สืบเนื่องมาจาก กระทู้ ถามสาวกพุทธทาสว่าหากอวิชชาไม่สิ้นขันธ์5แตกทำลายในชาติภพนั้น(สัตว์ตาย)
แล้วมีการสืบต่อของขันธ์5 ในชาติภพใหม่หรือไม่
http://ppantip.com/topic/30677877
อันที่จริง ผมได้เตรียมบทความอื่นเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อมาเห็นกระทู้ "อุบาทว์" ของนายคันโตนาซี เข้า ...... จึงเปลี่ยนความตั้งใจ
เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อแสดง "ข้อเท็จจริง" บางประการ ที่คนกลุ่มนี้ พยายาม "ปกปิด"
ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวพุทธเถรวาททั้งหลาย ตามความ ดังต่อไปนี้ ..........
เนื้อความของกระทู้ดังกล่าว ของนายคันโตนาซี มีใจความในทำนองว่า
ท่านพุทธทาสสอนอย่างไรเกี่ยวกับ ขันธ์ ๕ในกรณีที่ "สัตว์" ตายเข้าโลง
ซึ่งที่จริงแล้ว เรื่องนี้อธิบายไม่ยาก เพราะมีหลักฐานคำสอนของท่านพุทธทาสปรากฏอยู่มากเกินพอทีเดียว
(พิจารณาเพิ่มเติมได้จาก กระทู้ )
แต่สิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาจริงๆ กลับมิได้เกี่ยวกับคำสอนของท่านพุทธทาส
หากแต่เป็นเรื่องของ "ท่าที" ที่นายคันโตนาซีมีต่อ พระบาลีพุทธพจน์ เสียมากกว่า
v
v
v
^
^
^
เพราะนายคันโตนาซี ได้ระบุเงื่อนไข "อุบาทว์" สำหรับผู้ตอบคำถามในกระทู้นั้นว่า
ห้ามอ้างอิง พระบาลีพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า พระพุทธเจ้าย่อมไม่บัญญัติว่า .........
(๑) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
(๒) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก
(๓) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี
(๔) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้
เหตุผลสำคัญที่นายคันโตนาซี ไม่มีความยินดีที่จะได้เห็นพระบาลีพุทธพจน์นี้อีก ทั้งๆ ที่มันก็เคยยกขึ้นมาอ้าง
ก็เนื่องจาก พระบาลีนี้ ทำให้ทราบ "ข้อเท็จจริง" ว่า นายคันโตนาซี มีความคิดความเชื่อ แบบพวกมิจฉาทิฐิ
โดยเขาได้กล่าวแสดง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติไว้ ในทำนองว่าต้องมี "สัตว์" ตายแล้วไปเกิด ในนรกสวรรค์
และเพราะเหตุที่จนด้วย "หลักฐาน" นี้เอง จึงทำให้นายคันโตนาซี พยายามดิ้นรนแถกแถ ปิดบังซ่อนเร้น
โดยหวังว่า จะสามารถ "กลบเกลื่อน" ความเป็น "มิจฉาทิฐิ" ของตนเอาไว้ มิให้ผู้อื่นได้ทันสังเกตเห็น
หรือมิใช่ ?
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณา "ข้อความ" ของนายคันโตนาซี อย่างถี่ถ้วน ย่อมทราบได้ไม่ยากว่า คนผู้นี้ มีความเชื่อ
ที่เหนียวแน่นอย่างพวก สัสสตทิฐิ ชั้นเลวทั่วๆ ไปว่า ต้องมี สัตว์บุคคลฯ ในฐานะ ผู้เกิด ผู้ตาย ฯลฯ เสมอ
กล่าวคือ ถึงแม้ว่า นายคนนี้จะพยายาม "แอ๊บ" ว่ามันมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า สัตว์บุคคลฯลฯ ไม่มีอยู่จริง
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ที่แท้แล้ว มีแต่ "ขันธ์ ๕" เท่านั้น แต่พอเอาเข้าจริง นั่นก็เป็นแค่เพียงการ "แอ๊บ"
เพราะเมื่อถึงที่สุดทางความคิดแล้ว มันก็จะวกเข้าไปหา สัตว์บุคคลฯลฯ ในฐานะ ผู้เกิด ผู้ตาย
หรือ ผู้เวียนว่ายตายเกิด ตามกำพืดทางความเชื่อดั้งเดิม ที่เป็น มิจฉาทิฐิ ของมันอยู่นั่นเอง !
ซึ่งชาวพุทธเถรวาททั้งหลาย ย่อมพิจารณาได้ไม่ยากว่า ข้อทวงถาม ที่นายคันโตนาซี พยายาม "ถามแย้ง" ผู้อื่นนั้น
แท้ที่จริง ไม่มีความแตกต่างไปจาก ความคิด ความเชื่อ และคำถามของ "มารผู้มีบาป" แต่อย่างใดเลย
อีกทั้งยังมีพระบาลีพุทธพจน์ยืนยันอยู่อีกหลายต่อหลายแห่งว่า ปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธเจ้า
จะไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่อย่างเด็ดขาด ใครคนใดก็ตาม ที่ทวงถามหา สัตว์บุคคลฯ ในปฏิจจสมุปบาท
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เขาเหล่านั้น ตั้งคำถามไว้ผิด ตัวอย่างเช่น พวกมิจฉาทิฐิแบบคันโตนาซี อาจถามว่า .......
(๑) ชรามรณะ เป็นไฉน และชรามรณะนี้เป็นของใคร ? ก็คือ การถามว่า ใครแก่ ใครตาย
(๒) ชาติ เป็นไฉน และชาตินี้เป็นของใคร ? ก็คือ การถามว่า ใครเกิด นั่นแหละ
ในกรณีเช่นนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...........
(๑) เป็นการตั้งปัญหาที่ยังไม่ถูก และ
(๒) ด้วยเหตุที่มีความคิดความเชื่อแบบนั้น ย่อมนำไปสู่ความสุดโต่ง(มิจฉาทิฐิ)
(๓) และในท้ายที่สุด ความอยู่เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
สรุปให้ฟังแบบง่ายๆ ก็คือ หากใครก็ตาม เริ่มต้น "ความคิด" ด้วยคำถามในทำนองว่า
การเกิด การตาย การเสวยเวทนา ฯลฯ ในปฏิจจสมุปบาท นี้เป็นของใคร ?
นั่นย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของ มิจฉาทิฐิ พวกใดพวกหนึ่งเสมอ กล่าวคือ ถ้าเข้าใจว่า .............
(๑) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ................. ก็เป็นพวก สัสสตทิฐิ
(๒) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก ................. ก็เป็นพวก อุจเฉททิฐิ
ทีนี้ ในเมื่อ นายคันโตนาซี มีความคิดความเชื่อว่า ต้องมี สัตว์ ในฐานะผู้ไปเกิดในนรกสวรรค์ อย่างแน่นอน
ก็เท่ากับว่า นายคนนี้ เป็นมิจฉาทิฐิฝ่าย สัสสตทิฐิ พวกเดียวกันกับ มารผู้มีบาป ที่มาก่อกวนท่านวชิราภิกษุณี นั่นเอง !
ดังนั้น ถ้าหากนายคันโตนาซี ต้องการ "สลัด" ความเป็นมิจฉาทิฐิ ให้พ้นตัว ก็ย่อมสามารถทำได้
โดยการ ปฏิเสธ ความคิด ความเชื่อ ดั้งเดิม ในทำนองว่า ต้องมี สัตว์ ผู้ไปเกิด(ในภพภูมิใดๆ ก็ตาม) นั้นเสีย
คุณแสดง "เจตนา" ให้เป็นที่ประจักษ์เพียงเท่านี้ เรื่อง ก็จบแล้วครับ
แต่ปรากฏว่า ไอ้หมอนี่ มันไม่ยักทำในสิ่งที่ "ชาวพุทธ" ทั่วๆ ไปเขาทำกัน
เพราะแทนที่มันจะ ละทิ้ง ทิฐิลามก ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้ตรัสสอนนั้นไปเสีย
แต่มันกลับพยายามเบี่ยงเบนประเด็น โดยการเลี่ยง(บาลี)มาพูดในเรื่องขันธ์ ๕
ทั้งๆ ที่มันไม่เคยเชื่ออย่างนั้น เพราะหลักฐานระบุว่า การอ้างเรื่องการเกิดดับของขันธ์ ๕
เป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า แต่เบื้องลึกในใจ คนผู้นี้ ยังเชื่อว่ามีสัตว์เป็นผู้ไปเกิด อยู่นั่นเอง !
ช่างน่าสมเพช ที่ได้มีโอกาสเห็นว่า คนซึ่งอ้างว่าตนเป็นชาวพุทธ และยังพยายามอวดอ้าง
ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มาโดยตลอดว่า เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ แต่กลับมีพฤติกรรมประหลาด
ในการปฏิเสธพระบาลีพุทธพจน์ ประดุจ ผี กลัว ใบหนาด จนตัวสั่นงันงก ฉะนั้น !
v
v
v
^
^
^
ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตให้ถี่ถ้วนด้วยว่า เหตุผลที่นายคันโตนาซี ใช้อ้าง
เพื่อ "ห้าม" มิให้ชาวพุทธทั้งหลายยกพุทธพจน์จากพระสูตรขึ้นแสดง ก็คือ
นายคนนี้ เขาอ้างว่า ในกระทู้ดังกล่าว(ของเขา) พูดเฉพาะในเรื่องของขันธ์ ๕ เท่านั้น
มิได้กล่าวถึง "สัตว์" ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องยกพระบาลีดังกล่าวขึ้นมา(อ้างอิง)
แต่แล้ว กำพืดความเป็น สัสสตทิฐิ ของนายคันโตนาซี ก็โผล่แพลมออกมาอีกจนได้
เพราะนายคนนี้ ดันไปกล่าวเน้นย้ำ ความต้องการ(ภายในใจ) ของมันว่า
ภพชาติ ที่กล่าวถึงในกระทู้ของมัน จะต้องหมายถึง โลกนี้ โลกหน้า เท่านั้น !
ประเด็นที่พึงพิจารณา ก็คือ หากกระทู้ของมัน มีเจตนากล่าวถึงเฉพาะ ขันธ์ ๕
แล้วมันจะมากำหนดให้ แสดงคำอธิบาย โดยอ้างอิงกับ โลกนี้ โลกหน้า ได้อย่างไร ?
ทั้งนี้ ชาวพุทธทั้งหลาย กรุณา ทำความเข้าใจให้ตรงกัน อีกครั้งหนึ่งว่า ........
เมื่อกล่าวถึง ขันธ์ ๕ ย่อมหมายถึง การกล่าวโดยปรมัตถ์ ซึ่งย่อมมี ก็แต่ ขณิกะ หรือ แต่ละ "ขณะ" เท่านั้น
คำว่า โลกนี้ โลกหน้า มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลอยๆ แต่มันเป็นสมมุติ ที่ผูกโยงอยู่กับความเป็น สัตว์ บุคคล ฯลฯ เสมอ
อธิบายให้ฟังง่ายๆ ดังนี้ว่า โลกนี้ โลกหน้า เป็นเพียง สมมุติ ที่มีอยู่ได้ด้วยการอ้างอิงกับ สัตว์บุคคลฯ
หากไม่มี สัตว์บุคคล ในฐานะผู้สังเกต ..........
โลกนี้ โลกหน้า ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย และไม่มีอยู่จริง(แม้ในแบบสมมุติ)
การที่นายคันโตนาซี อ้างว่าจะพูดเฉพาะแต่เรื่อง ขันธ์ ๕ คุณก็ต้องทราบด้วยว่า
เมื่อกล่าวสำหรับ ขันธ์ ๕ แล้ว โลกนี้ โลกหน้า เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย และไม่มีอยู่(จริง)
ดังนั้น ทำไปทำมา ก็เป็นพวกเม็ดมะขามอีกนั่นแหละ ที่ไม่สามารถแยกแยะ สมมุติ&ปรมัตถ์
แต่กลับทำให้มัน สับสนปนเป กันไปหมด เพราะแม้ปากอ้างว่าจะพูดปรมัตถ์(ขันธ์ ๕)
แต่แล้ว กลับยกเรื่อง โลกนี้ โลกหน้า ซึ่งเป็นสมมุติ เข้ามาเทียบ แบบหัวมังกุท้ายมังกร(ซะงั้น)
นั่นจึงหมายความว่า แม้ปากของ คันโตนาซี จะอ้างว่า กระทู้ดังกล่าว ไม่พูดถึง สัตว์
แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยกำพืดของความเป็น สัสสตทิฐิ ในกมลสันดานของมันเอง
คันโตนาซี ก็ยังหนีไม่พ้น ที่จะเผลอแสดง ความคิดความเชื่อ ในเรื่อง การไปเกิดของสัตว์
ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อคำสอนฝ่ายสัมมาทิฐิ ของพระพุทธเจ้า โดยที่มันไม่รู้ตัว อยู่นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ ผมกล่าววิเคราะห์ โดยอ้างอิงจาก "หลักฐาน" เท่าที่ปรากฏอยู่จริง นะครับ
สรุป
(๑) จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏ ชี้ชัดว่า นายคันโตนาซี เป็นพวกมิจฉาทิฐิ จริง
โดยเขามีความคิดความเชื่อแบบเดียวกับ มารผู้มีบาป กล่าวคือ เชื่อว่า มีสัตว์ ในฐานะเป็นผู้ไปเกิด
(๒) การที่นายคันโตนาซี เชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ ต้องหมายถึงการมีสัตว์ ในฐานะผู้เกิด ผู้ตาย ฯลฯ
ย่อมเป็นการกล่าวค้านพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสว่า ไม่มี สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ในปฏิจจสมุปบาทอันเป็นคำสอนของพระองค์
(๓) การที่นายคันโตนาซี กล่าวในสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัส บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้
ย่อมเท่ากับว่า นายคนนี้ กำลัง กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการกระทำที่เลวร้าย จะประสบบาปกรรม มิใช่น้อย
(๔) มันจะ "อุบาทว์" สักแค่ไหนกัน หากคนที่อวดอ้างตนเอง ทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า เขาเป็นพวกสัมมาทิฐิ
ซึ่งได้รวมหัวรวมหางกัน กล่าวตู่ใส่ร้าย ปรามาสพระมหาเถระ อย่างท่านพุทธทาส มานานนับเดือนนับปี
แต่แล้วกลับพยายามปฏิเสธที่จะรับรู้ พระบาลีพุทธพจน์(บางพระสูตร) ด้วยเหตุเพียงเพราะว่า พระสูตรดังกล่าว
ระบุในทางตรงข้ามว่า ความคิดความเชื่อที่ "ฝังหัว" ของเขาอยู่นั้นเป็น มิจฉาทิฐิ ฝ่าย สัสสตทิฐิ แบบเดียวกับ มารผู้มีบาป
ช่างน่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง ที่สุดท้ายแล้ว นายคันโตนาซี กลับมีพฤติกรรม ไม่ต่างไปจากที่มันได้เคยกล่าวร้ายต่อผู้อื่น
กล่าวคือ เป็นคนประเภท เอาพระสูตรโน้น แต่ไม่เอาพระสูตรนี้ ด้วยเหตุเพราะพระสูตรดังกล่าว ทำให้ผู้คนทราบว่า
ความเชื่อของมันและพวก เป็นความเห็นผิด ในฝ่าย สัสสติทิฐิ มันก็เลยยอมรับ(พระสูตร)ไม่ได้
ก็เลยเข้าตำรา ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง หรือมิใช่ ?
(๕) ไม่เป็นการแปลกแต่อย่างใดเลย ที่มิจฉาทิฐิบุคคล ฝ่ายสัสสตทิฐิ อย่างนายคันโตนาซีและพวก
จะใส่ร้ายปรามาส ท่านพุทธทาส ผู้เป็นสัมมาทิฐิบุคคลในพระพุทธศาสนา ว่าเป็น อุจเฉททิฐิ
ทั้งนี้ เพราะเคยเกิดเหตุขึ้นมาแล้วในสมัยพุทธกาล กล่าวคือ พวกอัญเดียรถีย์ ฝ่ายสัสสตทิฐิ
ก็มักกล่าวร้ายโจมตี พระพุทธเจ้า ว่าทรงเป็น อุจเฉททิฐิ มาแล้วเช่นกัน !
ถ้าหาก พวกสัสสตทิฐิ อย่าง นายคันโตนาซี จะไม่ใส่ร้ายโจมตี ท่านพุทธทาส ว่าเป็นพวก อุจเฉททิฐิ
อย่างนี้สิ จึงจะนับได้ว่า แปลก(จริง) !
คริคริ
เงื่อนไข "อุบาทว์" ของมารผู้มีบาป
แล้วมีการสืบต่อของขันธ์5 ในชาติภพใหม่หรือไม่ http://ppantip.com/topic/30677877
อันที่จริง ผมได้เตรียมบทความอื่นเอาไว้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว
แต่เมื่อมาเห็นกระทู้ "อุบาทว์" ของนายคันโตนาซี เข้า ...... จึงเปลี่ยนความตั้งใจ
เขียนกระทู้นี้ขึ้นมา เพื่อแสดง "ข้อเท็จจริง" บางประการ ที่คนกลุ่มนี้ พยายาม "ปกปิด"
ให้เป็นที่ประจักษ์แก่ชาวพุทธเถรวาททั้งหลาย ตามความ ดังต่อไปนี้ ..........
เนื้อความของกระทู้ดังกล่าว ของนายคันโตนาซี มีใจความในทำนองว่า
ท่านพุทธทาสสอนอย่างไรเกี่ยวกับ ขันธ์ ๕ในกรณีที่ "สัตว์" ตายเข้าโลง
ซึ่งที่จริงแล้ว เรื่องนี้อธิบายไม่ยาก เพราะมีหลักฐานคำสอนของท่านพุทธทาสปรากฏอยู่มากเกินพอทีเดียว
(พิจารณาเพิ่มเติมได้จาก กระทู้ )
แต่สิ่งที่เป็นประเด็นปัญหาจริงๆ กลับมิได้เกี่ยวกับคำสอนของท่านพุทธทาส
หากแต่เป็นเรื่องของ "ท่าที" ที่นายคันโตนาซีมีต่อ พระบาลีพุทธพจน์ เสียมากกว่า
v
v
v
^
^
^
เพราะนายคันโตนาซี ได้ระบุเงื่อนไข "อุบาทว์" สำหรับผู้ตอบคำถามในกระทู้นั้นว่า
ห้ามอ้างอิง พระบาลีพุทธพจน์ ที่ตรัสว่า พระพุทธเจ้าย่อมไม่บัญญัติว่า .........
(๑) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก
(๒) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก
(๓) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็มี ย่อมไม่เกิดอีกก็มี
(๔) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีกก็หามิได้ ย่อมไม่เกิดอีกก็หามิได้
เหตุผลสำคัญที่นายคันโตนาซี ไม่มีความยินดีที่จะได้เห็นพระบาลีพุทธพจน์นี้อีก ทั้งๆ ที่มันก็เคยยกขึ้นมาอ้าง
ก็เนื่องจาก พระบาลีนี้ ทำให้ทราบ "ข้อเท็จจริง" ว่า นายคันโตนาซี มีความคิดความเชื่อ แบบพวกมิจฉาทิฐิ
โดยเขาได้กล่าวแสดง ในสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้บัญญัติไว้ ในทำนองว่าต้องมี "สัตว์" ตายแล้วไปเกิด ในนรกสวรรค์
และเพราะเหตุที่จนด้วย "หลักฐาน" นี้เอง จึงทำให้นายคันโตนาซี พยายามดิ้นรนแถกแถ ปิดบังซ่อนเร้น
โดยหวังว่า จะสามารถ "กลบเกลื่อน" ความเป็น "มิจฉาทิฐิ" ของตนเอาไว้ มิให้ผู้อื่นได้ทันสังเกตเห็น
หรือมิใช่ ?
ทั้งนี้ เมื่อพิจารณา "ข้อความ" ของนายคันโตนาซี อย่างถี่ถ้วน ย่อมทราบได้ไม่ยากว่า คนผู้นี้ มีความเชื่อ
ที่เหนียวแน่นอย่างพวก สัสสตทิฐิ ชั้นเลวทั่วๆ ไปว่า ต้องมี สัตว์บุคคลฯ ในฐานะ ผู้เกิด ผู้ตาย ฯลฯ เสมอ
กล่าวคือ ถึงแม้ว่า นายคนนี้จะพยายาม "แอ๊บ" ว่ามันมีความเข้าใจเป็นอย่างดีว่า สัตว์บุคคลฯลฯ ไม่มีอยู่จริง
พระพุทธเจ้าตรัสสอนว่า ที่แท้แล้ว มีแต่ "ขันธ์ ๕" เท่านั้น แต่พอเอาเข้าจริง นั่นก็เป็นแค่เพียงการ "แอ๊บ"
เพราะเมื่อถึงที่สุดทางความคิดแล้ว มันก็จะวกเข้าไปหา สัตว์บุคคลฯลฯ ในฐานะ ผู้เกิด ผู้ตาย
หรือ ผู้เวียนว่ายตายเกิด ตามกำพืดทางความเชื่อดั้งเดิม ที่เป็น มิจฉาทิฐิ ของมันอยู่นั่นเอง !
ซึ่งชาวพุทธเถรวาททั้งหลาย ย่อมพิจารณาได้ไม่ยากว่า ข้อทวงถาม ที่นายคันโตนาซี พยายาม "ถามแย้ง" ผู้อื่นนั้น
แท้ที่จริง ไม่มีความแตกต่างไปจาก ความคิด ความเชื่อ และคำถามของ "มารผู้มีบาป" แต่อย่างใดเลย
อีกทั้งยังมีพระบาลีพุทธพจน์ยืนยันอยู่อีกหลายต่อหลายแห่งว่า ปฏิจจสมุปบาท ของพระพุทธเจ้า
จะไม่มี สัตว์ บุคคล ตัวตน เรา เขา อยู่อย่างเด็ดขาด ใครคนใดก็ตาม ที่ทวงถามหา สัตว์บุคคลฯ ในปฏิจจสมุปบาท
พระพุทธเจ้าตรัสว่า เขาเหล่านั้น ตั้งคำถามไว้ผิด ตัวอย่างเช่น พวกมิจฉาทิฐิแบบคันโตนาซี อาจถามว่า .......
(๑) ชรามรณะ เป็นไฉน และชรามรณะนี้เป็นของใคร ? ก็คือ การถามว่า ใครแก่ ใครตาย
(๒) ชาติ เป็นไฉน และชาตินี้เป็นของใคร ? ก็คือ การถามว่า ใครเกิด นั่นแหละ
ในกรณีเช่นนี้ พระพุทธเจ้าตรัสว่า ...........
(๑) เป็นการตั้งปัญหาที่ยังไม่ถูก และ
(๒) ด้วยเหตุที่มีความคิดความเชื่อแบบนั้น ย่อมนำไปสู่ความสุดโต่ง(มิจฉาทิฐิ)
(๓) และในท้ายที่สุด ความอยู่เพื่อประพฤติพรหมจรรย์ย่อมไม่มี
สรุปให้ฟังแบบง่ายๆ ก็คือ หากใครก็ตาม เริ่มต้น "ความคิด" ด้วยคำถามในทำนองว่า
การเกิด การตาย การเสวยเวทนา ฯลฯ ในปฏิจจสมุปบาท นี้เป็นของใคร ?
นั่นย่อมเป็นจุดเริ่มต้นของ มิจฉาทิฐิ พวกใดพวกหนึ่งเสมอ กล่าวคือ ถ้าเข้าใจว่า .............
(๑) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมเกิดอีก ................. ก็เป็นพวก สัสสตทิฐิ
(๒) สัตว์เบื้องหน้าแต่ตายแล้ว ย่อมไม่เกิดอีก ................. ก็เป็นพวก อุจเฉททิฐิ
ทีนี้ ในเมื่อ นายคันโตนาซี มีความคิดความเชื่อว่า ต้องมี สัตว์ ในฐานะผู้ไปเกิดในนรกสวรรค์ อย่างแน่นอน
ก็เท่ากับว่า นายคนนี้ เป็นมิจฉาทิฐิฝ่าย สัสสตทิฐิ พวกเดียวกันกับ มารผู้มีบาป ที่มาก่อกวนท่านวชิราภิกษุณี นั่นเอง !
ดังนั้น ถ้าหากนายคันโตนาซี ต้องการ "สลัด" ความเป็นมิจฉาทิฐิ ให้พ้นตัว ก็ย่อมสามารถทำได้
โดยการ ปฏิเสธ ความคิด ความเชื่อ ดั้งเดิม ในทำนองว่า ต้องมี สัตว์ ผู้ไปเกิด(ในภพภูมิใดๆ ก็ตาม) นั้นเสีย
คุณแสดง "เจตนา" ให้เป็นที่ประจักษ์เพียงเท่านี้ เรื่อง ก็จบแล้วครับ
แต่ปรากฏว่า ไอ้หมอนี่ มันไม่ยักทำในสิ่งที่ "ชาวพุทธ" ทั่วๆ ไปเขาทำกัน
เพราะแทนที่มันจะ ละทิ้ง ทิฐิลามก ซึ่งพระพุทธเจ้ามิได้ตรัสสอนนั้นไปเสีย
แต่มันกลับพยายามเบี่ยงเบนประเด็น โดยการเลี่ยง(บาลี)มาพูดในเรื่องขันธ์ ๕
ทั้งๆ ที่มันไม่เคยเชื่ออย่างนั้น เพราะหลักฐานระบุว่า การอ้างเรื่องการเกิดดับของขันธ์ ๕
เป็นเพียงแค่ฉากบังหน้า แต่เบื้องลึกในใจ คนผู้นี้ ยังเชื่อว่ามีสัตว์เป็นผู้ไปเกิด อยู่นั่นเอง !
ช่างน่าสมเพช ที่ได้มีโอกาสเห็นว่า คนซึ่งอ้างว่าตนเป็นชาวพุทธ และยังพยายามอวดอ้าง
ทั้งโดยตรงและโดยอ้อม มาโดยตลอดว่า เป็นฝ่ายสัมมาทิฐิ แต่กลับมีพฤติกรรมประหลาด
ในการปฏิเสธพระบาลีพุทธพจน์ ประดุจ ผี กลัว ใบหนาด จนตัวสั่นงันงก ฉะนั้น !
v
v
v
^
^
^
ขอให้ท่านทั้งหลายจงสังเกตให้ถี่ถ้วนด้วยว่า เหตุผลที่นายคันโตนาซี ใช้อ้าง
เพื่อ "ห้าม" มิให้ชาวพุทธทั้งหลายยกพุทธพจน์จากพระสูตรขึ้นแสดง ก็คือ
นายคนนี้ เขาอ้างว่า ในกระทู้ดังกล่าว(ของเขา) พูดเฉพาะในเรื่องของขันธ์ ๕ เท่านั้น
มิได้กล่าวถึง "สัตว์" ดังนั้น จึงไม่จำเป็นต้องยกพระบาลีดังกล่าวขึ้นมา(อ้างอิง)
แต่แล้ว กำพืดความเป็น สัสสตทิฐิ ของนายคันโตนาซี ก็โผล่แพลมออกมาอีกจนได้
เพราะนายคนนี้ ดันไปกล่าวเน้นย้ำ ความต้องการ(ภายในใจ) ของมันว่า
ภพชาติ ที่กล่าวถึงในกระทู้ของมัน จะต้องหมายถึง โลกนี้ โลกหน้า เท่านั้น !
ประเด็นที่พึงพิจารณา ก็คือ หากกระทู้ของมัน มีเจตนากล่าวถึงเฉพาะ ขันธ์ ๕
แล้วมันจะมากำหนดให้ แสดงคำอธิบาย โดยอ้างอิงกับ โลกนี้ โลกหน้า ได้อย่างไร ?
ทั้งนี้ ชาวพุทธทั้งหลาย กรุณา ทำความเข้าใจให้ตรงกัน อีกครั้งหนึ่งว่า ........
เมื่อกล่าวถึง ขันธ์ ๕ ย่อมหมายถึง การกล่าวโดยปรมัตถ์ ซึ่งย่อมมี ก็แต่ ขณิกะ หรือ แต่ละ "ขณะ" เท่านั้น
คำว่า โลกนี้ โลกหน้า มิใช่สิ่งที่เกิดขึ้นลอยๆ แต่มันเป็นสมมุติ ที่ผูกโยงอยู่กับความเป็น สัตว์ บุคคล ฯลฯ เสมอ
อธิบายให้ฟังง่ายๆ ดังนี้ว่า โลกนี้ โลกหน้า เป็นเพียง สมมุติ ที่มีอยู่ได้ด้วยการอ้างอิงกับ สัตว์บุคคลฯ
หากไม่มี สัตว์บุคคล ในฐานะผู้สังเกต ..........
โลกนี้ โลกหน้า ก็จะกลายเป็นสิ่งที่ไร้ความหมาย และไม่มีอยู่จริง(แม้ในแบบสมมุติ)
การที่นายคันโตนาซี อ้างว่าจะพูดเฉพาะแต่เรื่อง ขันธ์ ๕ คุณก็ต้องทราบด้วยว่า
เมื่อกล่าวสำหรับ ขันธ์ ๕ แล้ว โลกนี้ โลกหน้า เป็นสิ่งที่ไม่มีความหมาย และไม่มีอยู่(จริง)
ดังนั้น ทำไปทำมา ก็เป็นพวกเม็ดมะขามอีกนั่นแหละ ที่ไม่สามารถแยกแยะ สมมุติ&ปรมัตถ์
แต่กลับทำให้มัน สับสนปนเป กันไปหมด เพราะแม้ปากอ้างว่าจะพูดปรมัตถ์(ขันธ์ ๕)
แต่แล้ว กลับยกเรื่อง โลกนี้ โลกหน้า ซึ่งเป็นสมมุติ เข้ามาเทียบ แบบหัวมังกุท้ายมังกร(ซะงั้น)
นั่นจึงหมายความว่า แม้ปากของ คันโตนาซี จะอ้างว่า กระทู้ดังกล่าว ไม่พูดถึง สัตว์
แต่สุดท้ายแล้ว ด้วยกำพืดของความเป็น สัสสตทิฐิ ในกมลสันดานของมันเอง
คันโตนาซี ก็ยังหนีไม่พ้น ที่จะเผลอแสดง ความคิดความเชื่อ ในเรื่อง การไปเกิดของสัตว์
ซึ่งเป็นปฏิปักษ์ต่อคำสอนฝ่ายสัมมาทิฐิ ของพระพุทธเจ้า โดยที่มันไม่รู้ตัว อยู่นั่นเอง
ทั้งหมดนี้ ผมกล่าววิเคราะห์ โดยอ้างอิงจาก "หลักฐาน" เท่าที่ปรากฏอยู่จริง นะครับ
สรุป
(๑) จากหลักฐานเท่าที่ปรากฏ ชี้ชัดว่า นายคันโตนาซี เป็นพวกมิจฉาทิฐิ จริง
โดยเขามีความคิดความเชื่อแบบเดียวกับ มารผู้มีบาป กล่าวคือ เชื่อว่า มีสัตว์ ในฐานะเป็นผู้ไปเกิด
(๒) การที่นายคันโตนาซี เชื่อว่า ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ ต้องหมายถึงการมีสัตว์ ในฐานะผู้เกิด ผู้ตาย ฯลฯ
ย่อมเป็นการกล่าวค้านพระพุทธเจ้า ซึ่งตรัสว่า ไม่มี สัตว์บุคคลตัวตนเราเขา ในปฏิจจสมุปบาทอันเป็นคำสอนของพระองค์
(๓) การที่นายคันโตนาซี กล่าวในสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ตรัส บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้ามิได้ทรงบัญญัติไว้
ย่อมเท่ากับว่า นายคนนี้ กำลัง กล่าวตู่พระพุทธเจ้า ซึ่งเป็นการกระทำที่เลวร้าย จะประสบบาปกรรม มิใช่น้อย
(๔) มันจะ "อุบาทว์" สักแค่ไหนกัน หากคนที่อวดอ้างตนเอง ทั้งทางตรงและทางอ้อมว่า เขาเป็นพวกสัมมาทิฐิ
ซึ่งได้รวมหัวรวมหางกัน กล่าวตู่ใส่ร้าย ปรามาสพระมหาเถระ อย่างท่านพุทธทาส มานานนับเดือนนับปี
แต่แล้วกลับพยายามปฏิเสธที่จะรับรู้ พระบาลีพุทธพจน์(บางพระสูตร) ด้วยเหตุเพียงเพราะว่า พระสูตรดังกล่าว
ระบุในทางตรงข้ามว่า ความคิดความเชื่อที่ "ฝังหัว" ของเขาอยู่นั้นเป็น มิจฉาทิฐิ ฝ่าย สัสสตทิฐิ แบบเดียวกับ มารผู้มีบาป
ช่างน่าสมเพชเป็นอย่างยิ่ง ที่สุดท้ายแล้ว นายคันโตนาซี กลับมีพฤติกรรม ไม่ต่างไปจากที่มันได้เคยกล่าวร้ายต่อผู้อื่น
กล่าวคือ เป็นคนประเภท เอาพระสูตรโน้น แต่ไม่เอาพระสูตรนี้ ด้วยเหตุเพราะพระสูตรดังกล่าว ทำให้ผู้คนทราบว่า
ความเชื่อของมันและพวก เป็นความเห็นผิด ในฝ่าย สัสสติทิฐิ มันก็เลยยอมรับ(พระสูตร)ไม่ได้
ก็เลยเข้าตำรา ว่าแต่เขา อิเหนาเป็นเอง หรือมิใช่ ?
(๕) ไม่เป็นการแปลกแต่อย่างใดเลย ที่มิจฉาทิฐิบุคคล ฝ่ายสัสสตทิฐิ อย่างนายคันโตนาซีและพวก
จะใส่ร้ายปรามาส ท่านพุทธทาส ผู้เป็นสัมมาทิฐิบุคคลในพระพุทธศาสนา ว่าเป็น อุจเฉททิฐิ
ทั้งนี้ เพราะเคยเกิดเหตุขึ้นมาแล้วในสมัยพุทธกาล กล่าวคือ พวกอัญเดียรถีย์ ฝ่ายสัสสตทิฐิ
ก็มักกล่าวร้ายโจมตี พระพุทธเจ้า ว่าทรงเป็น อุจเฉททิฐิ มาแล้วเช่นกัน !
ถ้าหาก พวกสัสสตทิฐิ อย่าง นายคันโตนาซี จะไม่ใส่ร้ายโจมตี ท่านพุทธทาส ว่าเป็นพวก อุจเฉททิฐิ
อย่างนี้สิ จึงจะนับได้ว่า แปลก(จริง) !
คริคริ