เรื่องของคน เก้อยาก เก้อยาก และ เก้อยาก !

ความนำ

สิ่งที่น่าเบื่อที่สุดสำหรับผม ก็คือ การต้องมาพูดอธิบายในเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ต้องเสียเวลาในการอธิบายความ กับคน "หน้าด้าน" หรือ "เก้อยาก" อย่าง คันโตนาซี !

ทั้งๆ ที่ประเด็นของกระทู้ พระอรหันต์ กับ ขันธ์ ๕ .......... ของใคร ?
เป็นเรื่องที่เกี่ยวกับ พระอรหันต์ กับ ขันธ์ ๕ แท้ๆ แต่แล้ว จะด้วยความ "เงิบ" ของใครก็แล้วแต่
สุดท้าย ก็มีการ "ขุด" เอาเรื่องในกระทู้เก่าๆ มาพูด "ลำเลิก" ในท่วงทำนองของการ "บิดเบือน" อย่าง "หน้าไม่อาย" ดังนี้



******************************************************************************************

การบิดเบือน ลำดับที่ ๑

คันโตนาซี กล่าวอ้างว่า "ยกคำสอนของหลวงปู่เทสก์ กะมาถล่ม พอถามกลับ โบ้ยให้ไปถามหลวงปู่เทสก์เอาเอง"



ข้อเท็จจริงของเรื่องนี้ ก็คือ คันโตนาซีและพวก กล่าวตู่บิดเบือนพระธรรมวินัยว่า ความเป็นโสดาบัน สามารถหอบหิ้วข้ามภพชาติได้
ผมก็เพียงแค่เสนอ "มติ" ของท่านอาจารย์เทสก์ ความว่า โสดาบันเมื่อตายไป ย่อมเกิดเป็นปุถุชนเสียก่อน มิได้เกิดเป็นโสดาบัน ในทันที

เหตุผลของเรื่องนี้ ค่อนข้างง่าย และผมก็ได้อธิบายความเอาไว้แล้วด้วยว่า ...........



ดังนั้น ถ้า คันโตนาซี มีปัญญา "คัดค้าน" ก็จงเร่งแสดงหลักฐาน และเหตุผลโต้แย้ง มาสิครับ

แต่ แก ก็ไม่ได้โต้แย้ง ด้วยเหตุผล หรือ แสดงหลักฐานอะไร นอกจากการ ถามแก้เก้อว่า "นิสัยเดิมข้ามชาติได้อย่างไร"
ซึ่งเป็นการถามถึง "ธรรม" เหล่านั้น ด้วยความยึดติดถือมั่นว่าเป็น "ตัวตนของตน"  เป็นการถามแบบ "มิจฉาทิฐิ" ตามสันดานเดิม

สำหรับคำถามโง่ๆ ที่เป็น สัสสตทิฐิ แบบนี้
ผมไม่จำเป็นต้องอธิบายความอะไรอีกแล้วนี่ครับ

หรือมิใช่ ?

******************************************************************************************

การบิดเบือน ลำดับที่ ๒

คันโตนาซี กล่าวอ้างว่า "เรื่องสัสสตทิฐิ ท้ายสุด ไอ้ที่ยกมา ไม่ได้ต่างจากที่ผมตอบเลย"

สำหรับเรื่องนี้ ต้นเหตุ เกิดมาจาก คันโตนาซีและพวก แอบอ้างว่า "สัสสตทิฐิ" ไม่ได้มีความเชื่อว่า "ตายแล้วเกิด"
จากนั้นจึงยกหลักฐานจาก พรหมชาลสูตร ขึ้นมาอ้าง อย่างคนหน้ามืดตามัว
ทั้งๆ ที่หลักฐานดังกล่าว ปรากฏข้อความ อย่างชัดเจนว่า พวกสัสสตทิฐิ มีความเชื่อเรื่อง "ตายแล้วเกิด" จริงๆ



จากนั้น คันโตนาซี ก็พยายาม "แถกแถ" อย่างโง่ๆ ว่า สัสสตทิฐิ คือ พวกที่เชื่อในเรื่อง "อัตตา"
โดยไม่เกี่ยวกับความเชื่อว่า สัตว์ตายแล้วเกิด (เอาเข้าไป !)

ผมจึงเสนอหลักฐานชั้นพระบาลีพุทธพจน์ ซึ่งพระพุทธเจ้าตรัสอย่างชัดเจนว่า ที่เรียกกันว่า สัตว์ นั้น
ล้วนแล้วแต่เกิดมาจาก ตัณหาอุปาทาน ใน รูป เวทนา สัญญา สังขาร วิญญาณ ว่าเป็นตน หรือของๆ ตน ด้วยกันทั้งนั้น



ก็มิใช่เพราะ "หลักฐาน" นี้หรอกหรือ ที่ทำให้ "คนหน้าด้าน" อย่าง คันโตนาซี ถึงกับ "ปัสสาวะราด" กลางกระทู้
"ปากคอสั่น" ออกมายอมรับในกระทู้ของผมว่า "พวกผม(คันโตนาซี) อ้างสมมุติโดยยังยึดถือความเป็นอัตตาอยู่"



ก็ในเมื่อ คันโตนาซี ยอมรับออกมาเอง(เพราะจนด้วยหลักฐาน)ว่า แก กล่าวถึง สัตว์ บุคคล ฯลฯ ด้วยความยึดถือว่าเป็นอัตตาตัวตน
นั่นย่อมหมายความว่า เมื่อใดก็ตามที่ แกและพวก กล่าวถึงการเกิดของ สัตว์ ฯลฯ
ย่อมเป็นการกล่าวด้วยความยึดถือว่า "มี" หรือ "เป็น" อัตตาตัวตน เสมอ
ซึ่งก็ไม่ต่างจากพวก สัสสตทิฐิ ที่แกยกมาอ้างนั่นแหละ !

ดังนั้น ความคิด ความเชื่อ และ คำพูดของ คันโตนาซีและพวก ในทำนองว่า สัตว์ตายแล้วเกิด
จึงเป็น มิจฉาทิฐิ ฝ่าย สัสสตทิฐิ หาใช่ ความเห็นชอบในพระพุทธศาสนา แต่อย่างใดไม่

เรื่องราว มันล่วงเลยมาจนถึงป่านนี้แล้ว
คันโตนาซี ยังอุตส่าห์ "กล้า" กล่าวว่า ไม่เห็นความแตกต่าง อยู่อีก ละหรือ ?

******************************************************************************************

การบิดเบือน ลำดับที่ ๓

คันโตนาซี กล่าวอ้างว่า "ทุกวันนี้ ตอบได้ชัดๆ หรือยังว่า ชาติในปฏิจจสมุปบาท กับ ชาติในระลึกชาติ ต่างกันอย่างไร ?
ตอนแรกบอกคนละเรื่อง ถามไปถามมาชักหนีบ บอกต่างกันตรง สมถะ กับ วิปัสสนา"

เรื่องปฏิจจสมุปบาทข้ามภพข้ามชาติ นี้ก็เหมือนกัน ...........
ผมกล่าวอย่างชัดเจนว่า การระลึกชาติ กับ ปฏิจจสมุปบาท มันเป็นคนละเรื่องกัน



แต่ คันโตนาซี กลับ "ถามแย้ง" ในทันทีว่า "คนละเรื่องเหรอครับ แล้วชาติมาจากไหนครับ?"
การที่คันโตนาซี กล่าวแย้ง แบบนี้ ก็เท่ากับจะบอกว่า ................ "การระลึกชาติ = ปฏิจจสมุปบาท" น่ะสิ

หลังจากนั้น คันโตนาซี ก็ยกหลักฐาน คือ ภาษิตของท่านพระสารีบุตร มา "บิดเบือน" เพื่อแอบอ้างว่า มี ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ อยู่จริง !
เมื่อผมแย้งว่า แท้ที่จริง หลักฐานดังกล่าว กลับแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ปฏิจจสมุปบาท เป็นธรรมใน "วิปัสสนาญาณ"
เป็นคนละอย่างกับ การระลึกชาติ(ปุพเพนิวาสนุสติญาณ) ซึ่งเป็นธรรมในฝ่าย สมถะ !



คราวนี้ คันโตนาซี ก็ "พลิกลิ้น" เป็นพัลวันว่า มันไม่เคยกล่าวเลยว่า "การระลึกชาติ = ปฏิจจสมุปบาท"



คำถาม ก็ง่ายๆ นะครับ กล่าวคือ ก็ในเมื่อ แก มิได้คิด หรือ เข้าใจ ว่า "การระลึกชาติ = ปฏิจจสมุปบาท"
แล้ว แก ไปโต้แย้ง ข้อความของผมหา "หอก" อะไรเล่าครับ ?



ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่า แก พยายามบอกว่า มันเป็นเรื่องเดียวกัน โดยใช้คำว่า "ชาติ" เป็นตัวเชื่อมโยง
ที่นี้ เมื่อมันอ้างคำว่า "ชาติ" ขึ้นมา ผมก็เพียงแค่ชี้ให้เห็นว่า "ชาติ" ใน การระลึกชาติ กับ ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท
ไม่มีทางที่จะมีความหมายอย่างเดียวกันไปได้ ทั้งนี้ ก็เพราะ

(๑) คันโตนาซี กล่าวออกมาเองว่า การรู้แจ้งในปฏิจจสมุปบาท เป็น วิปัสสนาญาณ
คำถาม ก็คือ วิปัสสนาญาณ "บ้านป้า" แกหรือ ถึงจะได้มี สัตว์ บุคคล ฯลฯ ออกมา "เพ่นพ่าน" ข้ามภพข้ามชาติได้อีก

(๒) ส่วนการระลึกชาติ เป็นอารมณ์สมถะ ซึ่งอาจเป็น สมมุติ หรือ ปรมัตถ์ ก็ได้ แต่นั่นก็มิใช่ประเด็นอยู่ดี
เพราะ คันโตนาซี ยอมรับออกมาเองในท้ายที่สุดว่า การระลึกชาติ กับ ปฏิจจสมุปบาท เป็นคนละอย่างกัน

ก็ในเมื่อ มันเป็นคนละเรื่อง คนละอย่างกัน ผมก็มิอาจ "เข้าใจ" ได้เลยว่า
แล้วมันจะยกเรื่อง การระลึกชาติ มาอ้างอีกทำไม เมื่อถูกถามถึงหลักฐานเกี่ยวกับเรื่อง ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ (ฮา) !



สรุป

(๑) พระพุทธเจ้า ไม่เคยตรัส ปฏิจจสมุปบาทข้ามภพชาติ โดยท่านปยุตโต กล่าวว่า คำอธิบายแบบนั้น มีอยู่แต่ในชั้นอรรถกถา ฎีกา



(๒) แม้ปากของ คันโตนาซี จะอ้างว่า การระลึกชาติ กับ ปฏิจจสมุปบาท เป็นคนละอย่างกัน
แต่ทุกๆ ครั้ง ที่ถูกทวงถามถึง "หลักฐาน" เรื่อง ปฏิจจสมุปบาท(แบบข้ามภพข้ามชาติ) มันก็ยกเรื่อง ระลึกชาติ มาอ้างทุกครั้งไป

คันโตนาซี ก็เอาให้แน่ๆ นะครับว่า มันใช่เรื่องเดียวกัน หรือ เป็นคนละเรื่อง  กันแน่ ?

(๓) ถ้า คันโตนาซี ต้องการแย้งว่า ชาติ ในปฏิจจสมุปบาท เป็นอย่างเดียวกันกับ ชาติ ในการระลึกชาติ
คันโตนาซี เพียงแค่แสดง "หลักฐาน" ให้เห็นอย่างชัดแจ้งว่า วิปัสสนา แถวบ้านแก มี สัตว์ ฯลฯ เวียนเกิดเวียนตาย อยู่ด้วย
ก็น่าจะเป็น "หลักฐาน" ที่มากเกินพอ แล้วนะครับ แต่ปัญหา ก็คือ แกจะมี "หลักฐาน" แบบนั้น อยู่ละหรือ ?
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่