสัญญาความกำหนดหมายว่าแสงสว่างในเวลากลางวัน ฉันใด
ย่อมทำในใจถึงอาโลกสัญญานั้น แม้ในกลางคืนก็ฉันนั้นนั่นแหละ. แม้ในบท
ที่สองก็นัยนี้เหมือนกัน. บทว่า สปฺปภาส ได้แก่ มีแสงสว่างคือทิพยจักษุ-
ญาณ แม้ทำจิตให้เป็นเสมือนแสงสว่างได้แล้วก็จริง ถึงกระนั้น บัณฑิตก็พึง
พระสุตตันตปิฎก อังคุตรนิกาย จตุกนิบาต เล่ม ๒ - หน้าที่ 158
กำหนดเนื้อความอย่างนี้. แต่ในที่นี้ท่านประสงค์แสงสว่างคือทิพยจักษุญาณ.
บทว่า วิทิตา ได้แก่ปรากฏแล้ว . ถามว่า อย่างไร เวทนาที่รู้แล้ว ชื่อว่า
เกิดขึ้น ที่รู้แล้ว ชื่อว่าดับไป. ตอบว่า ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมกำหนดวัต
อย่างนี้ว่า เวทนาเกิดขึ้นอย่างนี้ ตั้งอยู่อย่างนี้ ดับไปอย่างนี้ ชื่อว่าเกิดขึ้น
ที่รู้แล้ว ชื่อว่าตั้งอยู่ ที่รู้แล้ว ชื่อว่าดับไป. แม้ในสัญญาและวิตกก็นัยนี้
เหมือนกัน. บทว่า อุทยพฺพยานุปสฺสี แปลว่า พิจารณาเห็นความเกิดและ
ความเสื่อม. บทว่า อิติ รูป ความว่า รูปเป็นอย่างนี้ รูปมีเท่านี้ รูปอื่น
นอกนี้ไม่มี. บทว่า อิติ รูปสฺส สมุทโย ความว่า ความเกิดขึ้นแห่งรูป
เป็นอย่างนี้. ส่วนบทว่า อตฺถงฺคโม ท่านหมายถึงความแตกดับ. แม้ใน
เวทนาเป็นต้น ก็นัยนี้เหมือนกัน.
บทว่า อิทญฺจ ปน เม ต ภิกฺขเว สนฺธาย ภาสิต ความว่า
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย คำเป็นต้นว่า สงฺขาย โลกสฺมิ ใด เรากล่าวแล้ว
ในปุณณกปัญหา (โสฬสปัญหา) คำนั้นเรากล่าวหมายถึงผลสมาบัตินี้ . ในบท
เหล่านั้น บทว่า สงฺขาย ได้แก่ รู้ด้วยญาณ. บทว่า โลกสฺมิ ได้แก่
ในโลกคือหมู่สัตว์. บทว่า ปโรปรานิ ได้แก่ ความยิ่งและหย่อน คือสูง
และต่ำ. บทว่า อิชิต ได้แก่ ความหวั่นไหว. บทว่า นตฺถิ กุหิฺจิ
โลเก ความว่า ความหวั่นไหวของผู้ใด ในที่ไหน ๆ ไม่ว่าจะในขันธ์หนึ่งก็ดี
อายตนะหนึ่งก็ดี ธาตุหนึ่งก็ดี อารมณ์หนึ่งก็ดี ย่อมไม่มีในโลก. บทว่า
สนฺโต ความว่า ผู้นั้นเป็นคนสงบ เพราะสงบกิเลสที่เป็นข้าศึก. บทว่า
วิธูโม ความว่า เป็นผู้ปราศจากกิเลสดุจควัน เพราะควันคือความโกรธ.
ในพระสูตรนี้ ตรัสถึงเอกัคคตาในมรรค ในคาถาตรัสผลสมาบัติอย่างเดียว
ด้วยประการฉะนี้แล.
จบอรรถกถาสมาธิสูตรที่ ๑
ที่มา
http://www.tripitaka91.com/91book/book35/151_200.htm